ไม่รอด สนช. มีมติถอดถอน'ยิ่งลักษณ์'คดีจำนำข้าว - ตัดสิทธิ์ 5 ปี
สนช.มีมติถอดถอน'ยิ่งลักษณ์'190 ต่อ 18 เสียง ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ส่วน'นิคม-สมศักดิ์'รอด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีการประชุมเพื่อลงมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่ง ได้แก่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีไม่ระงับยับยั้งทำให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนวนข้าว นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา กรณีจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว.
ทั้งนี้เมื่อเวลา 10.20 น. นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ได้เปิดประชุม สนช.
โดยนายสมชาย แสวงการ สมาชิก สนช. ได้เสนอให้มีการลงคะแนนออกเสียงถอดถอนหรือไม่ถอดถอนทั้ง 3 รายในคราวเดียวกัน ด้วยการหย่อนบัตรลงคะแนนลงในกล่องคูหา ซึ่งนายพรเพชรตรวจข้อบังคับเห็นว่าไม่ขัดต่อข้อบังคับแต่อย่างใด จึงดำเนินการลงมติถอดถอน-ไม่ถอดถอนพร้อมกันทั้ง 3 ราย
จากนั้นให้ตรวจนับองค์ประชุมก่อนการลงคะแนนมี สนช.ลงชื่อเข้าประชุม 219 ราย จากทั้งหมด 220 ราย ขาดสนช. 1 รายคือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร.ที่ลาป่วย
หลังจากนั้น มีการจับสลากรายชื่อของสนช.แบ่งเป็น 3 ชุดชุดละ 10 คนเพื่อทำหน้าที่เป็นกรรมการในการนับคะแนนกรณีของนายนิคม,นายสมศักดิ์,และน.ส.ยิ่งลักษณ์ก่อนที่จะเข้าสู่การลงคะแนนซึ่งเริ่มแจกบัตรลงคะแนนแล้วเมื่อเวลา 11.00 น.โดยในการลงคะแนนดังกล่าวใช้วิธีการเรียกชื่อสนช.ทีละ5คนเพื่อเข้าคูหาลงคะแนนลับ
หลังจากใช้เวลาในการลงคะแนนประมาณ45นาทีโดยการขานรายชื่อสมาชิกเพื่อใช้สิทธิ์ออกเสียงลงคะแนนเสร็จสิ้นเมื่อเวลา 11.45 น.จากนั้นนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช.คนที่หนึ่งได้สั่งปิดการลงคะแนนและเริ่มนับคะแนน
ทั้งนี้ ในการลงมติถอดถอนจะต้องมีคะแนน3ใน5ของจำนวนสมาชิกสนช.220คนหรือต้องมีคะแนน 132 เสียง
ผลการลงมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่ง กรณีนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ที่ประชุมสนช.มีมติถอดถอน 95 เสียงไม่ถอดถอน120 เสียงงดออกเสียง4
ผลการลงมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่ง กรณีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาฯที่ประชุมสนช.มีมติ ถอดถอน100 เสียงไม่ถอดถอน115เสียงงดออกเสียง4
ผลการลงมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่งกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมสนช.มีมติให้ถอดถอน190 ต่อ 18 เสียง งดออกเสียง 8 เสียง บัตรเสีย 3 บัตร
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
จ่อลดวาระ-เพิ่มตุลาการฯ รื้อศาลรธน. กมธ.ยกร่างฯยืนกราน
แนวหน้า : จ่อลดวาระ-เพิ่มตุลาการฯ รื้อศาลรธน. กมธ.ยกร่างฯยืนกราน ไม่ให้‘กกต.’จัดเลือกตั้ง ‘สุรชัย’ขานรับผู้ตรวจฯ แบนนักการเมืองชั่วชีวิต ถ้าผิดจริยธรรมร้ายแรง
นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการร่างรัฐธรรมนูญในส่วนของมาตราที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ว่า จะพิจารณาในส่วนกรอบกระบวนการยุติธรรมวันที่ 19 มกราคมนี้ โดยในช่วงวันที่ 19-21 มกราคม จะเป็นการพิจารณาในหัวข้อเรื่องหลักนิติธรรมและศาลและต่อด้วยการพิจารณาตัวบทขององค์กรอิสระซึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามที่กมธ.ได้เสนอมา
โฆษกคณะกมธ.ยกร่างฯ กล่าวอีกว่า ส่วนการปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุงการเข้าสู่ตำแหน่งในบุคลลในองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐนั้น น่าจะมีการปรับเปลี่ยนเรื่องระยะเวลาการดำรงตำแหน่งรวมถึงกระบวนการคัดสรรที่จะเขียนในสามารถคัดสรรอย่างครอบคลุมและทั่วถึงทุกภาคส่วนมากขึ้น และที่สำคัญบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งจะต้องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
รื้อที่มาสรรหาบุคคลองค์กรอิสระ
สำหรับ การคัดสรรบุคคลเข้ามาทำหน้าที่ในองค์กรตรวจสอบฯ จะใช้หลักเกณฑ์และมาตรฐานเหมือนกันทุกองค์กร แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก คงต้องรอการพิจารณาจากคณะอนุกมธ.อีกครั้งภายใน 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ทั้งนี้ในบททั่วไปของศาลและกระบวนการยุติธรรมจะมีการเขียนระบุชัดเจนในส่วนของหลักนิติธรรมซึ่งจะสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2550 ที่เขียนเรื่องหลักนิติธรรมไว้ในมาตรา 3 ให้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 รวมถึงทุกองค์กรต้องปฏิบัติตามหลักนิติธรรม แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้เราจะระบุให้ชัดเจนในภาคสามเลยว่าอะไรคือหลักนิติธรรม
ลดวาระ-เพิ่มตุลาการศาลรธน.
นายคำนูณ กล่าวอีกว่า ส่วนอำนาจหน้าที่และการคัดสรรบุคคลเข้าปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญนั้น นายคำนูณ กล่าวว่า อาจจะมีการปรับเรื่องระยะเวลาการดำรงตำแหน่งที่เดิมจะอยู่ที่สมัยละ 9 ปี ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในกมธ.ด้านกฎหมายบอกว่ามากเกินไปจึงจะปรับให้สั้นลงและจำนวนตุลาการที่แต่เดิมมี 9 คนอาจน้อยเกินไปจึงจะมีการเพิ่มจำนวนตุลาการให้มากขึ้น ทั้งนี้จำนวนที่จะปรับใหม่ต้องมีการหารือกันอีกครั้ง
ยืนกรานไม่ให้กกต.จัดเลือกตั้ง
เมื่อถามถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะมีการปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่นั้น นายคำนูณ กล่าวว่า ในหลักการที่ตกลงกันไว้อาจจะให้กกต.เป็นผู้กำกับควบคุมการเลือกตั้งในเต็มที่โดยจะเพิ่มอำนาจให้ในเรื่องการกำกับควบคุมการเลือกตั้ง แต่ในส่วนของผู้ที่จัดการเลือกตั้งอาจเป็นหน่วยงานอื่นเข้ามาจัดการเลือกตั้ง
เสวนาตอบโจทย์องค์กรอิสระ
วันเดียวกันที่โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ โคฟ เกาะช้าง จ.ตราด สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้จัดเสวนาเรื่อง “ตอบโจทย์: องค์กรตรวจสอบบนเส้นทางรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มี นายพิเชต สุนทรพิพิธ อดีตผู้ตรวจการแผ่นดินและอดีตสมาชิกวุฒิสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) นายศรีราชา วงศารยางกูร ผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมเสวนา
โดยนายพิเชต เห็นว่า องค์กรตรวจสอบในปัจจุบันเกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ 40-50 เมื่อทำงานมานานย่อมมีปัญหา เป็นโอกาสดีที่กำลังมีการยกร่างรัฐธรรมนูญจะได้มีการปรับปรุงแก้ไข ซึ่งเห็นว่า 5 องค์กรตรวจสอบ คือป.ป.ช. สตง กรรมการสิทธิมนุษยชน ผู้ตรวจการแผ่นดิน กกต.ต้องอยู่ต่อไป แต่ก็ต้องมีการแก้ไข ในเรื่องกระบวนการสรรหา ควรขยายฐานคณะกรรมการสรรหาให้มีจำนวนมากกว่า 7 คน มีที่มาหลากหลายเพื่อกลั่นกรองให้ได้บุคคลที่เหมาะสมและมีคุณภาพ
ให้นิยามคำว่าอิสระให้ชัดเจน
ขณะที่วาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการองค์กรอิสระแต่ละองค์กรควรเท่ากัน ไม่เกิน 6 ปีและเป็นได้วาระเดียว มีการแก้ไขการกำหนดกรอบหน้าที่ให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้การทำงานซ้ำซ้อนกัน และที่สำคัญ ควรมีการกำหนดนิยามคำว่า “อิสระ” ให้ชัดเจน ว่า หมายถึงอะไร เพราะบางคนมองว่า หมายถึงทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ แต่ส่วนตัวเห็นว่าควรให้หมายถึงการทำงานที่ปลอดจากการถูกอิทธิพลทางการเมืองครอบงำ
ผู้ตรวจฯต้องเป็นยักษ์มีกระบอง
ส่วนในภารกิจของผู้ตรวจการแผ่นดินก็เห็นว่า ควรเพิ่มอำนาจให้ผู้ตรวจฯเป็นยักษ์ที่มีกระบองเล็ก เช่น หากผู้ตรวจมีคำวินิจฉัยให้หน่วยงานนั้นต้องปรับปรุงแก้ไขแล้วภายใน 90 วันหน่วยงานดังกล่าวไม่ดำเนินการเพราะเพิกเฉยให้ถือเป็นความผิดทางวินัย รวมทั้งควรให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทำหรือมีส่วนในเรื่องการตรวจสอบจริยธรรมนักการเมืองต่อไป เพราะเรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรมีหน่วยงานใดเพียงหน่วยงานเดียวทำ ซึ่งไม่เชื่คอว่าสมัชชาคุณธรรมจริยธรรมที่จะตั้งขึ้นเพียงหน่วยงานเดียวจะทำได้
'ศรีราชา'ชี้การเมืองห้ามจุ้นสรรหา
ขณะที่นายศรีราชา กล่าวว่า จริงอยู่ที่การสรรหากรรมการองค์กรอิสระโดย 7 อรหันต์ไม่เหมาะสม แต่จะเอาองค์กรอื่นเข้ามาจะต้องคิดให้แตกก่อนว่า มันจะก่อให้เกิดความดีงาม เป็นธรรม เลืออกคนที่ดีไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้จริงหรือไม่ ส่วนตัวไม่อยากให้ฝ่ายการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการสรรหาเลย เพราะมันก็ทำให้เกิดการวิ่งเต้นว่าจะเอาไม่เอาได้อยู่ดี และเห็นว่าควรกำหนดคุณสมบัติผู้ที่จะมาเป็นกรรมการฯให้ชัดเจนว่าต้องไม่มีประวัติด่างพร้อย เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องสามารถให้คนคัดค้านได้
ขอเพิ่มอำนาจผู้ตรวจฯฟ้องเองได้
นายศรีราชา ยังกล่าวด้วยว่าในการยกร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ทางผู้ตรวจฯมีข้อเสนอขอให้มีการเพิ่มอำนาจในการตรวจสอบ โดยนอกจากในเรื่องขอให้มีอำนาจการขอต่อศาลให้คุ้มครองชั่วคราวเป็นเวลา 30 วันในระหว่างที่ผู้ตรวจพิจารณาคำร้องขอความช่วยเหลือจากประชาชน แล้ว ยังได้เสนอว่า อยากให้ผู้ตรวจมีอำนาจฟ้องคดีแพ่งหรือคดีอาญาแทนประชาชนได้ การตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของรัฐทุกระดับรวมทั้งกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่สำคัญอยากให้กำหนดให้การกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างแรงกลายเป็นคุณลักษณะต้องห้ามในการเข้าสู่การตำแหน่งทางการเมืองอย่างเด็ดขาดเพื่อเพิ่มมาตรฐานกับสถาบันการเมือง
'สุรชัย'ขานรับห้ามการเมืองจุ้น
ด้านนายสุรชัย กล่าวว่า ก็เห็นด้วยที่จะกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งกรรมการองค์กรอิสระเพียง 6 ปี และเป็นได้วาระเดียวเพื่อให้การทำหน้าที่ไปอย่างอิสระ ขณะเดียวกันเห็นว่าไม่ควรให้ฝ่ายการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมในการสรรหากรรมการองค์กรอิสระ เพราะเมื่อเราจะสร้างองค์กรอิสระมาตรวจสอบฝ่ายการเมือง ถ้าคนที่จะตรวจสอบเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายตรวจสอบ มันก็จะกลายเป็นเหมือน “ลิเกโรงใหญ่” ที่มาเล่นหลอกเขา และที่สุดมันก็จะไม่พัฒนาไปเป็นการถ่วงดุลและแบ่งแยกอำนาจอย่างสุจริต
ระบุ 4 ปัจจัยทำให้องค์กรตรวจสอบ
ทั้งนี้องค์กรตรวจสอบจะเข้มแข็งได้คิดว่าขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัย คือ 1. ต้องมีความเป็นอิสระแท้จริง 2. บทบาทอำนาจหน้าที่ต้องสามารถดูแลผลประโยชน์ประชาชนอย่างแท้จริงได้ 3.ต้องติดดาบให้ลงโทษผู้ทำผิดได้เพราะถ้ามีหน้าที่แค่ตรวจสอบมันก็เข้มแข็งไม่ได้ 4 .ผลงานองค์กรต้องเป็นที่ยอมรับ ไม่ใช่เอียงไปมา หลายมาตรฐาน ไม่กล้าเป็นผู้นำทางสังคม โดยปัจจัยใน 3 ข้อแรกนั้นสามารถแก้ไขได้โดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ แต่ในข้อสุดท้ายขึ้นอยู่กับบุคคลกรขององค์กรนั้นๆที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้น
ให้ปชช.ถอดถอนองค์กรอิสระได้
นายสุรชัย กล่าวว่า ขณะเดียวกันก็เห็นว่าเพื่อเป็นการควบคุมไม่ให้องค์กรอิสระใช้อำนาจตามอำเภอใจก่อความเสียหายให้กับประเทศ และเป็นการป้องกันการเอื้อประโยชน์กันระหว่างนักการเมืองกับกรรมการองค์กรอิสระ เห็นควรให้ประชาชนมีสิทธิที่จะเข้าชื่อถอดถอนกรรมการองค์กรอิสระได้ และเสนอแก้ไขกฎหมายองค์กรอิสระได้
หนุนผิดจริยธรรมแบนตลอดชีวิต
ส่วนในเรื่องการตรวจสอบจริยธรรมนักการเมืองเห็นว่า เป็นเรื่องใหญ่ ที่ต่อไปไม่เพียงจะกำหนดเฉพาะเรื่องจริยธรรมเท่านั้น แต่จะมีการรวมเรื่องคุณธรรมนักการเมือง เข้าไปไว้ด้วย ซึ่งคิดว่าผู้ตรวจการแผ่นดินยังเป็นองค์กรที่เหมาะสมจะทำในเรื่องการตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป และเห็นด้วยกับที่นายศรีราชาเสนอว่า ควรกำหนดให้การกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงกลายเป็นคุณลักษณะต้องห้ามในการเข้าสู่การตำแหน่งทางการเมืองตลอดไปเพื่อที่ได้เป็นยกระดับของนักการเมืองด้วย
สนช.ส่ง 60 คำถามให้'ยิ่งลักษณ์' ตอบปมถอดถอนคดีจำนำข้าว
แนวหน้า : นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน โฆษกคณะกรรมาธิการซักถามสำนวนถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภาและนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว.โดยมิชอบ แถลงภายหลังการประชุมครั้งแรกว่ามีการหารือถึงกระบวนการซักถามว่าจะมีการนำคำถามจากสมาชิก สนช.เพื่อซักถาม ป.ป.ช.และนายนิคมกับนายสมศักดิ์ ซึ่งมีการรวบรวมคำถามกรณีนายนิคมถาม ป.ป.ช. 16 คำถามและถามนายนิคม 17 คำถาม ส่วนของนายสมศักดิ์มีคำถามถึง ป.ป.ช.19 ข้อ และถามนายสมศักดิ์ 9 ข้อ โดยจะมีการจัดกลุ่มคำถามออกเป็นสามกลุ่มคือ เกี่ยวกับข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และความเห็น จากนั้นจะเรียงลำดับเหตุการณ์เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้นและซักถามในประเด็นที่จะนำไปสู่การตัดสินใจถอดถอนหรือไม่ถอดถอนของสนช.ทั้งหมดให้เกิดความกระจ่างชัดเจนที่สุด
นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า กรรมาธิการฯจะซักถามเพื่อให้เกิดความเข้าใจกับสังคมอย่างกระจ่างชัดเนื่องจากสำนวนเป็นเอกสารลับทำให้สังคมไม่ได้รับทราบข้อมูลทั้งหมดทำให้อาจได้ข้อมูลที่ไม่เชื่อมโยงกัน ดังนั้นกรรมาธิการฯจะสื่อสารกับสังคมด้วย ทั้งนี้หากผู้ถูกกล่าวหาไม่มาร่วมกระบวนการซักถามก็จะมีการสรุปประเด็นคำถามจาก สนช.ให้สังคมภายนอกเข้าใจโดยผู้ถูกกล่าวหาอาจรวบรวมข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการแถลงปิดคดีได้ จึงถือว่าได้เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการแล้ว นอกจากนี้นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้แจ้งกับทาง ป.ป.ช.และผู้ถูกกล่าวหาแล้วว่า หากมาแถลงเปิดคดีด้วยตัวเองก็ให้มาตอบข้อซักถามด้วยตัวเองด้วย แต่ถ้าจะให้คนอื่นทำหน้าที่แทนจะต้องมีการขออนุญาต
ด้าน นายสมชาย แสวงการ โฆษกคณะกรรมาธิการซักถามสำนวนถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไม่ยับยั้งความเสียหายโครงการจำนำข้าว โดย
มีสนช.แปรญัตติตั้งคำถาม 13 ราย เป็นคำถามถึง ป.ป.ช. 23 คำถาม และถามนางสาวยิ่งลักษณ์ 60 คำถาม โดยจะมีการจัดกลุ่มคำถามเรียงเหตุการณ์และตัดคำถามนอกประเด็นออก ส่วนคำถามที่ซ้ำก็จะนำมารวมกัน นอกจากนี้จะเชิญ สนช.ที่ตั้งคำถามมารับทราบเพื่อทำความเข้าใจด้วย ซึ่งในวันศุกร์ที่ 16 ม.ค.58 จะมีการซักถามอย่างเปิดเผย แต่ในระหว่างนี้คำถามทั้งหมดจะเป็นความลับ
คำนูณ สิทธิสมาน, บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์, บรรเจิด สิงหเนติ
หมายเหตุ - นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ และนายบรรเจิด สิงหเนติ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้ความเห็นในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ของคณะ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ จะเริ่มต้นพิจารณาตั้งแต่วันที่ 12 มกราคมเป็นต้นไป
คำนูณ สิทธิสมาน
โฆษกกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
สำหรับ การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรา จะเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 12 มกราคม เป็นต้นไปนั้น วันที่ 12-16 มกราคม เป็นการพิจารณาในภาคที่ 1 พระมหากษัตริย์และประชาชน เริ่มต้นจากบททั่วไปประกอบด้วย 7 มาตรา และในหมวด 1 พระมหากษัตริย์ 18 มาตรา ส่วนหมวดที่ 2 ประชาชน แบ่งเป็น 4 ส่วน ส่วนที่ 1 ความเป็นพลเมืองและหน้าที่พลเมือง 4 มาตรา ส่วนที่ 2 สิทธิและเสรีภาพของบุคคล 36 มาตรา ส่วนที่ 3 ส่วนร่วมทางการเมือง 3 มาตรา ส่วนที่ 4 การมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ 3 มาตรา จากนั้นจะมีหมวดที่ 2 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ 18 มาตรา รวมทั้งสิ้นในสัปดาห์แรกจะมีการพิจารณารวมแล้ว 89 มาตรา โดยเปิดให้สื่อมวลชนรับฟังเป็นส่วนใหญ่ แต่ยกเว้นอาจจะมีบางส่วน อาจจะเป็นการภายใน ไม่อาจเปิดให้รับฟังได้ก็จะแจ้งให้ทราบแล้วมีการแถลงข่าวภายหลัง อย่างไรก็ตาม ในหมวดว่าด้วยเรื่องพระมหากษัตริย์กับประชาชน เนื้อหาส่วนใหญ่จะยังเหมือนเดิมจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ในหมวดดังกล่าวจะมีความน่าสนใจ มีการปรับในเรื่องสิทธิเสรีภาพ แนวนโยบายพื้นฐานของรัฐ โดยจะปรับและมีเนื้อหามาตรามากที่สุด อย่างเช่นในสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลจะอยู่ที่ 36 มาตรา และแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐ 18 มาตรา
หลังจากมีการพิจารณาในสัปดาห์แรกในภาคที่ 1 เรียบร้อยแล้ว ยังไม่ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าจะมีการพิจารณาในภาคใดต่อ คงต้องดูเรื่องของความเหมาะสมก่อน แต่ตามตารางเดิมที่มีการวางไว้คือจะพิจารณาในภาคที่ 3 ในเรื่องของนิติธรรม ศาลและองค์กรการตรวจสอบ จากนั้นจึงพิจารณาในภาคที่ 2 และ 4 ต่อไป อย่างไรก็ตาม ในภาค 2 ในเรื่องของระบบการเลือกตั้ง และการได้มาของผู้นำสูงสุดในประเทศ ที่ดูเหมือนจะยังตกลงกันไม่ได้ในชั้นกรรมาธิการ คิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาในการร่างในรายมาตรา เพราะมีการตกลงกันไปแล้ว เพียงแต่รอการขัดเกลาให้มีความชัดเจนก่อนการร่างรายมาตราเท่านั้นเอง และเมื่อเห็นตัวรัฐธรรมนูญออกมาแล้ว หากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เราสามารถแถลงชี้แจงได้ในทุกส่วน เพียงแต่วิธีการทำงานเราก็จะทยอยพิจารณาไป อย่างเช่น ที่มาของนายกรัฐมนตรีก็เป็นไปตามที่ได้นำเสนอต่อสื่อมวลชน เพียงแต่ต้องมีการปรับในรายมาตราให้เกิดความชัดเจนขึ้น โดย กมธ.ทุกคนสามารถเสนอปรับแก้ได้
สำหรับ กรณีที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เสนอให้ประชาชนสามารถยื่นชื่อถอดถอนนักการเมืองได้ ตอนนี้ถือเป็นฉันทามติแล้วว่าจะนำเข้ามาพิจารณาในการร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราด้วย เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของการจัดการกับคนทุจริต คอร์รัปชั่น ทางสภาไม่สามารถถอดถอนได้ จึงให้ประชาชนยื่นชื่อเข้ามาตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยมีโทษต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์
กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
สำหรับ การยกร่างรายมาตรา ในวันที่ 12 มกราคม เริ่มไล่จากหมวดทั่วไป สิทธิและหน้าที่ หมวดพระมหากษัตริย์ และจะจบในสัปดาห์นี้ ด้วยเรื่องของแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ทั้งนี้ กรอบระยะเวลาที่ใช้ ก็ตามที่เคยมีการแถลงไปก่อนหน้านี้ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ส่วนการทำงานของกรรมาธิการยกร่างยังใช้เวลาตามวันทำงานราชการปกติ แต่ทั้งนี้ในช่วงการพิจารณาตอนปลาย หากมีความล่าช้าจริงก็อาจจะใช้วันเสาร์อาทิตย์ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม หากถามว่าร่างรัฐธรรมนูญจะเสร็จทันหรือไม่ ตามกำหนดการวันที่ 17 เมษายนนั้น ตรงนี้ยังไม่มีใครประเมินได้ขึ้นอยู่กับการแปรญัติติต่างๆ จะมากมายเพียงไหน ถ้ามีการขอเพิ่มเติมมากก็อาจจะดีเลย์หน่อย แต่ในทางกลับกันอาจจะมีน้อยกว่าที่คาดไว้ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าต้องทัน ต้องทำให้ทัน ไม่อย่างนั้นก็ต้องหยิบปี๊บคุมหัว ส่วนเรื่องที่มีการถกเถียงอย่างเรื่องที่มานายกรัฐมนตรีนั้นจะเป็นส่วนจะทำให้เวลายืดไปหรือไม่นั้น อยู่ที่การแปรญัติ แต่กติกาใหญ่ คือ สาระสำคัญเดิมแปรญัตติไม่ได้ แปรญัตติได้ในเรื่องรายละเอียดเท่านั้น
ตัวอย่างในหมวดต่างๆ หมวดพระมหากษัตริย์ตรงนี้ยังคงใช้รูปแบบเดิม คือ ใช้ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 และ 50 ส่วนในเรื่องสิทธิพลเมือง หลักการ คือ แยกชัดเจนมากขึ้นระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง โดยสิทธิมนุษยชน คือ คุมหมดไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่รวมถึงคนที่เข้ามาทำมาหากินและอาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วย แม้บางสิทธิอาจจะไม่ได้เท่าคนไทย แต่ก็ดีขึ้น ส่วนด้านสิทธิพลเมืองก็เป็นเรื่องของประชาชนชาวไทย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หากถามว่าร่างรัฐธรรมนูญจะมีกี่มาตรา ยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะยังไม่เห็นทั้งหมด ตอนนี้สิ่งที่แจกแก่ กมธ.ยกร่างฯมีถึงเพียงหมวดแนวนโยบายของรัฐ จึงทำให้ประเมินยากว่าถ้าออกมาทั้งหมดจะมีเท่าไหร่
ส่วนเรื่องการจะให้ประชาชนเข้าชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นั้น เป็นความพยายาม จะเปิดการใช้อธิปไตยทางตรงของประชาชนให้มากขึ้น ที่มีการเสนอออกมาหลายรูปแบบ การถอดถอนเป็นช่องทางหนึ่ง หลักนี้เห็นด้วย แต่ทั้งนี้กติกาจะเป็นอย่างไร ตรงนี้ยังไม่ได้ลงรายละเอียดกัน อย่างจำนวนเข้าชื่อถอดถอนเท่าไหร แต่เท่าที่เห็นร่าง คือใช้ในโอกาสเดียว จะใช้ตอนที่มีการเลือกตั้งจะได้ไม่ต้องเพิ่มงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อจัดการถอดถอนโดยเฉพาะ แต่รายละเอียดลึกลงไปกว่านี้ยังไม่มีการพูดคุย อย่างไรก็ตาม การจะถอดถอนวิธีนี้ได้ แนวปฏิบัติคือต้องเป็นการถอดถอนที่มีมูล โดยมีกระบวนการถอดถอนขององค์กรอิสระที่มีอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวบรวมสำนวนส่งมาที่สภา แล้วดำเนินการตามขั้นตอน สุดท้ายมีมติไม่ถอดถอน จึงนำมาให้ประชาชนตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม ที่หลายคนวิตกว่าเป็นยาแรงเกินไปหรือไม่ เพราะผู้ที่ถูกถอดถอนโดยประชาชนจะถูกตัดสิทธิตลอดชีวิตนั้น ตรงนี้ยังไม่ได้มีข้อยุติออกมาว่าจะเป็นอย่างไร สำหรับบทลงโทษ จะตัดสิทธิทางการเมือง ห้าปี สิบปี หรือตลอดชีวิต
บรรเจิด สิงหเนติ
กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะเริ่มพิจารณาเป็นรายมาตรา เริ่มต้นตั้งแต่บททั่วไปของภาคที่ 1 พระมหากษัตริย์และประชาชน จะประกอบด้วย หมวด 1 พระมหากษัตริย์ และหมวด 2 ประชาชน ในหมวดดังกล่าว จะแบ่งย่อยอีกหลายส่วน ไม่ว่าความเป็นพลเมืองและหน้าที่พลเมือง สิทธิเสรีภาพ ส่วนร่วมทางการเมือง และส่วนร่วมในการตรวจสอบ
โดยในภาคที่ 1 พระมหากษัตริย์และประชาชน เนื้อหาส่วนใหญ่จะคล้ายกับรัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากของเดิมมาก การลงรายมาตราของคณะ กมธ.ยกร่างฯ จะเริ่มต้นขึ้นในวันดังกล่าว เป็นการพิจารณาจากเนื้อหาของคณะอนุ กมธ.ยกร่างกรอบรัฐธรรมนูญที่มี นางกาญจนรัตน์ ลีวิโรจน์ เลขานุการยกร่างฯเป็นประธาน ที่ได้ทำงานกันในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา และนำเสนอให้ กมธ.ยกร่าง
กมธ.ยกร่างฯแต่ละคนก็จะพิจารณา ในภาค 1 โดยใช้ร่างของคณะอนุ กมธ.ยกร่างกรอบรัฐธรรมนูญมาเป็นกรอบว่าจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยอย่างไร โดยจะเปิดให้ผู้สื่อข่าวติดตามเนื้อหาของการประชุมได้ อย่างไรก็ตาม ภายหลังเสร็จจากภาค 1 แล้วก็จะมีการพิจารณาเป็นลำดับๆ ต่อไป จะเป็นส่วนใดนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้มีการกำหนดตายตัว
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด