ประธาน กกต. จัดประชุมชี้แจงแนวทางดำเนินกิจการต่อพรรคการเมืองเก่า จ่อเสนอ คสช.แก้คำสั่งที่เป็นปัญหาทางปฎิบัติ
นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชี้แจงแนวทางการดำเนินกิจการแก่พรรคการเมืองที่จัดตั้งเป็นพรรคการเมืองตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 จำนวน 55 พรรคการเมือง โดยมีแกนนำพรรคการเมืองเก่าเข้าร่วม ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย, นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย, นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นต้น
นายศุภชัย กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการจัดประชุมครั้งนี้เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่พรรคการเมืองและเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งอยากให้ทุกพรรคศึกษากฎหมายต่างๆ ทื่เกี่ยวข้องให้เกิดความเข้าใจและดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายให้ถูกต้องตามระยะเวลากำหนด ตามมาตรา 141 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 53/2560 ลงวันที่ 20 ธ.ค.2560
ทั้งนี้ หากพรรคการเมืองมีปัญหาข้อขัดข้องก็ให้เสนอมาเพื่อที่ กกต.จะดำเนินการแก้ไข แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ คสช.นั้น กกต.ก็จะนำเรื่องไปหารือกับ คสช.ต่อไป
"วันนี้จึงอยากให้พรรคการเมืองช่วยกันเสนอแนะปัญหาในการปฏิบัติมา เพื่อให้มีการนำไปแก้ไข และจะได้ไม่เป็นปัญหาในการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในอนาคต ซึ่ง พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับใหม่มีกระบวนการและขั้นตอนที่เปลี่ยนไปจากกฎหมายเดิมมาก เช่น ทุนประเดิมพรรค ไพรมารีโหวต จึงอยากให้ศึกษาทำความเข้าใจกฎหมายอย่างละเอียด เพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมายกำหนด"
ประธาน กกต. กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2561 พรรคการเมืองสามารถดำเนินการหาสมาชิกพรรคการเมืองได้ นอกเหนือจากการให้สมาชิกเดิมยืนยันสถานภาพนั้น ซึ่งเป็นไปตามคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ส่วนการจัดประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคก็สามารถทำได้แต่ต้องขออนุญาตจาก คสช.ก่อนโดยการส่งเรื่องผ่าน กกต.
ประธาน กกต.กล่าวว่า หลังจากรับฟังข้อเสนอแนะจากพรรคการเมืองแล้ว กกต.จะส่งข้อเสนอต่อ คสช.ในหลายประเด็น เพื่อแก้ไขคำสั่งที่ 53/2560 ตั้งแต่มาตรา 140, 141, 145 และ 146 เช่น การยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง การชำระเงินค่าบำรุงพรรคการเมือง การจัดประชุม ความเท่าเทียมของพรรคการเมือง การขัดกันของคำสั่งที่อาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ซึ่งถือว่ามีสัญญาณบวกที่ คสช.จะแก้ไขคำสั่งที่ 53/2560 ส่วนจะต้องแก้ไขก่อนวันที่ 1 เม.ย.นี้หรือไม่นั้นอยู่ที่ คสช.จะพิจารณา
อย่างไรก็ตาม ประธาน กกต.กล่าวว่า กรณีมีคำสั่งตามมาตรา 44 ปลดนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ออกจากตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้งนั้น ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการทำหน้าที่ เพราะ กกต.มีหน้าที่ดูแลเรื่องการเลือกตั้งให้มีความโปร่งใสตามหน้าที่อยู่แล้ว แม้ว่า กกต. จะหายไป 1 คน แต่ไม่มีปัญหาเรื่องการทำงาน เพราะ กกต.มีหน้าที่ดูแลในระดับนโยบายเท่านั้น
และหากมีการส่งร่างกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จะส่งผลให้โรดแมปการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ต้องเลื่อนออกไปหรือไม่นั้น นายศุภชัย กล่าวว่า ยังไม่สามารถให้ความเห็นได้ เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ และขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้ในการพิจารณาวินิจฉัย
ประธาน กกต.กล่าวว่า การให้ตัวแทนหรือกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ลงคะแนนแทนผู้พิการ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ กกต.เสนอ เพียงแต่มีความเห็นไปว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นอำนวยความสะดวกให้กับบุคคลที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย เนื่องจากประชาชนทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ไม่เช่นนั้นจะทำให้คนกลุ่มนี้เสียสิทธิ์และเชื่อว่าจะไม่ทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
ขณะที่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รักษาการเลขาธิการ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้บรรยายเรื่อง "บทบาทนายทะเบียนพรรคการเมืองกับการดำเนินกิจการของพรรคการเมือง" โดยกล่าวว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลงก่อนที่จะเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งมีหลายเรื่อง อาทิ การปฏิรูประบบพรรคการเมืองที่เปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมทั้งเรื่องนโยบายและการส่งผู้สมัคร โดยมีการกำหนดคุณสมบัติสมาชิกพรรคที่สูงเกือบเท่าคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส่วนการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้นต้องดูกฎหมายให้ดี เพราะพรรคการเมืองจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายเอง ไม่ใช่หน้าที่สำนักงาน กกต.จะเข้าไปดู
ส่วนการปฏิรูปการจัดการเลือกตั้งในเรื่องการปิดแผ่นป้ายหาเสียงจะต้องติดตามบอร์ดที่ กกต.จัดไว้ให้ และจะต้องมีขนาดตามที่ กกต.กำหนด เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน ส่วนการหาเสียงผ่านอิเล็คทรอนิกส์ หากเป็นการหาเสียงที่ผิดกฎหมาย หรือใส่ร้ายบุคคล ตามกฎหมายกำหนดให้ กกต.สามารถลบข้อความดังกล่าวออกจากระบบโซเชียลมีเดียด้วย ทั้งนี้ขั้นตอนปฏิบัติ กกต.จะร่างระเบียบอีกครั้ง ขณะที่การทุจริตเลือกตั้งหรือซื้อเสียง กฎหมายมีความเข้มงวดมากขึ้น และกฎหมายให้สิทธิ์ กกต.ออกใบเตือน หรือ ใบส้มได้
ด้านนายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.ชี้แจงเกี่ยวกับคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ว่า มีหลายประเด็นที่มีปัญหาในทางปฏิบัติ ซึ่ง กกต.ได้มีหนังสือไปยัง คสช.เพื่อให้พิจารณาแก้ไขแล้ว โดยเฉพาะประเด็นความเท่าเทียมระหว่างพรรคการเมืองเก่ากับพรรคการเมืองใหม่ เช่น กรณีที่คำสั่งไม่ได้รับรองสาขาพรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองปี 2550 ทำให้ไม่มีองค์ประชุมจากส่วนที่เป็นสาขาพรรคในการประชุมใหญ่ หรือประเด็นเรื่องพรรคการเมืองเก่าต้องมี 4 สาขาทั่วประเทศ ขณะที่พรรคการเมืองใหม่มีเพียงสาขาเดียวก็สามารถส่งผู้สมัครได้ เป็นต้น
หลังจากนั้นได้เปิดโอกาสให้ตัวแทนพรรคการเมืองสอบถามในประเด็นที่ยังมีข้อสงสัย โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า กกต.เป็นผู้รักษากฎหมายและแนวทางปฏิรูปการเมืองมีเป้าหมายให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในการสร้างพรรค กกต.จึงควรอำนวยความสะดวกให้พรรคการเมืองสามารถคงสมาชิกไว้ให้ได้มากที่สุด แต่สิ่งที่ กกต.กำลังทำ กลับกลายเป็นการทำลายฐานสมาชิกของพรรคการเมือง และคำชี้แจงของ กกต.ไม่ตรงกับสิ่งที่กฎหมายเขียนไว้ เช่น กฎหมายพรรคการเมืองให้เวลาในการจ่ายค่าบำรุงพรรค 4 ปี แต่เมื่อมีการตีความคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ว่าสมาชิกที่ยืนยันการเป็นสมาชิกพรรค ถ้าไม่จ่ายค่าบำรุงพรรคภายใน 30 วัน จะพ้นจากความเป็นสมาชิก ขณะที่มาตรา 141 ระบุว่าให้ยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคตามจำนวนให้ครบภายใน 4 ปี และเมื่อพ้นระยะดังกล่าวให้ถือว่าสิ้นสมาชิกภาพ ซึ่งอาจเกิดปัญหาว่าบุคคลที่เป็นสมาชิกพรรคอยู่เดิมและไม่ชำระค่าบำรุงเกินระยะ 4 ปีอาจต้องสิ้นสภาหรือไม่, การชำระค่าบำรุงพรรคและการแสดงหลักฐานการชำระเงิน ที่ผ่อนผันให้ใช้ระบบอิเล็คทรอนิกส์แทนลงลายมือชื่อในเอกสารได้หรือไม่ โดยนายแสวงชี้แจงว่า ในส่วนการยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคต้องจ่ายเงินบำรุงพรรค 100 บาทต่อปี ภายในวันที่ 30 เมษายนด้วย ไม่เช่นนั้นจะต้องพ้นสภาพการเป็นสมาชิกพรรค
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงปัญหาจากกฎหมายพรรคการเมืองที่ทำให้ยากต่อการปฏิบัติคือ กรณีให้หัวหน้าพรรครับรองว่า สมาชิกมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ซึ่งหัวหน้าพรรคไม่มีทางรับรองได้ทั้งหมด จึงอยากให้แก้ไข เพราะสามารถรับรองได้แค่เพียงว่าสมาชิกพรรครับรองคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของตัวเองมาแล้วเท่านั้น
รายงานข่าว แจ้งว่า ในการประชุมดังกล่าว ตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ ได้สอบถามในหลายประเด็น เช่น สอบถามถึงความชัดเจนต่อการกำหนดวันเลือกตั้งและออกพระราชกฤษฎีกาประกาศกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อใด ซึ่งนายแสวง ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะทุกพรรคขณะนี้รู้กันอยู่แล้ว
ด้านนายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ อดีต ส.ส.สุพรรณบุรี พรรคชาติไทยพัฒนา เรียกร้องให้ กกต.ใช้ความกล้าหาญต่อการกำหนดหลักเกณฑ์ปฏิบัติของพรรคการเมือง แม้จะขัดกับคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง เพราะขั้นตอนยืนยันสมาชิกพรรคควรให้โอกาสได้พบปะ หรือพูดคุยในแนวทางของพรรคด้วย รวมถึงขอให้ กกต.เสนอ คสช. ให้ยกเลิกคำสั่งที่เป็นอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมทางการเมืองด้วย ซึ่งนายแสวง กล่าวแบบติดตลกว่า "เรารับไว้ แต่ทำไม่ได้ เพราะคนที่เสนอให้ทำนั้นก็ถูกทำให้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว"
อินโฟเควสท์
สมชัย เข้าเก็บของ ปัดล้ำเส้นให้ความเห็นเลือกตั้ง พร้อมขอนายกฯ คืนความเป็นธรรมหากพูดไม่ผิด
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เดินทางมาที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อเก็บของใช้ส่วนตัวหลังถูกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้พ้นจากตำแหน่ง โดยยืนยันว่า การให้ความเห็นของตนในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นการล้ำเส้นรัฐบาลต่อการกำหนดวันเลือกตั้ง อีกทั้งเห็นว่าการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในการปลดตนออกจาก กกต. โดยให้เหตุผลว่ามีหน่วยงานด้านกฎหมายขอมา เพราะเห็นว่าตนให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งจนเกิดความสับสนนั้น สะท้อนว่าที่ปรึกษากฎหมายของนายกฯ ขาดความรอบรู้ จนทำให้นายกรัฐมนตรีเกิดความเข้าใจผิด
การที่ตนออกมาชี้แจงถึงเรื่องกระบวนการเลือกตั้ง ไม่ได้ทำให้เกิดความสับสน แต่กลับเป็นห่วงนายกรัฐมนตรีว่า ข้อมูลจากที่ปรึกษากฎหมายของนายกรัฐมนตรี อาจทำให้นายกรัฐมนตรีบริหารงานด้วยความยากลำบาก ซึ่งส่วนตัวยังรักนายกรัฐมนตรี และอวยพรให้นายกรัฐมนตรีประสบความสำเร็จ และทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างเต็มที่ต่อไป พร้อมทั้งอวยพรให้ กกต.ที่เหลือทำงานให้ประสบความสำเร็จต่อไปด้วย
พร้อมกันนี้ ได้เรียกร้องขอความเป็นธรรมกลับจากนายกรัฐมนตรี ว่าหากหน่วยงานด้านกฎหมายให้ข้อมูลที่ผิดพลาด จนทำให้นายกรัฐมนตรีเกิดความเข้าใจผิดว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) และคสช. เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง ก็ควรพิจารณาใช้มาตรา 44 ปลดที่ปรึกษาด้านกฎหมายออกจากตำแหน่งด้วยเช่นกัน
"ถ้าที่หน่วยงานด้านกฎหมายให้ข้อมูลผิด จนทำให้นายกฯ เข้าใจผิดและใช้ ม.44 ปลดผม ท่านก็ควรคืนความเป็นธรรมให้ผม เพราะผมไม่ได้พูดอะไรผิดกฎหมาย" นายสมชัยระบุ
นายสมชัย ยืนยันว่า จะไม่ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตีความคำสั่งหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ที่ปลดตนเองออกจากตำแหน่ง เพราะส่วนตัวไม่ได้ติดใจ และยอมรับการตัดสินใจของ คสช. และไม่ได้ต้องการตำแหน่งกลับคืนมา พร้อมทั้งปฏิเสธวิพากษ์วิจารณ์ว่าการใช้อำนาจของ คสช. ก้าวก่ายการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระหรือไม่
นายสมชัย กล่าวว่า หลังจากนี้จะขอเวลาพักผ่อนเป็นเวลา 1 เดือน โดยเตรียมเดินทางไปเยี่ยมลูกที่ต่างประเทศ และเขียนหนังสือที่เกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานในตำแหน่ง กกต.ในทุกๆ ช่วงเหตุการณ์
พร้อมกันนี้จะผันตัวเองไปจัดรายการตามสถานีโทรทัศน์ หากช่องใดสนใจก็สามารถติดต่อได้ และเตรียมสื่อสารผ่านช่องทางเฟสบุ๊คไลฟเพื่อพูดคุยในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง โดยไม่ได้ต้องการตอบโต้หรือมีอคติต่อ คสช.แต่อย่างใด
"ผมจะคิดและเขียนในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง เอาบ้านเมืองเป็นหลัก การพูดไม่ใช่แค่เรื่องเลือกตั้ง แต่อะไรที่เป็นปัญหาของบ้านเมือง เรื่องใดที่มีประโยชน์ก็จะเสนอแนะ" นายสมชัย กล่าว
ส่วนการลงสมัครในตำแหน่งเลขาธิการ กกต.นั้น นายสมชัย กล่าวว่า ในขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการ ถ้าหาก กกต.เรียกสัมภาษณ์ก็พร้อมเข้ามา แต่หาก กกต.เรียกสัมภาษณ์ในช่วงที่ตนเองเดินทางไปเยี่ยมลูกที่ต่างประเทศก็พร้อมจะสละสิทธิ์เพราะถือเป็นเหตุสุดวิสัย โดยกล่าวแบบติดตลกว่า ไม่มีแรงกดดันจากใครทั้งสิ้น แต่มีแรงกดดันจากภรรยาว่าจะอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวไม่ได้ให้ความสำคัญว่าจะได้รับคัดเลือกดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน นายสมชัยได้อุ้มพระพุทธรูปปางอภัยทาน หรือหลวงพ่ออภัยวงศ์ โดยชี้แจงว่า พระพุทธรูปปางอภัยทานสื่อความหมายว่า พร้อมอภัยให้กับทุกอย่าง ไม่มีการโกรธเคือง ซึ่งตลอด 4 ปีที่ทำงานอาจจะมีการกระทบกระทั่งกับบุคคลภายนอกหรือมีปัญหาต่อกัน เมื่อออกจากตำแหน่งแล้วต้องให้อภัยทุกอย่าง ปล่อยวางทุกเรื่อง และออกจากตำแหน่งด้วยความยิ้มแย้ม เบิกบาน ซึ่งระหว่างการให้สัมภาษณ์นายสมชัยก็มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตลอดเวลา ไม่มีความกังวลใดๆ
อินโฟเควสท์
กกต.ย้ำพรรคการเมืองจะลงสมัครเลือกตั้ง ปี 62 ต้องยื่นจดภายใน มี.ค.
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึง การจดแจ้งขอจัดตั้งพรรคเมืองใหม่วันแรก เมื่อ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีกลุ่มการเมืองที่สนใจ 42 กลุ่ม หลังจากนี้ กกต. จะใช้เวลาตรวจสอบคุณสมบัติ รายชื่อผู้ที่มาขอจดแจ้งพรรคการเมือง คาดว่าจะใช้เวลา 30 วัน ซึ่งกลุ่มการเมืองที่ต้องการจดแจ้งพรรค สามารถเดินทางมาจดแจ้ง โดยไม่ได้กำหนดระยะเวลา แต่หากกลุ่มการเมืองใดต้องการลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งที่จะถึง จะต้องยื่นจดแจ้งพรรคการเมืองภายในเดือนมีนาคมนี้ เพราะต้องใช้เวลา 180 วัน ในการจัดหาสมาชิกพรรคและทุนประเดิมพรรค
"ขณะที่พรรคการเมืองใดมีความพร้อมที่จะประชุมสมาชิกพรรค หรือทำกิจกรรมในพรรค จะต้องดำเนินการขออนุญาตจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ผ่านทาง กกต. และต้องแจ้งความจำนง 6 ข้อที่จะต้องปฏิบัติ คือ ทำกิจกรรมอะไรบ้าง มีเหตุผลใด จัดประชุมเมื่อใด สถานที่ใด จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม และใครเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดประชุม โดยจะต้องทำเอกสารขออนุญาตล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 20 วัน" นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวอีกว่า ส่วนตัวไม่กังวลหากมีบางพรรคการเมืองต้องการเงินสนับสนุนจากกองทุนพรรคการเมือง เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากกฎหมายใหม่กำหนดให้พรรคการเมืองต้องมีสมาชิกในการจัดตั้ง 500 คน รวมทั้งมีทุนประเดิมในการจัดตั้งพรรคไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งมีความเข้มงวดมากกว่ากฎหมายฉบับเก่า และจะต้องมีกิจรรมทางการเมือง จะต้องหาสมาชิกเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งต่างจากเดิมที่บางพรรคมีถึง 500 คน หรือบางพรรคมีสมาชิก 6-10 คน แต่ไม่เคยมีความเคลื่อนไหวหรือกิจกรรม ก็สามารถได้รับเงินสนับสนุนพรรคการเมือง
ส่วนที่บางกลุ่มการเมืองเปิดตัวสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปนั้น นายสมชัย กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ ไม่ได้ผิดกติกา ซึ่งสุดท้ายในการเสนอชื่อบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อรัฐสภา จะมีพรรคการเมืองเดียวที่จะสามารถเสนอชื่อได้อย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันในวันที่ 28 มีนาคมนี้ กกต. จะเชิญพรรคการเมืองเดิม 69 พรรค มาประชุมเพื่อชี้แจง ทำความเข้าใจแนวทางปฏิบัติ ก่อนที่พรรคการเมืองจะเริ่มดำเนินการเรื่องสมาชิกพรรค ในวันที่ 1 เมษายน ตามคำสั่งคสช. ที่ 53/2560
พรรคใหม่แห่เข้าขอจัดตั้งกับ กกต.วันแรก สมชัยแนะรีบยื่นก่อนสิ้น มี.ค.ให้ทันพรรคเก่าเริ่มกิจกรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันทำการแรกที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดให้มีจดแจ้งจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ปรากฏว่าบรรดากลุ่มการเมืองหลายกลุ่มเดินทางมายื่นจดแจ้งจัดตั้งพรรคเป็นจำนวนมาก อาทิ พรรคพลังชาติไทย พรรคประชาไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาชนปฏิรูป พรรคสังคมประชาธิปไตยประชาชน พรรคประชาชาติ พรรคชาวนาไทย พรรคพัฒนาไทย พรรคเครือข่ายประชาชนไทย พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคพลังพลเมืองไทย พรรคพลังธรรมใหม่ พรรคไทยเอกภาพ พรรคประชาภิวัฒน์ พรรคสหประชาไทย พรรคทางเลือกใหม่ พรรคชาติพันธุ์ไทย พรรครักษ์แผ่นดินไทย พรรคแผ่นดินธรรม พรรคเพื่อชาติไทย พรรคกรีน พรรคประชานิยม พรรคพลังสยาม พรรคสยามธิปัตย์ พรรคของประชาชน พรรคพลังอีสาน พรรครวมใจไทย พรรคไทยศรีวิไลย์ พรรคประชามติ และพรรคพลังไทยยุคใหม่
ทั้งนี้ หากดำเนินการตามขี่นตอนในวันนี้ครบถ้วนแล้วจะสามารถยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองภายใน 180 วัน และเมื่อผ่านกระบวนการนี้กลุ่มบุคคลที่แสดงความจำนงจะตั้งพรรคการเมืองจะต้องไปหาสมาชิกและเงินทุนประเดิมพรรคการเมืองให้ครบตามเงื่อนไข จากนั้นต้องขออนุญาตกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขออนุญาตประชุมพรรคการเมือง เพื่อจัดทำรายละเอียดต่างๆ รวมถึงข้อบังคับพรรคตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว จึงจะสามารถกลับมาจดทะเบียนพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการตอ่ไป
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของกลุ่มพรรคเมืองใหม่ที่มาจดจัดตั้งพรรคในวันนี้สะท้อนถึงความตื่นตัวทางการเมือง แต่ยังไม่แน่ว่าจะสามารถจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ได้ครบทั้งหมดหรือไม่ เนื่องจากยังต้องดำเนินการอีกหลายขั้นตอน ทั้งการหาสมาชิกพรรคให้ครบ 500 คน ซึ่งสมาชิกต้องมีส่วนร่วมจ่ายเงินทุนประเดิมพรรครวม 1 ล้านบาท และต้องจัดการประชุมพรรค ซึ่งจะต้องขออนุญาต คสช.ผ่าน กกต. โดยจะต้องระบุ วัน เวลา สถานที่ และกิจกรรมที่จะดำเนินการ รวมถึงจำนวนผู้ร่วมประชุมและผู้รับผิดชอบในการประชุม จากนั้น กกต.จะนำส่งไปยัง คสช. ซึ่งเสนอให้เผื่อเวลา 20 วัน เพื่อให้ทันตามกรอบเวลา
"การจดจองชื่อและเครื่องหมายพรรค จะเปิดให้ดำเนินการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยไม่มีกำหนดเวลา แต่หากพรรคการเมืองใด มีความประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนก.พ.62 ก็ควรรีบดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมี.ค.นี้ เพื่อให้ทันต่อการดำเนินการของพรรคการเมืองเก่าที่จะเริ่มหาสมาชิก 1 เม.ย.นี้"
ทั้งนี้ นายสมชาย ได้เตือนให้กลุ่มการเมืองทุกกลุ่มเคลื่อนไหวในกรอบของกฎหมาย ซึ่งในขณะนี้ยังไม่พบว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย มีเพียงการสร้างสีสันให้คนจดจำพรรคได้เท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าวันนี้ พรรคเพื่อชาติไทยของนางอัมพาพันธ์ ธนเดชสุนทร อดีตภรรยาของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เดินทางมายื่นเอกสารขอจัดตั้งพรรคพร้อมด้วยกองเชียร์สวมเสื้อยืดสีขาวสกรีนรูปของนางอัมพาพันธ์ พร้อมข้อความ"ย่ายุ้ย อำพาพันธ์"เพื่อชาติไทย ส่วนด้านหลังเสื้อสกรีนรูปภาพหน้าของนักการเมืองที่ขัดแย้ง เช่น นายทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกปปส. มาสร้างสีสัน ส่วนกลุ่มการเมืองอื่นก็มีการขนกองเชียร์มาชูป้ายและช่อดอกไม้อย่างคึกคัก
สำหรับ กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ซึ่งถูกจับตาเป็นพิเศษ เนื่องจากนายธานี เทือกสุบรรณ ระบุว่าจะเดินทางมาจดแจ้งขอตั้งพรรคมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ปรากฎว่ายังไม่เดินทางมาแต่อย่างใด ส่วนพรรคพลังพลเมืองไทยของนายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ ได้เดินทางมาพร้อมกับนายเอกพร รักความสุข และคณะผู้ร่วมจัดตั้ง
ด้านนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. ได้กำชับให้สำนักงาน กกต. อำนวยความสะดวกให้กับผู้มายื่นจดแจ้งตั้งพรรคการเมืองอย่างเต็มที่ รวมถึงขอให้พรรคการเมืองปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมาย และคำสั่งคสช.อย่างเคร่งครัด ซึ่งภายหลังจากที่พรรคการเมืองใหม่มายื่นจดแจ้งชื่อพรรคแล้ว ทางกกต.จะตรวจสอบเอกสารที่นำมาซึ่งบางเรื่องทาง กกต. ต้องขอให้หน่วยงานอื่นช่วยตรวจสอบ เช่น เรื่องล้มละลาย หรือต้องคำพิพากษาหรือไม่ โดยต้องไปสอบถามที่ศาลล้มละลาย หรือถามสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
กกต. สรุป 42 พรรคยื่นขอจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่วันแรก ประธานกกต.พอใจภาพรวม
นายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวภายหลังเดินทางมาตรวจสอบความเรียบร้อยใน
การเปิดให้มีการยื่นคำขอจัดตั้งพรรคการเมืองเป็นวันแรกว่า พอใจในภาพรวมของการดำเนินการ หลังมีกลุ่มการเมืองเดินทางมายื่น
ลำดับที่ ชื่อพรรคการเมือง ผู้ยื่นคำขอ
1 พรรคพลังชาติไทย นางกิ่งฟ้า อรพันธ์
2 พรรคประชาไทย นายบุญยงค์ จันทร์แสง
3 พรรคพลังประชารัฐ นายชวน ชูจันทร์
4 พรรคประชาชนปฏิรูป นายธนพัฒน์ สุขเกษม
5 พรรคสังคมประชาธิปไตยประชาชน นายเยี่ยมยอด ศรีมันตะ
6 พรรคประชาชาติ นายสุรพล นาควานิช
7 พรรคชาวนาไทย นายสัมฤทธิ์ แก้วทน
8 พรรคพัฒนาไทย นายโสภณวิชญ์ สีมาสกุลชัย
9 พรรคเครือข่ายประชาชนไทย นายธนานินทร์ ชะฎาแก้ว
10 พรรคเศรษฐกิจใหม่ นายสุภดิช อากาศฤกษ์
11 พรรคพลังพลเมืองไทย นายสัมพันธ์ เลิศนุวัติ
12 พรรคพลังธรรมใหม่ นพ.ระวี มาศฉมาดล
13 พรรคไทยเอกภาพ นายโสรัจจ์ ดาศรี
14 พรรคประชาภิวัฒน์ พล.ต.ไชยนาจ ญาติฉิมพลี
15 พรรคสหประชาไทย นายสพันธ์นัณ เยี่ยมเมธากร
16 พรรคทางเลือกใหม่ นายราเชน ตระกูลเวียง
17 พรรคชาติพันธุ์ไทย นายพลศุภรักษ์ ศิริจันทรานนท์
18 พรรครักษ์แผ่นดินไทย นายวิริยะ ช่วยบำรุง
19 พรรคแผ่นดินธรรม นายกรณ์ มีดี
20 พรรคเพื่อชาติไทย ว่าที่พ.ต.กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์
21 พรรคกรีน นายพงศา ชูแนม
22 พรรคประชานิยม นางสาวภิญญาดา ไพรัช
23 พรรคพลังสยาม นายวิษณุ อินทรพยุง
24 พรรคสยามธิปัตย์ นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล
25 พรรคของประชาชน นายสุรวัชร สังขฤกษ์
26 พรรคพลังอีสาน นายทนงศักดิ์ วงศ์ณรัตน์
27 พรรครวมใจไทย นายนพดล อมรเวช
28 พรรคไทยศรีวิไลย์ นายมงคล สุขสินธารานนท์
29 พรรคประชามติ นายอนุชิต งามพัฒนพงศ์ชัย
30 พรรคพลังไทยยุคใหม่ นายมนัส คงสะอาด
31 พรรคไทยรุ่งเรือง นายฉัตรชัย แนวพญา
32 พรรคเพื่อสตรีไทย นางสาวรวิภา กองแก้ว
33 พรรครากแก้วไทย นายรักษิต ศักดิ์ผิวฝาด
34 พรรคน้ำใจไทย นายไกรสีห์ หล่อธราประเสริฐ
35 พรรคไทยเสรีประชาธิปไตย นายมณฑล บุญวรรณ
36 พรรคคนสร้างชาติ นายล้วน นามสอน
37 พรรครวมไทยใหม่ นายบุญสวยโสภณ สกุลกิจเจริญชัย
38 พรรคสามัญชน นายปธานิน กล่อมเอี้ยง
39 พรรคสยามไทยแลนด์ นายสยามบารมี บารมีสยาม
40 พรรคปฎิรูปประเทศไทย นายนันธวัฒน์ ปรารภกุล
41 พรรคเห็นแก่ตัว นายกริช ตรรกบุตร
42 พรรคภาคีเครือข่ายไทย นายกิตติศักดิ์ กุนอก
อินโฟเควสท์
สมชัย ลงสมัครเลขาฯ กกต.หวังช่วยเลือกตั้งไม่สะดุดช่วงส่งมอบงานกกต.ชุดใหม่ ยันไม่มีการล็อบบี้
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงสาเหตุการลงสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นเลขาธิการ กกต.ว่า เนื่องจากขณะนี้ยังไม่สามารถสรรหากรรมการ กกต.ชุดใหม่ทั้ง 7 คนได้ และในกระบวนการสรรหาใหม่ต้องใช้ระยะเวลาอีก 6 เดือน ซึ่งตรงกับช่วงจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในเดือนส.ค.61 อีกทั้งการสรรหากรรมการ กกต.รอบใหม่นี้ ถ้าไม่สามารถสรรหากรรมการได้ครบ 7 คน จะทำให้ต้องยืดเวลาสรรหาไปอีก 6 เดือน ซึ่งจะตรงกับเดือนก.พ.62 ที่จะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป ดังนั้นการส่งมอบงานในช่วงใกล้กับการจัดการเลือกตั้งใหม่ อาจสร้างความอึดอัดใจกับทุกฝ่าย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วหวังจะเข้ามาช่วย กกต.ชุดใหม่ในการทำงาน
"สิ่งที่ผมตัดสินใจนี้ ไม่ใช่การสละเรือใหญ่โดดหนี หากเห็นว่าผมเหมาะสมกับตำแหน่งเลขาฯ ก็อาจให้ผมไปอยู่เรือเล็กเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนเรือใหญ่ แต่ผมจะไม่ไปล็อบบี้ใดๆ ทั้งนั้น จะแข่งขันบนความเท่าเทียมกันของผู้สมัครทุกคน"นายสมชัยกล่าว
พร้อมยืนยันว่า การลงสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นเลขาธิการ กกต.คนใหม่เป็นการตัดสินใจส่วนตัว ไม่ได้มีการหารือกับ กกต.คนอื่น รวมถึงยังไม่ได้ลาออกจาก กกต. เพราะยังสามารถทำหน้าที่ต่อได้จนกว่าจะมีการประกาศผล ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในวันที่ 31 พ.ค. และหากได้รับเลือกเป็นเลขาธิการ กกต. ก็จะลาออกจากตำแหน่ง กกต.ทันที โดยยืนยันว่ากรรมการชุดปัจจุบันอีก 4 คนที่เหลือ ยังสามารถทำงานและลงมติได้ตามปกติ
อินโฟเควสท์
วิษณุ เชื่อสนช.เบรคว่าที่ 7 กกต.ไม่กระทบโรดแมพใหญ่ ชี้คุณสมบัติเป็นตามกฎหมายไม่ใช่ตั้งสเป็คสูง
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่ประชุมสภานิติบัญญัติ (สนช.) ไม่เห็นชอบรายชื่อผู้เหมาะสมได้รับเลือกเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อโรดแมพเลือกตั้ง เนื่องจาก กกต.ชุดเดิมยังสามารถทำงานต่อไปพลางก่อนได้ในระหว่างการสรรหา กกต.ชุดใหม่ และสามารถปรับโรดแมพการทำงานในส่วนของ กกต.เองออกไป แต่ไม่กระทบต่อโรดแมพใหญ่
"เมื่อยังไม่ได้ กกต.ชุดใหม่ ชุดเก่าก็ทำงานต่อได้ แต่อาจขลุกขลัก ไม่มีปัญหาในเรื่องข้อกฎหมาย แต่มีปัญหาในทางปฏิบัติ"นายวิษณุ กล่าว
พร้อมระบุว่า มีกฎหมายกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็น กกต.ไว้แล้ว จึงไม่สามารถที่จะไปปรับเปลี่ยนได้ และเชื่อว่าในที่สุดจะสามารถสรรหาได้ แต่ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็น กกต.ทั้ง 7 คนที่ สนช.ไม่เห็นชอบจะไม่สามารถมาสมัครได้ใหม่ ส่วนผู้สมัครที่เหลือซึ่งไม่ได้รับการคัดเลือกสามารถกลับมาสมัครใหม่ได้
"สเป็คเทพที่ว่ากันนั้น เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ จะไปลดสเป็คก็ไม่ได้ อย่าเพิ่งไปปรามาสว่าจะไม่มีใครกล้ามาสมัคร"นายวิษณุ กล่าว
สำหรับ กระบวนการพิจารณาของ สนช. มีขั้นตอนของการประชุมโหวตลับ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการล็อบบี้ เพราะเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่า สนช. 248 คนคิดอย่างไร
"บางทีก็ดีที่ให้สนช.พิจารณาแล้วไม่ให้ความเห็นชอบดีกว่าที่คณะกรรมการสรรหา จะไปล้มเสียเอง ก็จะถูกครหา" นายวิษณุ กล่าว
ประธานสนช.มองสรรหา 7 กกต.รอบสองงานยากขึ้น แต่ยันไม่ใช้วิธีทาบทาม-เล็งขยายเวลารับสมัคร
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกระบวนการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ใหม่ 7 คน ครั้งที่ 2 หลังจากไม่มีผู้ได้รับการสรรหาคนใดผ่านความเห็นชอบจาก สนช.ในรอบแรก โดยยอมรับว่าครั้งนี้จะลำบากมากกว่าครั้งแรก แต่เชื่อว่ากรรมการสรรหาจะแก้ไขปัญหาด้วยการทำนโยบายเชิงรุก ประกาศเชิญชวนให้บุคคลเข้ารับการสรรหามากขึ้น โดยอาจขยายเวลารับสมัครให้นานกว่าเดิม และทำความเข้าใจในกระบวนการ แต่ยืนยันว่าจะยังไม่ใช้ช่องทางการทาบทามบุคคลให้เข้ามาสมัครเป็น กกต.
ส่วนตัวเชื่อว่าผู้ที่สนใจเข้ารับการสรรหาจะไปศึกษาและสอบถามเหตุผลที่ สนช. ไม่ผ่านความเห็นชอบในครั้งแรกว่ามีสาเหตุจากอะไร" ประธาน สนช.ระบุ
ส่วนกรณีที่ กกต.ชุดปัจจุบันจะครบวาระ และมีกระแสข่าวว่าจะมี กกต.ลาออก ซึ่งจะเป็นปัญหาสุญญากาศในการทำงาน ทำให้ต้องเร่งกระบวนการสรรหาหรือไม่นั้น นายพรเพชร กล่าวว่า กรรมการสรรหาต้องดำเนินการไปตามกระบวนการและกรอบที่กฎหมายกำหนด เพราะกรรมการสรรหาทำผิดกฎหมายไม่ได้
"ขนาดตรวจสอบอย่างนี้ก็ยังไม่ครบถ้วน ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่สนช. ที่จะตรวจสอบจริยธรรมและความประพฤติ ซึ่งกระบวนการประกาศรับสมัครจะยาวกว่าเดิม แต่การตรวจสอบคุณสมบัติจะกระชับมากขึ้น อะไรที่เร่งได้ก็จะเร่ง อะไรที่เร่งไม่ได้หรือเกิดความเสียหายก็จะไม่เร่ง เพราะถ้าเร่งก็จะถูกกล่าวหาได้" นายพรเพชร กล่าว
อย่างไรก็ดี สำหรับการสรรหา กกต.รอบที่ 2 นั้น ในวันนี้ทาง สนช.จะส่งหนังสือแจ้งไปยังประธานศาลฎีกา เพื่อให้นัดประชุมกรรมการสรรหาต่อไป
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด