ศุภชัย สมเจริญ
|
เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่สถาบันพระปกเกล้า นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บรรยายพิเศษหัวข้อ "คณะกรรมการการเลือกตั้งกับการทุจริตการเลือกตั้ง" ให้แก่นักศึกษาหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 18 ของสถาบันพระปกเกล้า ตอนหนึ่งว่า สภาพปัญหาการเลือกตั้งก่อนมี กกต.ส่วนใหญ่เกิดจากสมาชิกรัฐสภาสะท้อนผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองมากกว่าประชาชน คนมีความรู้ ความสามารถเข้าสู่ระบบการเมืองได้น้อย ขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐบางส่วนกลับใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ในการเลือกตั้งให้แก่กลุ่มธุรกิจการเมืองและผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นเพื่อแสวงหาผลประโยชน์และความก้าวหน้าในตำแหน่งทางการเมืองของตนเอง และสาเหตุสำคัญคือประชาชนขาดการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งเพราะมีหน้าที่เพียงออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้เองนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นต้นมา จึงได้เกิดองค์กร กกต.ขึ้นมาทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งโดยแยกการทำงานเป็นอิสระออกจากหน่วยงานราชการ นายศุภชัยกล่าวว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงปฏิรูปประเทศและยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนตัวมองว่าการปฏิรูปจะสัมฤทธิผลได้ดีนั้นต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น การเปลี่ยนแปลงให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง และให้ กกต.เป็นผู้ควบคุมการจัดการเลือกตั้งนั้น มองว่าเป็นการย้อนกลับไปสมัยก่อนมีรัฐธรรมนูญ 2540 อาจทำให้ กกต.ต้องทำงานลำบากและยากขึ้น ด้วยเหตุนี้เองทาง กกต.จึงได้จัดทำความเห็นและข้อเสนอแนะของ กกต.ต่อการควบคุมและการจัดการเลือกตั้ง เพื่อเสนอต่อคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญคณะที่ 8 ของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปประกอบการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพราะเรื่องการเลือกตั้งไม่ใช่เรื่องที่จะไปทดลอง นายศุภชัย กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอของ กกต.นั้นมีเนื้อหาสาระสำคัญคือเปรียบเทียบการทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งและงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งระหว่างองค์กรอิสระกับหน่วยงานราชการ กระบวนการทำงานพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน หากให้หน่วยงานราชการจัดการเลือกตั้งอาจถูกแทรกแซงและตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองที่มีอิทธิพลอยู่ในขณะนั้น ที่ต้องการเอื้อประโยชน์แก่ผู้สมัครและพรรคการเมืองก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้งได้ และอาจส่งผลให้ กกต.ไม่สามารถตรวจสอบและควบคุมการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสายการบังคับบัญชา การกำกับดูแล การบริหารจัดการเลือกตั้งเป็นของส่วนราชการประจำ นายศุภชัย กล่าวว่า หาก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญจะเปลี่ยนให้กระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงศึกษาจัดการเลือกตั้ง ต้องชี้แจงเหตุผลด้วยว่าสาเหตุที่เปลี่ยนหน่วยงานในการจัดการเลือกตั้งนั้นเพราะเหตุใด กกต.ทำงานบกพร่อง หรือมีข้อผิดพลาดอย่างไร ต้องชี้แจงให้ได้ เพราะหากชี้แจงไม่ได้ก็จะทำให้ประชาชนเกิดความสับสน อีกทั้งเห็นว่าการเสนอให้ยุบ กกต.จังหวัดเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เพราะ กกต.จังหวัดจะเป็นตัวแทนของ กกต.กลาง ในการจัดการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด ที่ผ่านมานั้นระบบดีแล้ว เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่กฎหมายแต่อยู่ที่คนและผลประโยชน์มากกว่า |
มติชนออนไลน์ :
สมชัย ศรีสุทธิยากร - พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
|
หมายเหตุ - นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงกรณีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีข้อเสนอให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งแทน กกต. สมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง สิ่งสำคัญเริ่มต้นจากอำนาจหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง โดยสิ่งที่ปรากฏตามกฎหมายอยู่ในขณะนี้ กกต.มีบทบาทหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ส่วนกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการไม่ได้มีอำนาจหน้าที่จัดการเลือกตั้งโดยตรง แต่ภารกิจของหน่วยงานเหล่านี้คือ การบำบัดทุกข์บำรุงสุขและดูแลเรื่องการศึกษา หากจะเปลี่ยนมาให้หน่วยงานดังกล่าวทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งนั้นก็ต้องคิดให้ดีและรอบคอบ จากประสบการณ์จากการเลือกตั้งมองว่า การเลือกตั้งไม่ใช่แค่ให้เกิดความสำเร็จ แต่ต้องสำเร็จและดีด้วย สามารถกลั่นกรองบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ คนดีเข้าสู่วงการเมือง ต้องไม่เปิดโอกาสให้คนที่กระทำการทุจริตเลือกตั้ง หรือมุ่งหวังที่จะใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองเพื่อสร้างประโยชน์แก่ตัวเอง ทั้งนี้ จากประสบการณ์ 16 ปีของ กกต. นับว่าเป็น 16 ปีของการสั่งสมประสบการณ์ เห็นปัญหา วิธีการ ลูกเล่นต่างๆ ของฝ่ายการเมืองที่ดำเนินการเพื่อทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จและได้เปรียบในการเลือกตั้ง จึงอยากให้มองว่าประสบการณ์ดังกล่าวเป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเลือกตั้งให้เกิดความสำเร็จ สามารถคัดคนดีเข้าสู่การเมืองได้ เพราะหากให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการ ก็อาจจะทำได้แค่จัดเลือกตั้งให้เสร็จและประกาศผลเลือกตั้งเท่านั้น ไม่มีกระบวนการการที่จะรองรับความชอบธรรมนักการเมืองได้ ส่วนเรื่องขององค์กรที่มีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งนั้น ควรเป็นองค์กรที่มีความชัดเจนเรื่องของความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมือง แต่เมื่อใดที่ไปอยู่กับกระทรวงหรือหน่วยงานราชการภายใต้กำกับของฝ่ายการเมือง ความเป็นกลาง ความไว้วางใจก็จะไม่เกิดขึ้น แม้ขณะนี้จะยังไม่มีฝ่ายการเมืองก็ตาม แต่ในอนาคตฝ่ายการเมืองจะเป็นฝ่ายกำกับดูแลราชการ จึงไม่สามารถรับประกันได้ ดังนั้น การให้กระทรวงมหาดไทยจัดการเลือกตั้งนั้นต้องระมัดระวัง เพราะตัวผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาจมีความเชื่อมโยงกับฝ่ายการเมือง เพราะที่ผ่านมา ข้าราชการปกครองหรือข้าราชการครู ล้วนถูกตั้งคำถามว่าถูกแต่งตั้งโดยฝ่ายการเมือง หรือต้องวิ่งไปหานักการเมืองทั้งสิ้น หากจะใช้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการจัดการเลือกตั้ง ถามว่าทุกวันนี้ใครจะเป็นผู้ว่าฯ จะต้องได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองในพื้นที่หรือไม่ ขณะที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กล้าปฏิเสธหรือไม่ว่าไม่ใช่หัวคะแนนนักการเมือง ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็เป็นเครือญาตินักการเมือง ส่วนบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่ก็ใช้เส้นสายนักการเมืองในการเติบโต ถ้าหากสิ่งเหล่านี้ยังคงมีอยู่ก็ไม่ควรให้การจัดเลือกตั้งไปอยู่ภายใต้หน่วยงานราชการ เพราะไม่สามารถไว้วางใจได้ว่าจะจัดเลือกตั้งได้เป็นกลาง ทั้งนี้ มองว่าคนที่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวมีด้วยกันอยู่ 3 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกเป็นพวกร้อนวิชา ที่อยากได้ของใหม่ ชอบทดลองในสิ่งใหม่ๆ ทั้งที่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหา จึงขอเตือนว่าไม่ใช่สิ่งที่จะมาทดลองกันเล่นๆ แต่ควรจะต้องเป็นสิ่งที่มาจากประสบการณ์ เห็นถึงปัญหาต่างๆ ในอดีต มองในสิ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงอย่างจะเปลี่ยน อยากจะปรับ โดยไม่คิดถึงผลกระทบที่ตามมาเท่ากับเป็นการถอยหลังลงคลอง กลุ่มที่สองเป็นพวกบ้าอำนาจ คือกลุ่มนักการเมืองที่คาดการณ์ว่าการออกแบบลักษณะหากมีการเลือกตั้งและชนะก็จะเข้ามาดูแลควบคุมกระทรวงมหาดไทย เป็นกลุ่มที่เล็งเห็นผลประโยชน์การณ์ไกล และกลุ่มที่สาม คือกลุ่มที่มีอำนาจในปัจจุบัน ซึ่งไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร กลุ่มนี้คิดที่จะใช้อำนาจที่มีอยู่ในปัจจุบัน ควบคุมกลไกต่างๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามความปรารถนา ไม่ได้เป็นการมองระยะยาว แต่เป็นการมองแค่ผลระยะสั้นไม่ได้คิดถึงอนาคตเลย การเลือกตั้งก่อนหน้านี้ คนของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการเคยเข้ามาช่วยจัดการเลือกตั้ง แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของ กกต.ที่ใช้กลไกที่มีอยู่ในการดูแล จะไม่เหมือนกับแนวคิดใหม่ที่ กกต.จะกลายเป็นเพียงผู้กำกับดูแลเท่านั้น อยากจะเปรียบเทียบว่า การคิดใหม่ในทำนองแบบนี้ท้ายสุดเปรียบเหมือนกับนิทานพื้นบ้านเรื่องจันทโครพ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ท้ายสุดจะกลายเป็นเหมือนนางโมรา ที่ยื่นดาบให้โจร นางโมราเขาลังเลใจว่า จะให้ดาบกับใครดีระหว่างพระเอกกับโจร นางโมราตัดสินใจวางดาบไว้ตรงกลางและให้คนทั้งสองไปหยิบกันเองแต่บังเอิญว่า ดาบที่วางไว้ตรงกลางนั้นด้ามของดาบกับไปอยู่กับฝ่ายโจร กรณีนี้บางครั้งสิ่งที่เรามุ่งหวังจะเปลี่ยนแปลง มันเป็นความคิดที่อยากจะจัดการกับโจรกับคนที่ทุจริตการเลือกตั้ง เราสร้างกลไกขึ้นมา แต่กลายเป็นว่า ฝ่ายโจรกลับได้ดาบนั้นไปแล้วเอาดาบนั้นมาทิ่มแทงเรา ก็เท่ากับว่าเรายื่นดาบให้กับโจรกลับมาทำร้ายคนดีหรือไม่ เราสร้างกลไกขึ้นมา เพื่อทำให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์และเที่ยงธรรม ทำให้ฝ่ายที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม หลุดออกไปจากการเมือง ดังนั้นการจะร่างหรือคิดสิ่งใด คิดว่าประสบการณ์ในอดีตต้องเป็นตัวชี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่แค่มองปัญหาในปัจจุบัน อยากให้ทุกฝ่ายมีสติ เพราะการสร้างกลไกขึ้นมาไม่ได้อยู่ครั้งเดียว แต่จะเป็นกลไกถาวรที่อยู่ไปเรื่อยๆ ยกเว้นจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข การพูดแบบนี้ ไม่ได้คิดเพื่อประโยชน์ของ กกต. หรือหวงอำนาจ แต่คิดตามหลักการสากล เพราะองค์กรที่จะจัดการเลือกตั้งต้องอยู่กับองค์กรที่เป็นอิสระ จะเป็นหน่วยงานใดก็ได้ คณะทำงานกี่คนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น กกต. แต่ขอให้มีความเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้กำกับของนักการเมืองหรือหน่วยราชการ เพราะประวัติศาสตร์ชี้แล้วว่า ข้าราชการประจำไม่อยู่ในฐานะที่จะไว้ใจว่าเป็นกลางทางการเมือง ส่วนการให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเลือกตั้งนั้น มองว่าภาคประชาสังคมต้องเข้มแข็ง ต้องไม่เป็นลักษณะเข้ามาร่วมตรวจสอบการเลือกตั้งอย่างในปัจจุบัน เพราะทุกวันนี้องค์กรเอกชนไม่ได้มีความเป็นกลางอย่างแท้จริง ทำให้การตรวจสอบเหมือนเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและกลายเป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้น กระบวนการได้มาของ กกต.จังหวัดก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิดในการสรรหา ที่มองว่าต้องได้ผู้ว่าราชการ หรือหัวหน้าส่วนราชการมาเป็น กกต. เพื่อให้การจัดการเลือกตั้งได้รับการช่วยเหลือ ตรงนี้ทำให้ผมไม่ไว้ใจ กกต.จังหวัดร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าจะสร้างกลไกที่ไว้ใจได้ ต้องมีภาคประชาสังคมเข้ามาเป็น กกต.จังหวัดในสัดส่วนที่เป็นเสียงข้างมาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กรณี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีข้อเสนอให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งแทน กกต.นั้น เอาเป็นว่า ถ้าเป็นกฎหมายออกบังคับใช้ แล้วกำหนดให้องค์กรใดทำหน้าที่นั้น จะเป็นหน่วยงานไหนก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และทำให้ได้ดีที่สุด เพราะเป็นเรื่องของประเทศชาติและสังคม ไม่ได้พูดว่าพร้อมหรือไม่พร้อม แต่ถ้าออกมาเป็นกฎหมายให้หน่วยงานใดทำ หน่วยงานนั้นก็ต้องทำให้เรียบร้อย ส่วนที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ออกมาแถลงว่า การให้กระทรวงมหาดไทยจัดการเลือกตั้งเท่ากับเป็นการยื่นดาบให้โจร พร้อมระบุว่า ข้าราชการไว้ใจไม่ได้นั้น ถ้าให้พูดแทนคนมหาดไทย เพราะเมื่อถึงตอนนั้น ผมก็ไม่ได้อยู่ที่กระทรวงมหาดไทยแล้ว ผมมีความเชื่อมั่นว่า ข้าราชการไทยที่ดีก็มี ผมคิดว่า ถ้าให้ทำเขาก็ทำได้ดี ไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก หรือถ้าให้หน่วยงานอื่นเป็นผู้จัดการเลือกตั้งนั้น ผมก็เชื่อมั่นว่า จะทำได้ดี ไม่มีใครเป็นผู้ร้ายแบบขาว-ดำ ขนาดนั้นหรอก |
กกต.ย้ำยึดประกาศคสช.ฉบับ 57 ยันตัดงบสนับสนุนพรรคการเมือง
แนวหน้า : นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.กล่าวถึงข้อเรียกร้องของพรรคประชาธิปัตย์ ที่อยากให้ทบทวนมติการตัดเงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมืองในปี 2558 ว่า เรื่องดังกล่าว กกต.ปฏิบัติตามคำสั่ง คสช.ที่ให้ยุติการให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองเป็นการชั่วคราว แต่ถ้าจะให้ทบทวนพรรคการเมืองก็ต้องเสนอเรื่องมายัง กกต. เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณาทบทวน แต่มติ กกต.เสียงส่วนใหญ่จะว่าอย่างไร คงต้องดูอีกที ทั้งนี้เราก็เห็นใจพรรคการเมืองที่ยังมีค่าใช้จ่ายต่างๆ อาจจะต้องสำรองเงินไปก่อน เพราะคำสั่ง คสช.ก็บอกว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น
รายงานข่าวจาก กกต. แจ้งยืนยันว่า กกต.ได้พิจารณาตามประกาศคสช. ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิ.ย. 2557 ที่กำหนดว่า ห้ามมิให้พรรคการเมืองที่มีอยู่ดำเนินการประชุม หรือดำเนินกิจการใดๆ ในทางการเมือง และการดำเนินการเพื่อการจัดตั้ง หรือจดทะเบียนพรรคการเมือง ให้ระงับไว้เป็นการชั่วคราว รวมทั้งให้ระงับการจัดสรรเงินสนับสนุนแก่พรรคการเมืองของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองไว้เป็นการชั่วคราวด้วย โดย ก่อนที่ กกต.จะมีมติ ก็ได้มีการหารือกับที่ปรึกษากฎหมายของ กกต. รวมถึงได้นำเข้าหารือกับที่ประชุมกรรมการกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ที่มีตัวแทนพรรคการเมืองเป็นกรรมาการแล้วด้วย ซึ่งในที่ประชุมตัวแทนพรรคการเมืองก็ได้มีการโต้แย้งขึ้นมาเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว แต่ทางสำนักงาน กกต. เห็นว่า ประกาศ คสช. ถือเป็นกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กกต. เห็นใจพรรคการเมือง ที่ยังมีภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่ กกต.ก็ไม่สามารถจ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองได้ เพราะประกาศ คสช.ยังคงห้ามพรรคการเมืองดำเนินการทางการเมืองอยู่ ทั้งนี้ หากพรรคการเมืองทำหนังสือโต้แย้งมาจริง กกต.ก็อาจจะมีการทบทวนอีกครั้งว่าจะสามารถช่วยเหลือเยียวยาอะไรได้มากน้อยแค่ไหนบ้าง อีกทั้งหากมีการยกเลิกประกาศ คสช.ฉบับดังกล่าวแล้ว จะมีการจ่ายเงินย้อนหลังได้หรือไม่นั้น คงต้องปรึกษาหารือกันในที่ประชุม กกต.ก่อนด้วย
กกต.คาด ส่ง 550 รายชื่อ สปช. ถึงคสช.19 ก.ย.นี้ สรรหาระดับจังหวัด ได้5รายชื่อครบทุกจังหวัด ไม่เกิน 22 กย.นี้
นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการกกต. แถลงถึงความคืบหน้าประชุมคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ 11 ด้าน และคณะกรรมการสรรหาระดับจังหวัด 77 จังหวัด ว่า วันนี้(17 ก.ย.) คณะกรรมการสรรหาสปช.ที่เหลืออีก 7 ด้าน จะมีการหารือกันอีกครั้ง ในเวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ที่กองพันทหารราบที่ 4 กรมทหาราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ (ร1 พัน4 รอ.) ซึ่งถ้าแล้วเสร็จก็คาดว่าวันที่ 19 ก.ย. สามารถนำรายชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็นสปช.ด้านละ 50 รายชื่อ เสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ ส่วนคณะกรรมการสรรหาสปช.ระดับจังหวัด ขณะนี้มีจังหวัดที่สามารถคัดเลือกผู้เหมาะสมเป็นสปช.จังหวัดละ 5 คนได้เรียบร้อยแล้ว 49 จังหวัด ส่วนที่เหลืออีก 28 จังหวัดนั้นจะทยอยประชุมไปจนถึงวันที่ 22 ก.ย.นี้ ดังนั้น คาดว่าในวันที่ 23 ก.ย.จะสามารถนำรายชื่อผู้เหมาะสมเป็นสปช.ในระดับจังหวัดเสนอให้คสช.พิจารณาได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด
นายภุชงค์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายบรรยงค์ สุวรรณผ่อง คณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ด้านอื่นๆ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ระบุเกี่ยวกับข้อผิดพลาดของการเสนอรายชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็นสปช. ขององค์กรนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไร และกรณีที่มีบุคคลถูกเสนอชื่อมากกว่า 2 องค์กร ว่า ปัญหาดังกล่าว สำนักงานกกต. เคยหารือกับคสช. ตั้งแต่ก่อนเปิดรับการเสนอชื่อแล้ว ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อพ.ร.ฎ.ว่าด้วยการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ แต่เมื่อตรวจพบ สำนักงานกกต. จะทำหมายเหตุให้คณะกรรมการสรรหาได้รับทราบ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีองค์กรนิติบุคคลที่ยื่นเสนอรายชื่อบุคคลมากกว่า 2 คน ตามที่กฎหมายกำหนดนั้น เพียง 20 องค์กร จาก 4,545 องค์กร ส่วนบุคคลที่ถูกเสนอชื่อเพื่อรับการสรรหาทั้งส่วนกลางและระดับจังหวัดนั้น มีเพียง 203 คน นอกจากนี้ยังพบว่ายังมีบุคคลที่ยื่นเสนอชื่อเกิน 1 ด้าน จำนวน 5 คน อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่รู้ว่าตนถูกเสนอชื่อเกินหนึ่งด้าน ได้ติดต่อเข้ามาเพื่อขอเลือกที่จะเข้ารับการสรรหาด้านใดด้านหนึ่ง
ยอมรับว่า ดังกล่าวอาจไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่อยากมองว่าเป็นการดำเนินการเพื่อให้ได้เปรียบบุคคลอื่นๆ และไม่น่าจะมีการนำประเด็นดังกล่าวไปเป็นเรื่องร้องเรียนภายหลังได้ เพราะเมื่อดูจำนวนมีเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับจำนวนทั้งหมด ซึ่งเชื่อว่าองค์กรนิติบุคลไม่มีเจตนา แต่เป็นลักษณะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะกรรมการสรรหาที่จะพิจารณาว่าจะเลือกบุคคลดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งทางสำนักกกต. ก็ไม่สามารถตัดสิทธิบุคคลเหล่านี้ได้"นายภุชงค์ กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
กตต. ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครสรรหา สปช. คืบหน้าแล้ว 70-80%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ประชุมร่วมกับเลขานุการคณะกรรมการสรรหา สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ทั้ง 11ด้าน โดยนายภุชงค์ ระบุว่า เนื่องจากวันที่ 12ก.ย. คณะกรรมการสรรหา สปช. ทั้ง 11 ด้าน จะประชุมเพื่อสรรหาผู้เหมาะสมเป็น สปช. ในเวลา16.00น. ที่ ร.1พัน 4รอ. โดยสำนักงาน กกต. จึงได้มีการเตรียมความพร้อม ทั้งสถานที่ อุปกรณ์ ส่วนการตรวจสอบคุณสมบัติจำนวน 7,370 คน ส่งให้ 18หน่วยงานตรวจสอบคืบหน้าแล้ว 70-80%คนที่ขาดคุณสมบัติยังมีเพียง 30 ราย เช่น เพิกถอนสิทธิ 2 ราย ล้มละลาย 1ราย นอกจากนี้ยังมีคดีเล็กน้อยประมาณ 80ราย แต่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติต้องห้ามที่จะเป็น สปช. และยังมีเรื่องสัญชาติอีก 20ราย ซึ่งยอมรับว่าการตรวจสอบทำได้ยาก
ทั้งนี้มี 2 ด้านที่ตรวจสอบคุณสมบัติแล้วเสร็จ และส่งให้คณะกรรมการสรรหาด้านนั้น ๆ แล้ว เหลืออีก 9 ด้าน ซึ่งจะทยอยส่งให้คณะกรรมการสรรหาภายในวันที่ 11ก.ย. หลังจากวันที่ 12ก.ย.จะทราบว่าคณะกรรมการจะประชุมครั้งต่อไปในวันใด คาดว่าจะประชุม 3-4ครั้งจึงจะสามารถเคาะรายชื่อเหลือด้านละ 50คนได้ นอกจากนี้ในส่วนคณะกรรมการระดับจังหวัดพร้อมจะสรรหาแล้ว แต่ขอไว้ให้ประชุมแบบคู่ขนานกับคณะกรรมการ 11ด้าน ในวันที่ 12ก.ย.เพื่อไม่ให้รายชื่อหลุดออกมาก่อน ซึ่งระดับจังหวัดจะเกร็งมากเพราะทำเสร็จแล้ว แต่เชื่อว่ารายชื่อคงไม่หลุด ถ้าหลุดออกมาก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ส่วนที่มีกระแสว่าจะมีการบล็อกโหวตในการสรรหา สปช.นั้นมองว่าการบล็อกโหวตนั้นคงไม่มี เพราะเชื่อว่าทุกคนคงไม่เอาเกียรติยศมาทิ้งกับเรื่องนี้ แต่หากเกิดเรื่องขึ้นทั้งจังหวัดและส่วนกลางต้องรับผิดชอบ.
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด