เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ แถลงตัวเลข เศรษฐกิจไทย รวมครึ่งแรกของปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 2.0
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช.ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยปีนี้เหลือโต 0.7-1.2% โดยมีค่ากลางที่ 1%
ภายใต้สมมติฐานในกรณีฐานคือ ไทยสามารถควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ภายในไตรมาส 3 โดยในเดือนส.ค.จะเป็นตัวเลขสูงสุด และจะค่อยๆทยอยปรับตัวลดลงในช่วงเดือนก.ย. และสามารถผ่อนคลายมาตรการควบคุมในหลายพื้นที่ได้มากขึ้นในไตรมาส 4/64
อีกทั้ง การแพร่ระบาดไม่กระทบภาคการผลิตและภาคการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การแพร่ระบาดในต่างประเทศไม่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลต่อภาคการผลิตและการฟื้นตัวของอุปสงค์และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวได้ตามที่คาดไว้ รวมถึงการกระจายวัคซีนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยสามารถจัดหาและกระจายวัคซีนได้ประมาณ 85 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 64
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่การแพร่ระบาดภายในประเทศไม่สามารถควบคุมได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้และการแพร่ระบาดในต่างประเทศทวีความรุนแรงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะประเทศคู่ค้าและด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวต่ำกว่ากรณีฐานที่ 0.7%
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สองของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564 โดยมีรายละเอียด
MORE ARTICLES
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สภาพัฒน์ หั่นจีดีพีปี 64 เหลือโต 1.5-2.5% ขณะที่ Q1 จีดีพีติดลบ 2.6% ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ จากการลดลงร้อยละ 6.1 ในปี 2563
เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ขอแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2564
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2564 ลดลงร้อยละ 2.6 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 4.2 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2564 ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ร้อยละ 0.2 (QoQ_SA)
ด้านการใช้จ่าย มีแรงสนับสนุนสำคัญจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายรัฐบาลและการขยายตัวเร่งขึ้นของการลงทุนภาครัฐ ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกบริการลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลงร้อยละ 0.5 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 0.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการใช้จ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนลดลงต่อเนื่องร้อยละ 10.8 ตามการลดลงของการใช้จ่ายหมวดเครื่องเรือน อุปกรณ์ครัวเรือนและการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และหมวดเสื้อผ้าและรองเท้า การใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 8.0 ตามการลดลงของการซื้อยานพาหนะร้อยละ 4.2 ในขณะที่การใช้จ่ายในหมวดบริการขยายตัวร้อยละ 0.3 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 7.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวในกลุ่มบริการสุขภาพ และกลุ่มการเช่าที่อยู่อาศัย การใช้น้ำประปา ไฟฟ้าและพลังงาน การใช้จ่ายกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร และกลุ่มนันทนาการและวัฒนธรรม ลดลงต่อเนื่อง
ส่วนการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 2.5 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.1 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเร่งตัวขึ้นของการใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยการปรับตัวลดลงของการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสนี้สอดคล้องกับการลดลงของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 42.5 จากระดับ 44.3 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 2.1 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยรายจ่ายค่าตอบแทนแรงงาน (ค่าจ้าง เงินเดือน) ค่าซื้อสินค้าและบริการ และการโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการในระบบตลาด ขยายตัวร้อยละ 1.2 ร้อยละ 5.7 และร้อยละ 2.0 ตามลำดับ
ในขณะที่อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 20.0 (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ32.8 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 28.2 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 7.3 ปรับตัวดีขึ้นมากจากการลดลงร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 3.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 3.3 ในไตรมาสก่อนหน้า (การลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรขยายตัวร้อยละ 3.8 และการลงทุนในสิ่งก่อสร้างลดลงร้อยละ 0.4) ส่วนการลงทุนภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 19.6 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 0.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 28.4 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานต่ำในปี 2563 ส่วนการลงทุนรัฐวิสาหกิจขยายตัวร้อยละ 9.3 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 13.3 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 11.3 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 11.6 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า)
ในด้านภาคการค้าต่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 64,004 ล้านดอลลาร์ กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาสร้อยละ 5.3 เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อนหน้าสอดคล้องกับการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจโลกและการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในตลาดโลก โดยปริมาณและราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 และร้อยละ 2.1 ตามลำดับ กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ (ร้อยละ 17.3) รถยนต์นั่ง (ร้อยละ 13.2) รถกระบะ (ร้อยละ 44.8) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ร้อยละ 17.7) ปิโตรเคมี (ร้อยละ 23.8) ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า (ร้อยละ 5.7) แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน (ร้อยละ 13.9) ผลิตภัณฑ์ยาง (ร้อยละ 53.1) ยางพารา (ร้อยละ 38.1) และมันสำปะหลัง (ร้อยละ 72.5) เป็นต้น
กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง ได้แก่ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ลดลงร้อยละ 5.0) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 6.0) ข้าว (ลดลงร้อยละ 21.9) และน้ำตาล (ลดลงร้อยละ 47.6) การส่งออกสินค้าไปยังตลาดส่งออกหลักขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดอาเซียน (9) และตะวันออกกลาง (15) ลดลงในอัตราที่ชะลอลง เมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ 11.8 และเมื่อคิดในรูปของเงินบาท มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ 1.9 ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 56,615 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 9.5 เทียบกับการลดลงร้อยละ 5.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณและราคานำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 และร้อยละ 2.6 ตามลำดับ
ด้านการผลิต สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและสาขาการก่อสร้างกลับมาขยายตัว ในขณะที่ภาคเกษตร สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร และสาขาการเงินขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนการผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาไฟฟ้าและก๊าซ และสาขาการขายส่งการขายปลีกและการซ่อมแซมฯ ลดลงต่อเนื่อง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 1.9 ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 0.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิตหมวดพืชผลสำคัญ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่เพิ่มขึ้น เช่น ข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 กลุ่มไม้ผลเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.4 และมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เป็นต้น
ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ลดลง เช่น อ้อยลดลงร้อยละ 9.7 และปาล์มน้ำมันลดลงร้อยละ 7.3 เป็นต้น และหมวดปศุสัตว์ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 13 ร้อยละ 2.7 ในขณะที่หมวดประมงปรับตัวลดลงร้อยละ 13.2 เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ส่วนดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 9.7 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 11.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น เช่น ราคายางพาราเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.7 ราคากลุ่มไม้ผลเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.8 ราคาอ้อยเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.4 ราคาสุกรเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6 และราคาปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางรายการปรับตัวลดลง เช่น ข้าวเปลือกลดลงร้อยละ 7.2 และราคาไก่เนื้อลดลงร้อยละ 11.1 เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของทั้งดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 10.8 สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาสร้อยละ 0.7 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศและอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออกเป็นสำคัญ
โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวร้อยละ 1.4 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อนหน้าและดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60)กลับมาขยายตัวอย่างช้าๆ เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาสร้อยละ 0.6 เทียบกับการลดลงต่อเนื่องร้อยละ 4.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 – 60 ลดลงร้อยละ 0.5 สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 67.09 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 63.77 ในไตรมาสก่อนหน้า และสูงกว่าร้อยละ 66.94 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน (ร้อยละ 14.7) การผลิตเฟอร์นิเจอร์ (ร้อยละ 29.3) และการผลิตพลาสติกและยางสังเคราะห์ขั้นต้น (ร้อยละ 10.9) เป็นต้น
ดัชนี ผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 13.9) การผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (ยกเว้นร้านตัดเย็บเสื้อผ้า) (ลดลงร้อยละ 17.5) และการทอผ้า (ลดลงร้อยละ 17.2) เป็นต้น สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลดลงร้อยละ 35.0 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 35.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงมากอย่างต่อเนื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศร้อยละ 99.7 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 สำหรับรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยในไตรมาสนี้อยู่ที่ 0.093 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 51.0 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 45.1 ในไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการเปิดประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ (Special Tourist VISA: STV) ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจำนวน 20,172 คน (รวมนักท่องเที่ยวกลุ่ม Thailand Privilege Card) อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 16.15 ลดลงจากร้อยละ 32.49 ในไตรมาสก่อนหน้า และต่ำกว่าร้อยละ 52.40 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ลดลงร้อยละ 17.7 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 21.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของบริการขนส่งซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยบริการขนส่งทางอากาศลดลงร้อยละ 61.9 เทียบกับการลดลงร้อยละ 68.1 ในไตรมาสก่อนหน้า
บริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียงลดลงร้อยละ 11.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 12.7 ในไตรมาสก่อนหน้า และบริการขนส่งทางน้ำลดลงร้อยละ 3.2 ส่วนบริการสนับสนุนการขนส่งลดลงร้อยละ 18.7 ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ จากการลดลงร้อยละ 22.1 ในไตรมาสก่อนหน้า และบริการไปรษณีย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.9 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 27.2 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับรายรับของผู้ประกอบการที่ขยายตัวต่อเนื่องในเกณฑ์สูง
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 2.0 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับร้อยละ 1.9 ในไตรมาสก่อนหน้า และสูงกว่าอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -0.5 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 2.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (7.71 หมื่นล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 1.9 ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 อยู่ที่ 2.46แสนล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 มีมูลค่าทั้งสิ้น 8,472,187.0ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53.3 ของ GDP
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2564
เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.5 – 2.5 ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ จากการลดลงร้อยละ 6.1 ในปี 2563 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (2) แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ และ (3) การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563 ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ.จะขยายตัวร้อยละ 10.3 ขณะที่การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 1.6 และร้อยละ 4.3 ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9.3 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 1.0 – 2.0 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 0.7 ของ GDP
รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2564 ในด้านต่างๆ มีดังนี้
ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2564
การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2564 ควรให้ความสำคัญกับ (1) การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศเพื่อให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและอยู่ในวงจำกัดโดยเร็ว และการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงในระลอกใหม่ โดยมุ่งเน้น (i) การบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคและป้องกันการระบาดของภาครัฐอย่างเคร่งครัด ควบคู่ไปกับการยกระดับกระบวนการเฝ้าระวังสอบสวนโรคเชิงรุก โดยเฉพาะการเร่งรัดการตรวจเชิงรุกในเขตพื้นที่หรือชุมชนที่มีความเสี่ยงสูงในกรุงเทพฯ หรือเขตเมืองต่างๆ ที่ยังคงเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรง รวมทั้งการดูแลและควบคุมกิจกรรมและกิจการบางประเภทที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของการระบาดของโรคอย่างเข้มงวด และการป้องกันการนำเข้าเชื้อไวรัสกลายพันธุ์เพิ่มเติมโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้ที่เดินทางข้ามชายแดน (ii) การเร่งรัดจัดหาและกระจายวัคซีนให้กับประชาชนอย่างครอบคลุมทั่วถึงและเพียงพอเพื่อให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
โดยการจัดลำดับความสำคัญตามหลักการสาธารณสุขในการกระจายให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่เศรษฐกิจทั้งในภาคการท่องเที่ยวและภาคการผลิตที่สำคัญ รวมทั้งมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป (iii) การพัฒนาศักยภาพของระบบสาธารณสุขให้เพียงพอต่อการรองรับการแพร่ระบาดในปัจจุบันและที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และ (iv) การเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจนให้แก่ประชาชนเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการเข้ารับวัคซีน รวมถึงการรณรงค์เกี่ยวกับแนวทางในการปฏิบัติและดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันการกลับมาแพร่ระบาดระลอกใหม่และลดโอกาสการกลับมาติดเชื้อซ้ำภายหลังได้รับวัคซีนแล้ว (2) การดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชน แรงงาน
และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดและมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประกอบด้วย (i) การเร่งรัดติดตามมาตรการต่างๆ ทั้งด้านการเงินและการคลังที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรการเพิ่มเติมและปรับเปลี่ยนมาตรการเดิมให้ตอบสนองภาคเศรษฐกิจและพื้นที่เศรษฐกิจที่มีข้อจำกัดในการฟื้นตัว และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันให้มากที่สุด (ii) การพิจารณามาตรการช่วยเหลือภาคแรงงานผ่านมาตรการรักษาระดับการจ้างงานให้แก่ผู้ประกอบการ
โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบ ควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรการสร้างงานใหม่และมาตรการพัฒนาทักษะแรงงาน และ (iii) การพิจารณาดำเนินมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะต่อไปภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายลง(3) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า เพื่อสร้างรายได้จากต่างประเทศและสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการลงทุนภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับ (i) การขับเคลื่อนการส่งออกไปยังตลาดหลักที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ (ii) การเร่งรัดยกระดับการผลิตสินค้าเกษตร อาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพและมาตรฐานตรงตามข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า (iii) การใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ควบคู่ไปกับการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าที่สำคัญๆ ในลักษณะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์หรือพหุภาคี (iv) การเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา
และเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ๆ เช่น สหภาพยุโรป (EU) สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) และสหราชอาณาจักรภายหลัง Brexit รวมทั้งการให้ความสำคัญกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่สำคัญ ๆ ที่อาจถูกหยิบยกเป็นเครื่องมือสำหรับการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า และ (v) การปกป้องความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (4) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดย (i) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2561-2563 ให้เกิดการลงทุนจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการลงทุนที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของการส่งเสริมการลงทุนตามนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของประเทศ (ii) การแก้ไขปัญหาที่นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างชาติเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจในประเทศไทยเพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมกับการลงทุนและดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติมจากทั้งภาคเอกชนของไทยและต่างประเทศ อาทิ ข้อจำกัดและอุปสรรคในการทำงานและการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยสนับสนุนในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ (iii) การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกและอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดนักลงทุนเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น (iv) การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) 10 จังหวัด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในภูมิภาคมากขึ้น (v) การให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน และ (vi) การขับเคลื่อนการลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งที่สำคัญๆ ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างภาคการผลิตและภาคบริการที่สำคัญๆ เพื่อยกระดับศักยภาพการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว (5) การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
โดยการเร่งรัดการเบิกจ่าย (i) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 92.5 แบ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำร้อยละ 98.0 และงบลงทุนร้อยละ 70.0 (ii) งบเหลื่อมปี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 85.0 (iii) งบลงทุนรัฐวิสาหกิจให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70.0 และ (iv) แผนงานและโครงการตามพระราชกำหนดฯ เงินกู้วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ให้มีการเบิกจ่ายสะสม ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80.0 ของวงเงินกู้ (6) การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่องสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ทันทีที่มีการกระจายวัคซีนทั้งในและต่างประเทศที่เป็นแหล่งต้นทางของนักท่องเที่ยวครอบคลุมเป็นวงกว้างและเพียงพอต่อการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ
โดยควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาจัดสรรและกระจายวัคซีนให้แก่พื้นที่แหล่งท่องเที่ยวนำร่องในจำนวนที่เพียงพอควบคู่ไปกับการพิจารณาเตรียมความพร้อมของพื้นที่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในด้านระบบรองรับการเฝ้าระวังสอบสวนโรค การปรับปรุงที่พักและแหล่งท่องเที่ยวให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเตรียมระบบสนับสนุนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและการเดินทาง และการปรับปรุงการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ และ (7) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สภาพัฒน์ เผยความคืบหน้าการเบิกจ่ายและแผนการใช้งบประมาณมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการเบิกจ่ายและแผนการใช้งบประมาณมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในประเด็นแผนงานเงินกู้ทางการแพทย์และสาธารณสุข ดังนี้
แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด - 19) วงเงิน 45,000 ล้านบาท ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 นั้น ประกอบด้วย 5 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ (1) แผนงาน/โครงการเพื่อรองรับค่าใช้จ่าย ค่าเยียวยา ค่าชดเชย และค่าเสี่ยงภัยสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการจัดหาผู้ชำนาญการทั้งในประเทศและต่างประเทศ (2) เพื่อจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ยารักษาโรค วัคซีนป้องกันโรค และห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (3) เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการบำบัดรักษา ป้องกัน ควบคุมโรค รวมทั้งการวิจัยพัฒนาทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อการฟื้นฟูด้านสาธารณสุขของประเทศ (4) เพื่อการเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาล และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายในการกักตัวผู้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (5) เพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน อันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ปัจจุบันภาพรวมการอนุมัติโครงการและการเบิกจ่ายแผนงาน/โครงการด้านสาธารณสุข (แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ 1) ณ ข้อมูลวันที่ 5 พ.ค. 2564 มีการอนุมัติแผนงาน/โครงการดังกล่าวไปแล้ว จำนวน 42 โครงการ วงเงินอนุมัติรวมทั้งสิ้น 25,825.8796 ล้านบาท และจากข้อมูลของรายงาน MIS ของกรมบัญชีกลางพบว่ามีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 7,102.6471 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 27.50 สาเหตุที่ทำให้มีการเบิกจ่ายค่อนข้างต่ำ เป็นผลจากหน่วยงานรับผิดชอบโครงการยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข อาทิ เครื่องฉายรังสี ยารักษาโรค วัคซีนป้องกันโรค ก่อสร้างและปรับปรุงห้องปฏิบัติการทางแพทย์ อาทิ ห้องความดันลบ (Negative pressure) cohort ward ห้องทันตกรรม
ทั้งนี้ ในส่วนของสถานะความก้าวหน้าของแผนงาน/โครงการด้านสาธารณสุข สามารถจำแนกได้ออกเป็นทั้งหมด 4 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มโครงการที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปแล้ว โดยจากข้อมูลปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 27.50 ของวงเงินภายใต้แผนงาน/โครงการทั้งหมด (2) กลุ่มที่ยังไม่ถึงงวดของการเบิกจ่ายงบประมาณ (3) กลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ และ (4) กลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดโครงการ ดังนี้
(1) กลุ่มโครงการที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปแล้ว จำนวน 11 โครงการ วงเงิน7,102.6470 ล้านบาท (วงเงินอนุมัติ 12,976.3106 ลบ.) อาทิ การจ่ายค่าตอบแทน/เสี่ยงภัยให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2563 - มีนาคม 2564 สำหรับภารกิจเพิ่มเติมในช่วยสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 การเตรียมความพร้อมห้องปฏิบัติการ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ยารักษาโรค วัคซีนป้องกันโรค และห้องปฏิบัติการโดยกรมควบคุมโรค การจ่ายค่าบริการสาธารณสุขภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การสนับสนุนครุภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องช่วยหายใจและการปรับปรุงห้องความดันลบแก่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
(2) กลุ่มโครงการที่ยังไม่ถึงงวดของการเบิกจ่ายงบประมาณ จำนวน 1 โครงการ วงเงิน 1,575.4590 ล้านบาท ได้แก่ การจ่ายค่าค่าตอบแทน/เสี่ยงภัยให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในช่วงเดือนเมษายน –มิถุนายน 2564 สำหรับภารกิจเพิ่มเติมในช่วยสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019
(3) กลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ จำนวน 24 โครงการ วงเงิน11,094.9465 ล้านบาท อาทิ การสนับสนุนด้านการจัดซื้อครุภัณฑ์/การปรับปรุงสิ่งก่อสร้างในสถานพยาบาลทั้งสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาล โดยปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ อยู่ระหว่างการเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จ นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่เกี่ยวกับการวิจัย/พัฒนาน้ำยาเพื่อการตรวจโรค การพัฒนาระบบสื่อสารสั่งการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข
(4) กลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดโครงการ จำนวน 6 โครงการ วงเงิน 179.1635 ล้านบาท อาทิ โครงการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์/โครงการปรับปรุงห้องผู้ป่วย ของสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร
รองเลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของโครงการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 3.55 แสนล้าน อนุมัติ 1.387 แสนล้าน แต่กลับเบิกจ่ายไปเพียง 7.06 หมื่นล้านบาท นั้น ปัจจุบัน (ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2564) มีโครงการภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (แผนงานที่ 3) ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ แล้วจำนวน 232 โครงการ วงเงินรวม 138,181.4047 ล้านบาท (คงเหลือกรอบวงเงินกู้ประมาณ 216,818.5953 ล้านบาท) เบิกจ่ายแล้ว จำนวน 110 โครงการ วงเงินรวม 69,117.4811ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 49.15) สาเหตุที่ทำให้มีการเบิกจ่ายต่ำนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุและครุภัณฑ์ และความจำเป็นที่ต้องชะลอกิจกรรมที่ต้องลงพื้นที่ และฝึกอบรม อันเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในช่วงต้นปี 2564 ถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ของหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่มีผลการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ 10 จำนวน 141 โครงการ (จาก 209 โครงการ) พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบทั้ง 209 โครงการ เร่งดำเนินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ โดยเร็ว โดยกำหนดเงื่อนไขว่าหากหน่วยงานไม่สามารถลงนามผูกพันสัญญาในกิจกรรม/โครงการที่ต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่มีแผนการใช้จ่ายในส่วนงบดำเนินงานที่ชัดเจนภายในวันที่ 30 เมษายน 2564 เห็นควรให้ยุติการดำเนินโครงการและรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะทราบ พร้อมทั้งส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายตามขั้นตอนของข้อ 19 และข้อ 20 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ต่อไป
ขณะนี้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการจังหวัดที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ได้ขอยกเลิกโครงการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 แล้ว รวม 5 จังหวัด 11 โครงการ วงเงินรวมประมาณ 64.4819 ล้านบาท และขณะนี้กรมการจัดหางานซึ่งรับผิดชอบโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน กรอบวงเงิน 19,462.0017 ล้านบาท อยู่ระหว่างการเสนอขอปรับลดเป้าหมายจำนวนการจ้างงานและปรับลดวงเงินของโครงการ ซึ่ง สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการฯ ให้กำกับและติดตามให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการตามขั้นตอนของระเบียบที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
สำหรับ การใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ได้มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 พ.ศ. 2563 เพื่อกำหนดขั้นตอนการจัดทำข้อเสนอโครงการ การพิจารณากลั่นกรอง และการอนุมัติโครงการที่ชัดเจน โดยในขั้นการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของโครงการฯ ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่กลั่นกรองแผนงาน/โครงการเพื่อเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณา
โดยได้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคส่วนต่างๆ เพิ่มเติมจากผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ในคณะกรรมการฯ เพื่อให้คณะกรรมการฯ สามารถพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของโครงการที่จะใช้จ่ายจากเงินกู้ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ เกิดความคุ้มค่าและสามารถแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ จากการพิจารณารายละเอียดของแผนงาน/โครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ จำนวน 283 โครงการ พบว่า มีพื้นที่ดำเนินโครงการกระจายอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ ได้มีการพัฒนาแอบพลิเคชั่นเพื่อรองรับการตรวจสอบและยืนยันตัวตน เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนแบบมุ่งเป้า ทำให้การใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เป็นไปอย่างคุ้มค่า โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมทั้งจะช่วยพัฒนาความสามารถในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลให้แก่คนไทย เพื่อรองรับการปรับตัวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดในอนาคตด้วย
สำหรับ ข้อสงสัยที่ว่าการระบาดใน 2 ระลอกที่ผ่านมา รัฐบาลมีแผนใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท แต่ในระลอก 3 ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม กลับมีแผนจะใช้งบประมาณเพียง 2.355 แสนล้านบาท เหตุใดจึงตั้งงบประมาณปีหน้าไว้แบบถดถอยคือลดงบประมาณรายจ่ายลงจากปีก่อน นั้น รองเลขาธิการฯ กล่าวว่า สศช. ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) ในการเร่งพิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระลอกเดือนเมษายน 2564 ที่เหมาะสมเพิ่มเติมจากมาตรการบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ โดยเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระลอกเดือนเมษายน 2564 ตามที่ สศช. เสนอ ประกอบด้วย มาตรการ 2 ระยะที่จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนถึงเดือนธันวาคม 2564
โดยมาตรการระยะที่ 1 ที่จะเริ่มต้นดำเนินการได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2564 ประกอบด้วย มาตรการการเงิน อาทิ มาตรการ สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 วงเงินรวม 20,000 ล้านบาทมาตรการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือ SFIs โดยให้ SFIs ขยายระยะเวลาพักชำระหนี้ โดยการพักชำระเงินต้นให้แก่ลูกหนี้ตามความสมัครใจ ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 มาตรการเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะเร่งด่วน ได้แก่ มาตรการลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า และน้ำประปาของประชาชน และกิจการขนาดเล็กทั่วประเทศ ในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 และมาตรการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ประชาชนที่ได้รับผลกระทบรวมประมาณ 43 ล้านคนวงเงินรวมประมาณ 85,500 ล้านบาท
ส่วนมาตรการระยะที่ 2 ในช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2564 ซึ่งคาดว่าสถานการณ์การระบาดน่าจะคลี่คลายลงจนอยู่ในระดับที่สามารถดำเนินมาตรการในระยะที่ 2 ได้ โดยมาตรการระยะที่ 2 จะเป็นการดำเนินโครงการเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายกว่า 51 ล้านคน และคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 473,000 ล้านบาทซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SME ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถมีโอกาสในการขายสินค้า และบริการได้มากขึ้น กรอบวงเงินประมาณ 140,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจุบัน (ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2564)คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการที่เสนอขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ ตามที่คณะกรรมการฯ เสนอแล้ว จำนวน 283 โครงการ รวมกรอบวงเงินกู้ 762,902.4958 ล้านบาท คงเหลือวงเงินกู้ 237,097.5042 ล้านบาทซึ่งยังพอเพียงสำหรับการดำเนินการตามมาตรการที่เสนอไปแล้ว
รองเลขาธิการฯ กล่าวในตอนท้ายว่า ขณะนี้ สศช. ได้ร่วมกันหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ เพื่อพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ รองรับสำหรับในกรณีที่รัฐบาลได้อนุมัติแผนงาน/โครงการใช้จ่ายตามพระราชกำหนดฯ เต็มจำนวนกรอบวงเงินกู้ที่กำหนดไว้ในพระราชกำหนดฯ คือ จำนวน 1 ล้านล้านบาท ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งนี้ หากได้ข้อยุติแล้วจะเร่งดำเนินการเสนอเรื่องดังกล่าวให้แก่คณะรัฐมนตรีต่อไป
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 10 พฤษภาคม 2564
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สภาพัฒน์ จัดระดมความคิดเห็นกรอบแผนฯ 13 กลุ่มเฉพาะ ด้านผู้สูงอายุ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดระดมความคิดเห็น "กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570)” กลุ่มเฉพาะ ด้านผู้สูงอายุ เพื่อนำไปประกอบการกำหนดแนวทางของแผนพัฒนาฯ ในการ “พลิกโฉมประเทศไทย สู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน”
นางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการประชุมและกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมระดมความคิดเห็นต่อ "กรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 กลุ่มเฉพาะ ด้านผู้สูงอายุณ ห้องประชุม 521 สศช. ซึ่งเป็นมุมมองของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีทั้งที่เป็นผู้สูงอายุและมีบริบทการทำงานเกี่ยวกับด้านสูงอายุ อาทิ รองศาสตราจารย์นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) นางจุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ นายวรเวศม์ สุวรรณระดา คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นางสาวดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโสกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ นางภารนี สวัสดิรักษ์ วุฒิอาสา และผู้แทน UNFPA รวมทั้ง ดร.มารยาท สมุทรสาคร และ นางสาว วรัญญา เตียวกุล อดีตข้าราชการ สศช. โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมทั้งสิ้นประมาณ 50 คน
นางสาวจินางค์กูรฯ กล่าวว่า การประชุมกลุ่มเฉพาะ ด้านผู้สูงอายุ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ซึ่ง สศช. มุ่งเปิดโอกาสให้ภาคีการพัฒนาและประชาชนทุกภาคส่วนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง โดยได้มีการจัดระดมความคิดเห็นทั้งในระดับพื้นที่ 18 กลุ่มจังหวัด และระดับกลุ่มเฉพาะ อาทิ กลุ่มหน่วยงานภาครัฐ กลุ่มภาคเอกชน กลุ่มเยาวชน และกลุ่มเฉพาะด้านผู้สูงอายุ และทางสื่อออนไลน์
จากนั้น นางสาววรวรรณ พลิคามิน ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สศช. ประธานการระดมความคิดเห็น นำเสนอบทบาทและกรอบแนวคิดในการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ผลการวิเคราะห์บริบทการพัฒนาประเทศ และสาระสำคัญของกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ซึ่งกำหนดเป้าหมายหลัก ในการ “พลิกโฉมประเทศไทยไปสู่ เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน” และ 4 องค์ประกอบ 13 หมุดหมาย ในการพลิกโฉมประเทศ ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 เศรษฐกิจมูลค่าสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มี 6 หมุดหมาย คือ (1) เกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง (2) การท่องเที่ยวเน้นคุณค่าและความยั่งยืน (3) ฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน (4) การแพทย์และสุขภาพแบบครบวงจร (5) ประตูการค้าการลงทุนและโลจิสติกส์ของภูมิภาค (6) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและบริการดิจิทัล
องค์ประกอบที่ 2 สังคมแห่งโอกาสและความเสมอภาค มี 3 หมุดหมาย คือ (7) SMEs วิสาหกิจชุมชน และวิสาหกิจเพื่อสังคมเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน (8) พื้นที่และเมืองมีความเจริญ ทันสมัย และน่าอยู่ (9) ความยากจนข้ามรุ่นลดลง และความคุ้มครองทางสังคมเพียงพอ เหมาะสม องค์ประกอบที่ 3 วิถีชีวิตที่ยั่งยืน มี 2 หมุดหมาย คือ (10) เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ (11) การลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ องค์ประกอบที่ 4 ปัจจัยสนับสนุนการพลิกโฉมประเทศ มี 2 หมุดหมาย คือ (12) กำลังคนมีสมรรถนะสูง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต และ (13) ภาครัฐที่มีสมรรถนะสูง
การระดมความคิดเห็นแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก เป็นการระดมความคิดเห็นต่อกรอบแผนพัฒนาฯ : เป้าหมายหลักในการ “พลิกโฉมประเทศไทยไปสู่ เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน” และช่วงที่ 2 เป็นการระดมความคิดเห็นต่อ 4 องค์ประกอบ 13 หมุดหมาย โดยมีความเห็นที่สำคัญ อาทิ
การกำหนดเป้าหมายและหมุดหมาย ควรให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบอย่างสมดุล และควรมีการกำหนดว่าหมุดหมายในแต่ละเป้าหมายนั้นมีแนวคิดในการได้มาอย่างไร ควบคู่กับการสื่อสารกับภาคีการพัฒนาต่างๆ อย่างทั่วถึง เพื่อสร้างความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
องค์ประกอบที่ 1 เศรษฐกิจมูลค่าสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควรเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โลจิสติกส์ และการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้มาตรฐานสากลและผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงได้ ขณะที่การท่องเที่ยวเน้นคุณค่าและความยั่งยืน ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาผังเมืองร่วมกันระหว่าง รัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม เนื่องจากเป็นการสร้างความตระหนักของคนในชุมชนและนักท่องเที่ยวถึงคุณค่าของทุนทางสังคม ตลอดจนควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงกับการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคเอกชน
องค์ประกอบที่ 2 สังคมแห่งโอกาสและความเสมอภาค ควรให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างสังคมที่เป็นธรรม การออกแบบระบบคุ้มครองทางสังคมสำหรับคนแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งการพัฒนาเมืองตามแนวคิด Resilient city ที่เมืองสามารถรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้
องค์ประกอบที่ 3 วิถีชีวิตที่ยั่งยืน การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ ต้องเริ่มต้นจากการสร้างความตระหนักถึงผลกระทบจากการผลิตและบริโภคที่ขาดความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในระดับครัวเรือนและชุมชน ขณะที่การลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการจัดการภัยพิบัติต้องอาศัยกลไกความร่วมมือในระหว่างประเทศเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
องค์ประกอบที่ 4 ปัจจัยสนับสนุนการพลิกโฉมประเทศ เป็นคานงัดสำคัญในการพลิกโฉมประเทศ โดยควรสร้างแนวคิดและทัศนคติ (Mindset) ของคนทุกช่วงวัย การสร้างคนที่มีคุณธรรม การสร้างความรอบรู้ด้านดิจิทัลโดยเฉพาะกลุ่มคนเปราะบางและกลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ขณะที่ภาครัฐต้องมีแนวทางในการลดขนาดอย่างจริงจัง การบูรณาการของภาครัฐควรต้องสะท้อนให้เห็นถึงการแบ่งปันทรัพยากรร่วมกัน และควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศของภาคีการพัฒนาต่าง ๆ (Partnership for Development) รวมถึงให้มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น
ภายหลังจากการระดมความคิดเห็นกลุ่มเฉพาะ ด้านผู้สูงอายุ ในวันนี้ สศช. จะนำความเห็นและข้อเสนอแนะของทุกท่านมาวิเคราะห์และประมวลผล เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการยกร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ในรายละเอียด ซึ่งจะมีการกำหนดประเด็นแนวทางการพัฒนา และตัวชี้วัดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนนำเสนอต่อสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ และรายงานต่อรัฐสภา ก่อนนำร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้ใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในเดือนตุลาคม 2565 ต่อไป
ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นต่อกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ของ สศช. ได้ทางเว็บไซต์ www.nesdc.go.th, Facebook สภาพัฒน์, Twitter สภาพัฒน์, Line สภาพัฒน์ Update, Email : [email protected] แบบสอบถามออนไลน์ และตู้ ปณ.49 ปทฝ.หลานหลวง กรุงเทพฯ 10102
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สภาพัฒน์ จัดระดมความคิดกรอบแผนฯ 13 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดระดมความคิดเห็น 'กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570)' ระดับภูมิภาคทั่วประเทศ และกลุ่มเฉพาะ รวมทั้งเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อนำความเห็นไปใช้ในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศต่อเนื่องจากแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560– 2565) โดยแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เป็นเสมือนก้าวที่ 2 ของการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาวตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
นางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมระดมความเห็นต่อ “กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570)” ระดับกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปางแม่ฮ่องสอน) ณ โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับจังหวัดที่เข้าร่วมประชุม อาทิ นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน และ นายสุรพล บุรินทราพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง และผู้ร่วมประชุมประกอบด้วย หน่วยงานราชการจากส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจเอกชน เครือข่ายภาคประชาสังคม และนักวิชาการ จำนวนประมาณ 150 คน
นางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์ กล่าวว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีภารกิจสำคัญประการหนึ่งคือการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เพื่อใช้เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศต่อเนื่องจากแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 –2565) ที่จะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน 2565 โดยแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เป็นเสมือนก้าวที่ 2 ของการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาวตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
กระบวนการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ผ่าน ๆ มา สศช. ได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดทิศทางและแนวทางการพัฒนาสำคัญของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ในกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ก็เช่นกัน สศช. ยังคงมุ่งเน้นเปิดโอกาสให้ภาคีการพัฒนาและสาธารณชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อแผนฯ อย่างกว้างขวาง ประกอบกับในมาตรา 15 ของพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2561 กำหนดว่าในการจัดทำแผนพัฒนาฯ นั้น ต้องจัดทำกรอบที่ผ่านความเห็นจากประชาชนก่อนเป็นอันดับแรก จึงจะดำเนินการในขั้นตอนของการจัดทำยุทธศาสตร์ของแผนฯ ในรายละเอียดต่อไป ดังนั้น สศช. จึงจัดกิจกรรมการระดมความเห็นต่อกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2564 ในหลายรูปแบบ ทั้งการจัดเวทีระดมความเห็นในระดับกลุ่มจังหวัดทั่วประเทศ การระดมความเห็นเฉพาะกลุ่มในส่วนกลาง รวมถึงการจัดให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมแสดงความคิดเห็นได้โดยสะดวกและทั่วถึงผ่านช่องทางออนไลน์และสื่อสาธารณะ
รองเลขาธิการฯ กล่าวในตอนท้ายว่า ภายหลังการระดมความเห็นในครั้งนี้ สศช. จะนำความคิดเห็นที่ได้มาประมวลและปรับปรุงกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ให้มีความครบถ้วน สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แล้วนำเสนอต่อสภาพัฒนาฯ หลังจากนั้น จะแต่งตั้งคณะกรรมการยกร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 แต่ละด้าน เพื่อจัดทำร่างยุทธศาสตร์แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ที่สอดคล้องกับกรอบที่จัดทำไว้ และจะมีการระดมความเห็นร่วมกับภาคีการพัฒนาต่อร่างยุทธศาสตร์ของแผนฯ ในช่วงปลายปี 2564 ต่อเนื่องต้นปี 2565 ต่อไป
จากนั้น เป็นการนำเสนอ 'ร่างกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13' โดยกำหนดแนวทางและหมุดหมายการพัฒนาให้ตอบสนองกับบริบทการพัฒนาที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ 6 ถึงปีที่ 10 ของยุทธศาสตร์ชาติ สรุปได้ดังนี้
สาระของกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 มีเป้าหมายเพื่อพลิกโฉมประเทศไทย สู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน โดยสิ่งที่ต้องทำ คือ การเปลี่ยนผ่านประเทศ หรือการ transform ประเทศใน 4 ด้านหลัก ได้แก่
ภายใต้องค์ประกอบในแต่ละด้าน จะมีการกำหนด 'หมุดหมาย' ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงสิ่งที่ประเทศไทยปรารถนาจะ 'เป็น' มุ่งหวังจะ 'มี' หรือต้องการจะ ‘ขจัด’ ในช่วงระยะเวลา 5 ปีของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เพื่อให้การขับเคลื่อนเป้าหมายการพลิกโฉมประเทศสู่การเป็น เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน ไปสู่การปฏิบัติมีทิศทางที่ชัดเจนและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม จำนวน 13 หมุดหมาย คือ (1) ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูปมูลค่าสูง (2) ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่าและความยั่งยืน (3) ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน (4) ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง (5) ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและจุดยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค (6) ไทยเป็นฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและบริการดิจิทัลของอาเซียน (7) มุ่งลดความเหลื่อมล้ำระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่และ SMEs (8) มุ่งลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ (9) มุ่งเพิ่มพลวัตการเลื่อนชั้นทางสังคมและลดความเหลื่อมล้ำเชิงรายได้และความมั่งคั่ง (10) ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ (11) ไทยสามารถปรับตัวและลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ (12) ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต และ (13) ไทยมีภาครัฐที่มีสมรรถนะสูง
ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นต่อกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ของ สศช. ได้ทางเว็บไซต์ nesdc.go.th, Facebook สภาพัฒน์, Twitter สภาพัฒน์, Line สภาพัฒน์ Update, Email : [email protected] แบบสอบถามออนไลน์ และตู้ ปณ.49 ปทฝ.หลานหลวง กรุงเทพฯ 10102
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด