กกต.เผยยกร่าง กม.ลูก 4 ฉบับเสร็จแล้ว เร่งตรวจถูกต้องก่อนทยอยเสนอ กรธ.
นายธนิศร์ ศรีประเทศ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงว่า ที่ประชุม กกต.ได้พิจารณากรณีที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เร่งรัดให้กกต.ส่งร่างพ.ร.บ.ประกอบที่เกี่ยวการเลือกตั้ง 4 ฉบับให้กรธ.ภายใน 2 สัปดาห์ โดยทางสำนักงาน กกต. ได้มีการยกร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งวันนี้ทางคณะทำงานได้มีการรับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมือง และร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.
นอกจากนี้ ทางที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการกำหนดว่าร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.จะมีการเสนอที่ประชุมฯ พิจารณาในวันที่ 6 ก.ย.59 และจะส่งให้ กรธ.ได้ภายในวันที่ 15 ก.ย.59
สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งจะเสนอที่ประชุมฯ พิจารณาในวันที่ 20 ก.ย.59 และจะส่งให้ กรธ.ได้ในสิ้นเดือน ก.ย.59 และร่าง พ.ร.บ.การได้มาซึ่ง ส.ว.จะเสนอที่ประชุมฯ พิจารณาในวันที่ 27 ก.ย.59 และเสนอ กรธ.ได้ไม่เกินสัปดาห์แรกของต้นเดือน ต.ค.59
ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องใช้ระยะเวลาเนื่องจากต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ คณะทำงานของ กกต.จึงจำเป็นต้องพิจารณาร่างกฎหมายประกอบให้มีความรอบคอบและสอดคล้องกับร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
ส่วนกรณีที่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เสนอให้ยกเลิก กกต.จังหวัดนั้น นายธนิศร์ กล่าวว่า ที่ประชุมฯ ยังยกร่างไปตามข้อเสนอของ กกต. โดยไม่มีเรื่องการยุบ กกต.ประจำจังหวัด หากจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรเป็นสิทธิของ กรธ.ที่จะพิจารณา
อินโฟเควสท์
กกต.แถลงผลประชามติเป็นทางการ เห็นชอบร่าง รธน. 61.35% เห็นชอบคำถามพ่วง 58.07%
นายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงผลการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ โดยพบว่า ในประเด็นที่ 1 เรื่องร่างรัฐธรรมนูญ มีผู้เห็นชอบ 16,820,402 คน หรือคิดเป็น 61.35% ไม่เห็นชอบ 10,598,037 คน หรือคิดเป็น 38.65%
ส่วนประเด็นที่ 2 เรื่องคำถามพ่วงท้าย มีผู้เห็นชอบ 15,132,050 คน หรือคิดเป็น 58.07% ไม่เห็นชอบ 10,926,648 คน หรือคิดเป็น 41.93%
โดยจังหวัดที่เห็นชอบในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 2 สูงสุด 5 อันดับแรก คือ อันดับ 1 ชุมพร อันดับ 2 นครศรีธรรมราช อันดับ 3 ภูเก็ต อันดับ 4 สุราษฎร์ธานี และอันดับ 5 ระนอง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ส.ค.59 มีผู้มาใช้สิทธิออกเสียง 29,740,677 คน หรือคิดเป็น 59.40% ของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 50,071,589 คน โดยมีบัตรเสียทั้งหมด 936,209 ใบ คิดเป็น 3.15%
จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ ลำพูน 76.47%, แม่ฮ่องสอน 74.36%, เชียงใหม่ 73.17%, ตาก 70.06% และเชียงราย 67.64%
นายประวิช รัตนเพียร กรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า ผลการออกเสียงประชามติในครั้งนี้ไม่มีจังหวัดใดเลยที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อยกว่า 50% ซึ่งจากนี้ กกต.จะสรุปผลการดำเนินงานทั้งหมด ตลอดจนปัญหาอุปสรรคต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมการจัดการเลือกตั้งใหญ่ในช่วงปลายปี 2560 หากเป็นไปตามกำหนดการที่รัฐบาลวางไว้
ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า สำหรับผู้มาใช้สิทธิอยู่ในระดับที่น่าพอใจและมากกว่าการลงประชามติ เมื่อปี 2550 รวมถึงกรณีบัตรเสียก็อยู่ในระดับที่พอใจ ซึ่งบัตรเสียส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยที่ปัตตานี มีบัตรเสีย 7.43% นราธิวาส มีบัตรเสีย 7.11 % และยะลา มีบัตรเสีย 6.54 % และ กกต.จะนำผลดังกล่าวไปศึกษาวิจัยว่า สาเหตุของบัตรเกิดจากเหตุอะไร ซึ่งอาจเป็นเรื่องของการรับรู้ ความเข้าใจ เรื่องของภาษา หรือเรื่องของศาสนา เป็นต้น
สำหรับเหตุการณ์ฉีกบัตร มีทั้งหมด 34 จังหวัด รวม 59 เหตุการณ์ ไม่มีเจตนา 58 เหตุการณ์ และมีเจตนา 1 เหตุการณ์
พร้อมยืนยันว่า กกต.ได้เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นต่อการลงประชามติในครั้งนี้อย่างกว้างขวาง ไม่เคยจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น และเปิดโอกาสให้มีการดีเบตมากกว่าการเลือกตั้งทุกครั้งในอดีตที่ผ่านมาด้วย
นายสมชัย กล่าวว่า สำหรับการร้องคัดค้านการออกเสียงประชามติ ปรากฎว่าไม่มีสำนวนเรื่องร้องคัดค้านการออกเสียงภายในระยะเวลาตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ประกอบข้อ 117 ของระเบียบ กกต.ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2559 กล่าวคือ ไม่มีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงจำนวนไม่น้อยกว่า 50 คนในหน่วยออกเสียง ยื่นคำร้องคัดค้าน พร้อมแสดงหลักฐานต่อ กกต.หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ภายใน 24 ชม.นับแต่การออกเสียงสิ้นสุดลง
"กกต. จึงได้มีมติประกาศผลการออกเสียงประชามติอย่างเป็นทางการ เนื่องจากพ้นระยะเวลายื่นคำร้องคัดค้าน และได้รับรายงานผลการนับคะแนนออกเสียงจากทุกหน่วยออกเสียงทั้งประเทศแล้ว และไม่มีการร้องคัดค้าน โดยจะรายงานผลการออกเสียงประชามติให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ ซึ่งได้มอบหมายให้นายบุณยเกียรติ รักชาติเจริญ รักษาการ เลขาธิการ กกต.เป็นผู้นำผลเป็นทางการไปส่งที่สำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาลแล้ว" นายสมชัย กล่าว
รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ในเวลา 18.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะออกแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความขอบคุณประชาชนและชี้แจงขั้นตอนการดำเนินงาน หลังจากลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผ่านสถานีโทรทัศน์ทุกช่องและสถานีวิทยุทั่วประเทศ
อินโฟเควสท์
กกต.คาดสรุปผลประชามติร่าง รธน.อย่างไม่เป็นทางการได้ภายใน 3 ทุ่มของวันที่ 7 ส.ค.
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คาดว่า จะสามารถทราบผลการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญอย่างไม่เป็นทางการได้ภายในเวลา 21.00 น.ของวันที่ 7 ส.ค.นี้ โดยตั้งใจว่าจะมีการรายงานผลให้ได้ 90-95% ส่วนผลอย่างเป็นทางการนั้น คาดว่าจะสรุปผลและนำเสนอรายงานต่อรัฐบาลได้ภายใน 3 วัน หลังจากวันลงประชามติ
"น่าจะรู้ผล ไม่เกิน 21 นาฬิกา เป็นการรายงานผลไม่เป็นทางการ และไม่ครบ 100% ส่วนการประกาศผลอย่างเป็นทางการจะรายงานเพียงครั้งเดียว ตั้งใจจะให้รู้ผลภายใน 3 วัน"นายสมชัย กล่าว
พร้อมระบุว่า สำหรับการรายงานผลอย่างเป็นทางการนั้น ในวันที่ 8 ส.ค. กกต.จะประชุมเพื่อสรุปผลการลงคะแนนเสียง ซึ่งหากมีการรายงานผลครบทุกจังหวัดได้ก็จะมีประกาศภายในวันดังกล่าวทันที แต่หากยังไม่แล้วเสร็จ ก็จะมีการประชุมในวันถัดไป แต่จะไม่เกิน 3 วัน และจะนำผลรายงานต่อรัฐบาลต่อไป
นายสมชัย ยังได้ชี้แจงถึงระบบการรายงานผลการออกเสียงประชามติอย่างไม่เป็นทางการว่า การนับคะแนนจะนับที่หน่วยออกเสียงหลังจากเวลาปิดหีบ 16.00 น. และประชาชนสามารถเข้าสังเกตการณ์และบันทึกภาพการนับคะแนนในทุกหน่วยได้ พร้อมแนะนำให้ประชาชนสามารถถ่ายภาพผลการนับคะแนน และโพสต์ลงเฟสบุ๊กพร้อมทั้งติดแฮชแท็กว่า #ผลประชามติ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้การนับคะแนนมีความโปร่งใส
ภายหลังการนับคะแนน เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยจะทำการส่งผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการผ่านแอพพลิเคชั่น แรบบิทรีพอร์ต ซึ่งเจ้าหน้าที่แต่ละคนจะมีรหัสประจำตัว และรหัสผ่านที่ใช้สำหรับการรายงานผลเป็นการเฉพาะ เพื่อให้รับทราบว่าเป็นการรายงานผลมาจากหน่วยใด และสามารถตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนได้ โดยเชื่อว่าระบบสัญญาณจะไม่เป็นปัญหา และคาดว่าจะมีการรายงานผลจากพื้นที่ส่งมาส่วนกลางได้ 90% จากทั่วประเทศ ซึ่งน่าจะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการในแต่ละพื้นที่ในเวลา 18.00-18.30 น.
นายสมชัย กล่าวต่อว่า เมื่อมีการส่งคะแนนมายังส่วนกลาง กกต.จะรายงานผลความคืบหน้าผ่านจอโปรเจ็คเตอร์ 2 จอ จอแรกจะเป็นการรายงานความคืบหน้า ทั้งในเรื่องของจำนวนผู้มีสิทธิ์ จำนวนบัตรดีและบัตรเสีย รวมถึงกราฟแสดงผลเห็นชอบ-ไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ รวมถึงคำถามพ่วง ซึ่งจะเป็นการรายงานผลจากทั่วประเทศ พร้อมทั้งแสดงข้อมูลสรุปแบบภูมิภาค ทั้ง 4 ภาคด้วย ส่วนจอที่สอง จะรายงานตัวเลขระดับจังหวัด คนเห็นชอบ-ไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ และประเด็นคำถามพ่วง หน้าจอละ 10 จังหวัดเรียงตามอักษร และจะสลับให้ดูในทุกๆ 20 วินาที โดยจะมีการทดลองระบบการรายงานผลเต็มรูปแบบในวันที่ 5 ส.ค.เวลา 14.00 น.
นายสมชัย ได้ชี้แจงเรื่องหีบบัตรพลาสติกสำหรับลงคะแนนอีกครั้งว่า เป็นหีบที่ กกต.มีมติให้นำมาใช้แทนหีบกระดาษที่สามารถใช้ได้เพียงแค่ 1-2 ครั้ง โดยได้มีการสอบถามสถาบันพลาสติกในเรื่องของความคงทน เรื่องคุณภาพการใช้งาน ซึ่งหีบบัตรที่ใช้ได้ทำจากพลาสติกใหม่ 100% ผ่านการประกวดราคาของสำนักงาน กกต. จำนวน 50,000 ใบ ราคาใบละ 243.96 บาท พร้อมยืนยันว่าหีบมีมาตรการควบคุมการเปิดซึ่งมีสายรัดที่แน่นหนา และหากดูแลรักษาดีจะสามารถใช้ได้นานหลายปี
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างแถลงข่าววันนี้ได้มีการทดสอบความแข็งแรงของสายรัดหีบบัตรพลาสติก โดยนายสมชัยได้ให้เจ้าหน้าที่มาสาธิตวิธีการรัดสายหีบบัตร และเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนมาร่วมทดสอบความแข็งแรงของสายรัดว่าไม่สามารถถอดได้ง่าย แต่เมื่อสื่อมวลชนได้ทดสอบโดยการออกแรงดึง กลับปรากฎว่าสามารถดึงสายรัดหีบบัตรออกได้ถึง 2 ครั้ง ซึ่งในครั้งแรกนายสมชัยระบุว่า อาจใส่ผิดด้าน จึงให้ทดสอบอีกครั้ง แต่พอครั้งที่ 2 ก็ยังสามารถดึงออกได้อีก จึงมีการได้ทดสอบอีกเป็นครั้งที่ 3 ถึงจะไม่สามารถดึงออกได้ นายสมชัยจึงได้แก้ต่างว่า การรัดสายรัดจะต้องรัดให้ถึงด้านในสุดถึงจะไม่สามารถดึงออกได้
อินโฟเควสท์
วิษณุ พอใจเวทีแจงทำประชามติร่าง รธน.สร้างสรรค์ หนุน กกต.เดินหน้าจัดต่อ
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยืนยันเนื้อหาส่วนใหญ่ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ยึดตามเดิม มีเพียง 2 ประเด็นที่เปลี่ยนแปลง คือ บัญญัติการกระทำความผิดผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพราะปัจจุบันมีการแสดงความเห็นต่างๆ ผ่านทางโลกออนไลน์มากขึ้น และการเพิ่มโทษกลุ่มบุคคล 5 คนขึ้นไปที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย แต่ประชาชนยังมีสิทธิเต็มที่
นายสมชัย ได้ตอบคำถามของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถึงความหมายของคำว่าหยาบคาย ก้าวร้าว ข่มขู่ รวมถึงการสวมเสื้อรับและไม่รับร่างรัฐธรรมนูญว่าทำได้หรือไม่ ว่า ตามมาตรา 61 ของ พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ มี 7 วงเล็บ ซึ่งทั้งหมดเป็นสาระเดียวกับกฎหมายการทำประชามติในอดีต ไม่มีความแตกต่าง แต่มาตรา 61(2) ได้เพิ่มคำว่าสื่ออิเล็กอิเล็กทรอนิกส์ เข้าไป และหากไปดูประกาศของ กกต.ก็จะเห็นตัวอย่าง 6 ข้อทำได้ 8 ข้อทำไม่ได้เอาไว้ ซึ่งหัวใจสำคัญที่กกต.คำนึงถึง คือ ข้อเท็จจริงในร่างรัฐธรรมนูญ หากมีการบิดเบือนเนื้อหา ถือว่าทำไม่ได้ แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องในอนาคต หรือคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า หากรับ-ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญสามารถทำได้ ส่วนคำหยาบคาย ก้าวร้าว รุนแรง เปรียบเทียบมาตรฐานชนชั้นกลาง เช่น กู มึง พูดได้ ไม่ถือว่าหยาบคาย แต่หากพูดปลุกระดม กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในสังคมทำไม่ได้ แต่ต้องให้ระมัดระวังการทำผิดกฎหมายอื่นๆและคำสั่ง คสช. ด้วย
"การชักชวนให้ใส่เสื้อ ติดป้ายรับ สามารถทำได้ หากไม่นำไปสู่ปลุกระดม ส่วนการขายเสื้อของกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม กกต.ยังไม่ชี้ว่าผิดหรือไม่ แต่ถ้าไปสู่การปลุกระดม ข่มขู่ จะถือว่าผิดทันที เข่นเดียวกับการใส่เสื้อ Yes No ก็สามารถทำได้" นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย ยืนยันว่า ในมาตรา 61 ของ พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ และประกาศข้อห้ามของ กกต. เขียนละเอียดชัดเจนในระดับหนึ่งแล้วจะไม่มีการอธิบายและขยายความเพิ่มเติมอีก เพราะเป็นภาษากฎหมาย และการที่ให้เจ้าหน้าที่ไปชี้แจงประชาชนเป็นเพียงการนำข้อเท็จริงในร่างรัฐธรรมนูญให้ประชาชนได้รับรู้ ไม่สามารถบอกให้รับหรือไม่รับ
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาในวันนี้เริ่มต้นจากความไม่รู้ และสิ่งที่น่ากลัวคือ คิดว่าเรื่องที่เรารู้นั้นถูกต้อง ดังนั้นเวทีนี้คือ ทำให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน แม้ พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ มีความไม่ชัดเจนในหลายประเด็นที่มีการตั้งข้อสงสัยอยู่จริง แต่การจะทำให้เกิดความเข้าใจกันทั้งหมดคงเป็นไปได้ยาก โดย พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ ในมาตรา 7 ถือเป็นหลัก
เพราะได้พูดถึงบุคคลมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นโดยไม่ขัดกฎหมาย ดังนั้นการแสดงความเห็นต้องยึดมาตรา 7 เว้นแต่จะเข้าข่ายตามมาตรา 61 ที่เป็นข้อยกเว้น ไม่ให้กระทำการที่ไม่เป็นความจริง ห้ามรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม ข่มขู่ ดังนั้นหากไม่เข้าข่ายเหล่านี้ก็ไม่ผิด และการ "ชี้นำ" หรือ "รณรงค์" ที่หลายฝ่ายพูดถึงนั้น ก็ไม่ได้ผิดและไม่มีการเขียนไว้ในกฎหมาย แต่ทั้งนี้ต้องระวังการทำผิดคำสั่ง คสช. ด้วย
นายวิษณุ กล่าวว่า คำว่า ปลุกระดม นั้น เป็นคำที่อธิบายความหมายค่อนข้างยาก โดยแนะให้ไปเปิดความหมายที่จากพจนานุกรมจะได้ไม่ทำผิด ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีเคยกล่าวกับตนเองว่า ทำไมไม่มีการตั้งกรรมการกฎหมายขึ้นมา เพราะบุคคลที่จะดำเนินคดีตามมาตรา 61 คือ มี กกต. กับ ตำรวจ นายกฯจึงเห็นว่า น่าจะมีกรรมการกฎหมายขึ้นมาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่ง กกต.ระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ที่ดูแลอยู่แล้ว ส่วนตำรวจนั้นรัฐบาลจะกลับไปพิจารณาตั้งกรรมการเพื่อดูแลในเรื่องนี้
นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มีอำนาจในการพิจารณาให้มีการประชุมพรรคการเมืองได้ ซึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้อยู่ในการพิจารณาของคนที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้มีสัญญาณหลายอย่างที่ดีขึ้น เช่นที่ ผู้บัญชาการทหารบกมีแนวคิดยกเลิกการเรียกบุคคลมาปรับทัศนคติ แต่ทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของประเทศด้วย และดูจังหวะเวลาที่สมควร ไม่ต้องการปลดล็อคอันหนึ่งเพื่อไปสร้างล็อคอันใหม่ ขอทุกคนอย่าวิตก หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านและประกาศใช้ จะมีอะไรหลายอย่างที่ต้องพิจารณาปรับปรุง จะต้องมีการทบทวนหลายอย่าง
นายวิษณุ กล่าวว่า ดีใจที่มีการประชุมเช่นนี้เกิดขึ้น เป็นการประชุมที่สร้างสรรค์ และอยากเห็นบรรยากาศเช่นนี้ต่อไป แต่ก็ต้องดูปัจจัยเรื่องความสงบเรียบร้อย ที่รัฐบาลต้องดูแลจากนี้ไป และมองว่า ช่วงเวลาจากนี้ล่อแหลม เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการแตกแยกขัดแย้งได้อีก
นายวิษณุ กล่าวว่า บรรยากาศวันนี้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ถือเป็นการเปิดปฐมฤกษ์ในการสร้างความเข้าใจ และเพื่อให้ กกต.สามารถดำเนินการจัดกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป และถือเป็นการรับข้อเสนอของพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการต่อแม่น้ำ 5 สาย และ กกต.ซึ่งตนเองก็นำผลการหารือวันนี้รายงานต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่ขณะนี้ยังไม่ข้อสรุปหรือสามารถรับปากได้ว่าจะมีการปลดล็อคผ่อนปรนคำสั่ง คสช. ในเรื่องอนุญาตให้จัดกิจกรรมพรรคการเมืองได้หรือไม่ ซึ่งจะสรุปรวบรวมข้อเสนอแนะต่างๆ นำเสนอต่อที่ประชุม คสช.ในลำดับต่อไป จึงไม่อยากสรุปไปก่อนเพราะกลัวจะเสียคำพูดภายหลัง
ด้านนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำ นปช.กล่าวว่า ขอบคุณทุกองค์กรที่เปิดเวทีในวันนี้ สิ่งที่ได้จากวันนี้คือภาพที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีอำนาจเปิดพื้นที่และสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้มีการแสดงความคิดเห็นต่อร่าง รธน.มากขึ้น แม้ว่าในเนื้อหาสาระของการชี้แจงอาจจะไม่แตกต่างจากที่เคยชี้แจงผ่านทางสื่อมวลชน พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลและ คสช.เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญได้อย่างเสรีเหมือนกับที่เคยปฏิบัติในการลงประชามติเมื่อปี 2550 ซึ่งเชื่อว่าจะนำไปสู่การทำประชามติอย่างแท้จริง และพร้อมให้ความร่วมมือหากรัฐบาลจะมีการเปิดเวทีแสดงความเห็นอีก
สมชัย หวังการเปิดเวทีแจงร่างรธน.-ประชามติสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน/วิษณุยันเดินหน้าสู่ ปชต.วิถีไทย
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวก่อนการประชุมชี้แจงพรรคการเมืองเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ประชามติ และพรรคการเมืองในวันนี้ว่า จะให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำประชามติจาก 5 ฝ่าย คือ กกต. คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศ (สปท.) และคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตัวแทนจากรัฐบาล ชี้แจงบทบาทของตนเอง กลุ่มละ 5-8 นาที โดยในช่วงแรกจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชม. จากนั้นจะเป็นการตอบคำถามพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองต่างๆที่มีข้อสงสัยหรือมีปัญหา โดยให้ผู้รับผิดชอบแต่ละงานชี้แจงทั้งนี้ไม่ได้กำหนดเวลาว่าการประชุมฯจะต้องเสร็จกี่โมงแต่ขอให้เป็นเวทีที่ทำให้ทุกฝ่ายได้ทำความเข้าใจให้ตรงกัน
นายสมชัย กล่าวต่อว่า สิ่งที่คาดหวังในวันนี้ อย่างน้อยที่สุดคือจะเกิดความเข้าใจในกลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองในเรื่องการออกเสียงประชามติและน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะไปทำความเข้าใจกับสมาชิกในองค์กรและกลุ่มต่างๆต่อไป
ส่วนกลุ่มการเมืองที่เข้าร่วมในวันนี้ จะทำผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติไม่ได้อีกใช่หรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า
ไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น แต่เชื่อว่าไม่มีใครอยากทำผิดกฎหมาย ส่วนการนำเสนอข่าวของสื่อเสนอได้ทุกเรื่อง แต่อยากให้กลั่นกรองข้อเท็จจริงไม่ปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวาย ส่วนการรายงานข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆยังสามารถทำได้
สำหรับ หลักเกณฑ์การพิจารณาบัตรดีบัตรเสีย จะใช้เกณฑ์เหมือนการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านแบ่งเป็นรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และ คำถามพ่วงประชามติ หาก กากบาท เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง จะไม่ถือว่าเป็นบัตรเสีย เว้นแต่เขียนข้อความลงไป
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่กกต. เปิดเวทีชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญและการทำประชามติให้กับพรรคการเมืองต่างๆ นั้นเชื่อว่าจะช่วยให้อะไรดีขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้หวังผลดีเลิศมาก แต่อย่างน้อยเป็นการพบปะกัน หากได้ผลดีก็จะมีการจัดเวทีในครั้งต่อไป เพราะ กกต.มีแผนจัดเวทีชี้แจงอีก 10 เวที แต่หากครั้งนี้เกิดความล้มเหลวไม่สร้างสรรค์นำมาสู่ความแตกแยกร้าวฉานก็ต้องคิดทบทวนใหม่
ส่วนกรณีที่นายเวอร์เนอร์ แลงเกน สมาชิกรัฐสภายุโรปจากประเทศเยอรมนี ในฐานะประธานคณะกรรมการด้านความสัมพันธ์กับประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาเซียน พร้อมคณะผู้แทนสมาชิกรัฐสภายุโรปรวม 8 คน เรียกร้องให้ประเทศไทยเปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นนั้น นายวิษณุ กล่าวว่า ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวจากหนังสือพิมพ์ และคิดว่าข้อเสนอแนะขององค์กรระหว่างประเทศดังกล่าวไม่ถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในประเทศ เพราะเป็นการดำเนินการอย่างเปิดเผย โปร่งใส ซึ่งอยู่บนพื้นฐานที่อารยะประเทศทำกัน และไม่ได้เป็นการแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ในทำนองที่เป็นการใช้อารมณ์
"รัฐบาลไม่ได้ว่าอะไร ขณะนี้อาจจะยังไม่เป็นประชาธิปไตยก็ต้องยอมรับ แต่เราก็ตั้งเป้าหมายว่าเราจะต้องไปสู่ประชาธิปไตย ไม่เหมือนบางประเทศที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายจะไปสู่ประชาธิปไตยก็ยากหน่อย ก็ต้องค่อยๆเดินไป แต่จะมาบอกว่าเป็นประชาธิปไตยแล้วทำไมเป็นแบบนี้ก็พูดไม่ได้ เพราะเราไม่ได้บอกว่าเราเป็น อย่างที่ใครๆตั้งเป้าหมาย เช่นนั้นจะใช้ตาชั่งเดียวกันมาวัดคงยาก แต่ก็ตั้งใจวันหนึ่งเราจะรื้อตาชั่งนี้ทิ้ง และใช้ตาชั่งแบบเขา แต่ขณะนี้ใช้ตาชั่งแบบเขาไม่ได้ เพราะเรายังจัดระเบียบไม่ได้" นายวิษณุ กล่าว
ส่วนที่ต่างชาติอยากให้ไทยปกครองแบบประชาธิปไตยด้วยการเดินตามแนวทางเดิมนั้น นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ถือเป็นความปรารถนาดี ตนเองไปเที่ยวมาหลายประเทศ ซึ่งต้องมองถึงบริบทวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ความจำเป็นของแต่ละประเทศ ซึ่งจะใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ได้
“ผมไปโครเอเชียใหม่ๆ กินข้าว ผ้าปูโต๊ะในร้านอาหารทุกร้านยกขึ้นมายังมีรูกระสุนอยู่บนโต๊ะทั้งนั้น เขาอุตส่าห์เอาผ้าปิดเอาไว้ แล้วเราจะมาคาดหมายให้เขาต้องเป็นอย่างเราคงยาก เพราะเราไม่ได้มีสถานะลูกกระสุนเจาะโต๊ะอย่างนั้น" นายวิษณุ กล่าว
ประวิตร เผยรัฐบาลพร้อมเปิดเวทีแสดงความเห็นร่างรธน. มองการเมืองคลี่คลายขึ้น-ไม่ห่วงผู้แทน EU พบยิ่งลักษณ์-อภิสิทธิ์
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ระบุว่า การเปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นก่อนการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการให้เปิดช่องทางแสดงความคิดเห็นได้ ซึ่งได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายไปพิจารณาดำเนินการในเรื่องนี้ เชื่อว่าสถานการณ์ความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ จะคลี่คลายขึ้น ส่วนการยกเลิกเรียกบุคคลที่เห็นต่างมาปรับทัศนคตินั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จะยกเลิกหรือไม่ เป็นไปตามคำพูดที่ผู้บัญชาการทหารบกได้ระบุไว้
พล.อ.ประวิตร ระบุอีกว่า ยังไม่ทราบหากประชามติไม่ผ่านจะมีการตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ และมีการยืดโรดแมพออกไป โดยการทำประชามติในวันที่ 7 ส.ค.นี้เป็นไปตามโรดแมพ ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาระบุว่าผลการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญจะมีประชาชนเห็นด้วยไม่ถึง 80% นั้นว่า เป็นการพูดไปเอง
"ทุกอย่างต้องใช้เวลา เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติจริงอาจจะมีการหยิบรัฐธรรมนูญปี 40 หรือปี 50 หรือฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รวมถึงฉบับปัจจุบันด้วยก็ได้ แต่หากได้รัฐธรรมนูญก็จะมีการเลือกตั้งตามที่กำหนดไว้"
ส่วนกรณีคณะผู้แทนรัฐสภายุโรป (EU) เข้าพบและหารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พรรคเพื่อไทย เมื่อวานนี้ เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถทำได้ และเชื่อว่าจะเป็นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ และไม่เป็นห่วงว่าอดีตนายกรัฐมนตรีจะให้ข้อมูลที่บิดเบือนหรือเป็นการปลุกปั่นให้ต่างประเทศมองไทยในภาพลบ เพราะการทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความจริงมาโดยตลอด ทั้งนี้คณะผู้แทนรัฐสภายุโรปไม่ได้มาพบ คสช. ทราบแต่เพียงว่าเป็นการเดินสายมาพบกับฝ่ายการเมือง รวมถึงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วย
อินโฟเควสท์
'สมชัย ศรีสุทธิยากร'กางแผน-คุมเกม”ประชามติ”
โดย ศิริภา บุญเถื่อน http://www.matichon.co.th/news/129664
หมายเหตุ – นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์พิเศษหนังสือพิมพ์ “มติชน” เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมกระบวนการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 สิงหาคม 2559
– กกต.เตรียมความพร้อมกระบวนการออกเสียงประชามติอย่างไร
บทบาทของ กกต.ต่อการดำเนินการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ มีด้วยกัน 2 บทบาท บทบาทแรก คือ การสนับสนุนเผยแพร่เนื้อหาสาระร่างรัฐธรรมนูญ ช่วยเหลือคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในการทำความเข้าใจเนื้อหาสาระของร่างรัฐธรรมนูญ การจัดพิมพ์เอกสารร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 1 ล้านฉบับ คำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ 2 เล่ม เล่มละ 4 ล้านฉบับ ประเด็นคำถามเพิ่มเติมของ สนช.พร้อมคำอธิบาย จำนวน 4 ล้านชุด โดยคาดว่าเอกสารทั้งหมดนี้น่าจะจัดพิมพ์เสร็จในล็อตแรกประมาณวันที่ 23 พฤษภาคม หลังจากนั้นก็จะทยอยพิมพ์จนครบตามจำนวนไม่ให้เกินปลายเดือนมิถุนายน เพื่อ กกต.จะได้นำไปแจกจ่ายให้ประชาชนตามพื้นที่ต่างๆ ได้ อาทิ ที่ทำการกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ห้องสมุดประจำตำบลและหมู่บ้าน หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา
นอกจากนี้ กกต.ยังได้จัดทำแอพพลิเคชั่น “ฉลาดรู้ ประชามติ” ซึ่งจะเป็นแอพฯที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญได้โดยง่ายทุกที่ทุกเวลา แอพฯตัวนี้ กกต.จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม ขณะเดียวกัน กกต.ยังเตรียมจัดทำหนังสือขนาดเล็ก จำนวน 16 หน้า มีเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการออกเสียงประชามติ สาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญโดยย่อ ประเด็นคำถามเพิ่มเติมของ สนช. ซึ่งขณะนี้ต้นฉบับได้จัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมจัดพิมพ์ และจะส่งให้เจ้าบ้านทุกบ้าน จำนวน 17 ล้านครัวเรือนภายใน 15 วันก่อนวันออกเสียงประชามติ
ส่วนการจัดเวทีเพื่อให้ประชาชนเกิดความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ เบื้องต้น ในวันที่ 17 พฤษภาคม กกต.จะเชิญผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 3,5,7,9,11 และไทยพีบีเอส มาหารือเพื่อจัดสรรเวลาออกอากาศ แบ่งเป็นช่อง ช่องละ 2 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนจนถึงต้นเดือนสิงหาคม
ส่วนบทบาทที่สอง คือ การเตรียมการและอำนวยการให้การออกเสียงประชามติเกิดความสำเร็จ ประกอบด้วย การจัดพิมพ์บัตรออกเสียง การจัดหาอุปกรณ์ในการออกเสียง การหากรรมการประจำหน่วยออกเสียง การจัดระบบเพื่อสื่อสารถึงประชาชนให้เกิดความเข้าใจว่าไปออกเสียงที่ใด อีกทั้ง กกต.ได้มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกประชาชนในการออกมาใช้สิทธิออกเสียง เช่น แอพพลิเคชั่น “ดาวเหนือ” ซึ่งประชาชนเพียงแค่กรอกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักก็จะสามารถรู้สถานที่หน่วยออกเสียงพร้อมกับแผนที่
และยังมีระบบบริการลงทะเบียนขอใช้สิทธินอกเขตจังหวัดทางอินเตอร์เน็ต รวมทั้งการอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการและผู้สูงอายุด้วยการเปิดหน่วยออกเสียงพิเศษแก่กลุ่มคนเหล่านี้
– หลักการของประกาศเกณฑ์การแสดงความคิดเห็นในการประชามติ 6 ข้อทำได้ 8 ข้อทำไม่ได้เป็นอย่างไร
ขอชี้แจงว่า ทำได้ไม่ใช่ 6 ข้อ หากดูจากประกาศฉบับดังกล่าวที่บอกว่าทำได้ 6 ข้อ ใช้คำว่า “เช่น” แปลว่าเป็นการยกตัวอย่าง 6 ข้อ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำได้มีเยอะแยะมาก ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ 6 ข้อ
ส่วนสิ่งที่ทำไม่ได้ ในประกาศกำหนดไว้ 8 ข้อชัดเจน ดังนั้น ยืนยันว่าประชาชนยังมีสิทธิและเสรีภาพทุกอย่าง การออกประกาศตัวนี้เป็นการเขียนด้วยภาษากฎหมายเพื่อให้เกิดแนวปฏิบัติที่มีความชัดเจนขึ้น ซึ่งก่อนที่จะมาเป็นประกาศฉบับนี้ กกต.ได้มีการนำรูปธรรมมาอภิปรายถกเถียงกันว่าแบบนี้ทำได้หรือไม่ได้
เช่น ติดเข็มกลัด ใส่เสื้อ รวมทั้งโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของตัวเอง ติดป้ายหน้าบ้าน ทำได้หรือไม่ จนในที่สุด กกต.ตกผลึกว่า ถ้าเป็นเสรีภาพส่วนบุคคลของแต่ละคนทำได้หมด เช่น ใส่เสื้อที่มีข้อความ “เยส” หรือ “โน” ติดประกาศหน้าบ้านตัวเองหรือติดสติ๊กเกอร์หน้ารถที่มีข้อความ “รับ” หรือ “ไม่รับ” เป็นสิทธิเสรีภาพที่ทำได้หมด แต่ประกาศฉบับนี้เราไม่สามารถเขียนแยกย่อยได้หมดทุกเรื่อง เราเชื่อว่าภาษาที่อยู่ในประกาศดังกล่าวซึ่งเป็นภาษากฎหมายครอบคลุม 8 ข้อที่ห้ามทำแล้ว
– ประกาศกกต.ฉบับนี้ถูกมองว่าไม่ชัดเจน
ผมชี้แจงชัดเจนแล้ว หากคลุมเครือตรงไหนก็ต้องบอกมา คือ คนพูดก็ต้องสามารถพูดได้ว่าประโยคใดมีความคลุมเครือ หรืออาจจะยกตัวอย่างจากรูปธรรมมาว่าสิ่งนี้ทำได้หรือทำไม่ได้ กกต.จะอธิบายให้ฟัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้ กกต.จะบอกว่าทำได้หรือทำไม่ได้ ท้ายสุด
ศาลจะเป็นผู้ตัดสินโดยพิจารณาจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 เป็นหลักและดูประกาศ กกต.ประกอบด้วย ศาลจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าสิ่งนี้หรือพฤติกรรมแบบนี้ขัดต่อ พ.ร.บ.ออกเสียงฯหรือประกาศ กกต.หรือไม่
ดังนั้น กกต.จึงไม่ใช่ผู้ตัดสินลงโทษ เพียงแต่ให้คำแนะนำหรือชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวส่อไปในทางที่อาจจะผิดหรือไม่ผิดเท่านั้นเอง
– ในฐานะผู้ปฏิบัติมีความคาดหวังกับการทำประชามติครั้งนี้อย่างไร
ผมอยากให้หลังการออกเสียงประชามติเกิดผล 2 อย่างคือ ผลการลงประชามติเป็นที่ยุติ หมายความว่า ฝ่ายรับชนะก็จบ หรือฝ่ายไม่รับชนะก็จบ ไม่ต้องมาเป็นปัญหากันต่อไปว่าใช่ไม่ใช่หรือผลของการออกเสียงไม่ชัดเจน อยากให้ทุกอย่างเป็นที่สิ้นสุด เมื่อเราให้ประชาชนเป็นฝ่ายตัดสินใจแล้วหากประชาชนตัดสินใจอย่างไรก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป โดยผลการทำประชามติมีทางออก 4 ทาง คือ 1.หากประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญและประเด็นคำถามพ่วงของ สนช.ทาง กรธ.จะมีเวลาประมาณ 1 เดือนเพื่อปรับปรุงเนื้อหาสาระร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องและตรงกับประเด็นคำถามพ่วงก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ 2.ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญแต่ไม่รับคำถามพ่วง กรณีนี้คือนำร่างฯขึ้นทูลเกล้าฯได้เลย 3.ประชาชนไม่รับทั้งร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ขึ้นมาหน้าที่เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญ และ 4.ประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแต่รับประเด็นคำถามพ่วง ก็จะเป็นแบบเดียวกับข้อ 3 แต่การร่างรัฐธรรมนูญครั้งใหม่ต้องคำนึงสาระสำคัญในคำถามพ่วงเป็นหลัก และเมื่อดำเนินการจัดการออกเสียงประชามติเรียบร้อยแล้ว ผมอยากเห็นกระบวนการจัดการออกเสียงของ กกต.เป็นที่ยอมรับของสังคมไทย ได้รับการยอมรับว่าเป็นการดำเนินการประชามติด้วยความเที่ยงธรรม เคารพกฎหมายตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ โดย กกต.ไม่มีการเลือกปฏิบัติและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายแบบตรงไปตรงมาอย่างถึงที่สุด
– ตั้งเป้าหมายอยากให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิจำนวนเท่าใด
เป้าหมายของทางกรรมการ กกต.ได้มีการคุยกันไว้ที่ตัวเลข 80 เปอร์เซ็นต์ แต่ความเห็นส่วนตัวมองว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นไปได้ยาก เนื่องจากการออกเสียงประชามติมีความแตกต่างจากการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งยังมีปัจจัยทางการเมืองเข้ามาช่วยปลุกและกระตุ้นประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิ ตัวเลขสูงสุดของการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งคือ 75 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น การออกเสียงประชามติโดยทฤษฎีตัวเลขจะเกินกว่าการเลือกตั้งคงเป็นไปไม่ได้ แต่ผมอยากใช้เกณฑ์การออกเสียงประชามติเมื่อปี 2550 เป็นหลัก คือ 57 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง กกต.ต้องทำให้ได้มากกว่าตัวเลขนี้ถึงจะประสบความสำเร็จ
– สถานการณ์ตอนนี้มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ห่วงหรือไม่ว่าจะทำให้การทำประชามติไม่เรียบร้อย
กกต.ดูแลเฉพาะในส่วนของกฎหมายประชามติซึ่งสิ่งใดทำได้ทำไม่ได้ กกต.ได้บอกเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เราจะกำกับดูแลให้เกิดความสำเร็จตามกฎหมายประชามติ แต่ กกต.ไม่สามารถไปก้าวล่วงกฎหมายอื่นได้ เช่น ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.จราจร พ.ร.บ.ความสะอาดและอื่นๆ ที่อาจมาเกี่ยวข้อง ซึ่งภายใต้การดูแลกฎหมายประชามติ เราเชื่อว่าสามารถทำในกรอบดังกล่าวได้ดีที่สุด ซึ่งถ้าพบเห็นสิ่งใดที่เป็นความผิด เราจะพยายามดำเนินการแก้ไขเรื่องนั้นไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นบุคคลฝ่ายใดก็ตาม จะเป็นฝ่ายรัฐหรือตรงข้ามกับรัฐ หากทำผิดกฎหมายประชามติ กกต.ก็จะส่งสัญญาณให้เห็น หากส่งสัญญาณไปแล้ว ยังไม่เปลี่ยนแปลงหรือทำให้ดีขึ้นหรือดื้อดึงที่จะทำแบบเดิม กกต.ก็จะดำเนินการโดยไม่ละเว้น
– ถ้าบรรยากาศไม่เรียบร้อย กลัวว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 หรือไม่
เป็นสิ่งที่คาดการณ์อะไรไม่ได้ ผมคิดว่าสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปทุกวัน กกต.ทำงานโดยยึดกฎหมายเป็นหลัก เราระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ทำสิ่งใดที่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ประชาชนจะตัดสินใจกากบาทรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ขอให้มีเวลาศึกษาประเด็นสำคัญที่เป็นเนื้อหาสาระร่างรัฐธรรมนูญอย่างถ่องแท้ จะอ่านด้วยตัวเอง อภิปรายถกเถียงกับเพื่อนบ้าน หรือคนในครอบครัว หรือผู้รู้ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น รวมทั้งการเปิดรับฟังความเห็นของสื่อมวลชน นักวิชาการ ฝ่ายการเมืองหรือผู้นำความคิดก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน แต่เมื่อเปิดรับข้อมูลแล้ว อยากให้ฟังข้อมูลจากสองด้าน ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับ
ทุกวันนี้ คนไทยเรายังไม่ทันเห็นร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร และยังไม่ได้สัมผัสตัวเล่มด้วยว่าแต่ละบทแต่ละมาตราเนื้อหาเป็นอย่างไร ก็ด่วนตัดสินใจก่อนแล้ว ดังนั้น เวลายังเหลืออยู่อีก 3 เดือน ควรศึกษาค้นคว้า ฟังความเห็นจากหลายๆ ฝ่ายแล้วมาตัดสินใจด้วยตัวเองว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีพอที่จะรับหรือไม่รับ
ทุกอย่างมันเป็นอนาคตของประเทศไทยและของคนทุกคนในชาติ ดังนั้น ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ให้แก่สังคม ตัวเราเอง และลูกหลานของเรา
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด