'บวรศักดิ์'เผย เปิดรับความเห็นรธน.ร่างแรกถึง 23 ก.ค. เล็งทบทวนปมที่มา ส.ว.หลังโดนวิจารณ์หนัก
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงความคืบหน้าการจัดทำรัฐธรรมนูญร่างแรก และการเดินสายรับฟังความเห็นจากประชาชน 4 ภาคให้กับสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)ทั้ง 77 จังหวัดรับทราบว่า ขณะนี้การยกร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 315 มาตรายังไม่นิ่ง และมีความเห็นต่างหลายประเด็น อาทิ คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. ที่กรรมาธิการฯ ระบุว่า ต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรี แต่ประชาชนบางส่วนไม่เห็นด้วย จึงอยากให้การจัดเวทีรับฟังความเห็นของ สปช. และกรรมาธิการยกร่างฯ ได้ทำแบบสอบถามความคิดเห็นจากประชาชนในคำถามลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้อยากให้ สปช.จังหวัดได้เข้ามามีส่วนในเวทีต่างๆ ทั้ง 4 ภาค และคาดว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะนำไปสู่การทำประชามติ แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ทุกฝ่ายสามารถเสนอความเห็นเกี่ยวกับการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญได้จนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 และอาจมีการทบทวนประเด็นที่มาของ ส.ว. หลังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และข้อเสนอแนะมายังกรรมาธิการฯ จำนวนมาก โดยเฉพาะการกำหนดให้อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานรัฐสภา และอดีตผู้นำเหล่าทัพสามารถเข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ได้ ซึ่งส่วนตัวยืนยันว่าการเปิดให้บุคคลเหล่านี้เข้ามา เนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง ซึ่งหากไม่เปิดให้เข้ามาก็จะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอีก
ส่วนการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญนั้น นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถเสนอได้จนกว่ารัฐธรรมนูญจะมีผลบังคับใช้ แต่ขณะนี้ทำได้เพียงเตรียมความพร้อมไว้ก่อน ซึ่งหากสุดท้ายแล้วร่างรัฐธรรมนูญตกไปจะเท่ากับว่ากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เตรียมไว้ก็จะไม่มีผล แต่หากผ่านความเห็นชอบก็จะนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ได้ทันที ซึ่งขณะนี้ตนเองได้ทำหนังสือถึงนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. และนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ว่า กรรมาธิการยกร่างฯ พร้อมเปิดให้สมาชิกทั้ง2 สภาเข้าร่วมจัดทำร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ แต่ยอมรับว่ากฎหมายบางฉบับกรรมาธิการยกร่างฯต้องทำเอง เช่น กฎหมายสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ และกฎหมายเกี่ยวกับการตรวจสอบภาคพลเมือง
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
มติชนออนไลน์ : |
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณารายงานการศึกษาเรื่องการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สปช. ที่มีนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานกมธ.ฯ กล่าวว่า การปฏิรูปการจัดทำกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การปรับปรุงและการยกร่างกฎหมายนั้น ยังมีกระบวนการที่ใช้เวลานาน ซับซ้อน และมีขั้นตอนมาก รวมถึงยังขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงควรมีการปฏิรูปกระบวนการตรากฎหมายและปรับปรุงกฎหมายปัจจุบัน คือ พ.ร.บ.คณะกรรมการกฤษฎีกา และ พ.ร.บ.คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายในการแบ่งอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับร่างกฎหมายที่สามารถทำให้ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพตรงตามความต้องการของประชาชนและสังคมโดยรวม และปรับปรุงให้สอดคล้องกับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนโดยใช้หลักต่างตอบแทน นายเสรี กล่าวว่า การปฏิรูปองค์กรและกระบวนการยุติธรรมก่อนชั้นศาล ได้ศึกษาการปฏิรูปองค์กรอัยการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทนายความ และหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม เสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ยกเลิกกฎหมาย หรือร่างกฎหมายใหม่ ขององค์กรดังกล่าว เนื่องจากระบบสอบสวนที่แยกส่วนระหว่างพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ทำให้การสอบสวนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยเฉพาะในคดีที่มีความซับซ้อน นอกจากนี้ยังไม่มีความชัดเจนทางกฎหมาย ในการเพิ่มอำนาจหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานอัยการ ให้มีอำนาจในการลดปัญหาและยุติปัญหาทางคดีความก่อนนำคดีไปสู่ศาล รวมทั้งมีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลมากเกินไป ทำให้คดีค้างพิจารณาจำนวนมาก จึงต้องมีการปฏิรูปกระบวนการสอบสวนในคดีสำคัญ โดยให้พนักงานอัยการเข้าร่วมในการสอบสวนกับพนักงานสอบสวน และการเข้าสอบสวนคดีตามที่กฎหมายให้อำนาจพนักงานอัยการ ปฏิรูปกระบวนการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวน ชั้นพนักงานอัยการ และชั้นศาลให้สามารถใช้หลักประกันเดียวกันได้ตลอดทั้งคดี ปฏิรูปมาตรการทดแทนการสั่งฟ้องคดี เช่น การไกล่เกลี่ย การชะลอการฟ้องเพื่อลดปริมาณคดีสู่ศาล รวมถึงการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรอัยการและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งการปฏิรูปครั้งจะช่วยลดปริมาณคดีที่จะขึ้นสู่ศาล ทำให้ศาลสามารถตัดสินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คนจนเข้าถึงความยุติธรรมได้มากขึ้น และขจัดปรากฏการณ์ความยุติธรรม 2 มาตรฐานทำให้ฐานะทางการเงินไม่เป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาความยุติธรรม ดังนั้นเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์จะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้ นายเสรี กล่าวว่า ในส่าวนการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล ได้เสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายยกเลิกกฎหมายหรือร่างกฎหมายใหม่ขององค์กรศาล และงานที่เกี่ยวเนื่องร่วมทั้งพิจารณาสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะของการปฏิรูปงานศาล เพื่อให้การปฏิบัติงานขององค์กรศาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและอำนวยความยุติธรรมแก้ประชาชนอย่างอิสระ ปราศจากการแทรกแซง รวมถึงให้มีการตรวจสอบคำสั่งและคำพิพากษาให้ถึงที่สุด และเห็นว่าควรมีมาตรการทางเลือกแทนการลงโทษมากขึ้นกว่าที่มีอยู่ในกฎหมายปัจจุบันโดยคำนึงถึงผู้กระทำผิดที่เป็นผู้หญิง ตามหลักการของข้อกำหนดกรุงเทพฯ และควรจัดตั้งศาลชำนาญพิเศษเฉพาะทางเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และประสบการณ์ผู้พิพากษา ตุลาการ ให้มีความเชี่ยวชาญชำนาญคดีเฉพาะด้าน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน จะต้องมีการยกร่างแก้ไขกฎหมายที่เพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2558 นายเสรี กล่าวว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ป้องกันการทำงานที่ล่าช้าและซ้ำซ้อนระหว่างองค์กรจึงต้องมีการปฏิรูปกระบวนการสรรหา โครงสร้าง อำนาจหน้าที่ และการบริหารงานบุคคลในองค์กร รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งข้อเสนอและแนวทางการปฏิรูปทั้งหมดเสนอต่อ สปช.ให้พิจารณาปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้สมบูรณ์ต่อไป ทั้งนี้ หลังเปิดให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง นายเทียนฉายได้แจ้งว่า การพิจารณาในวันนี้ถือว่าสมาชิกได้รับทราบรายงานของ กมธ.ฯ ชุดนี้แล้ว ทาง กมธ.ฯ จะรวบรวมความเห็น ข้อเสนอแนะ สปช.นำไปเป็นแนวทางปรับปรุง ทบทวนการดำเนินการแล้วนำกลับมาพิจารณาในที่ประชุม สปช.อีกครั้งสิ้นเดือนพฤษภาคม |
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18:28 น. ข่าวสดออนไลน์
รายงานพิเศษ : อานิสงส์คดี 38 สว.ต่อ 250 สส.
อดีต 38 ส.ว.หายใจโล่ง หลังสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โหวตไม่ถอดถอนยกชุด
จากกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลถอดถอนกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาส.ว.
แต่ที่ยังต้องระทึกคือ 250 อดีตส.ส. ที่ป.ป.ช.เพิ่งชี้มูลจากการแก้ไขปมที่มา ส.ว.เช่นกัน
บรรทัด ฐานการพิจารณาคดี 38 ส.ว. จะมีอานิสงส์ต่อ 250 ส.ส.หรือไม่ มีความเห็นจากนักวิชาการ อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และวิป สนช.
ยุทธพร อิสรชัย
คณบดีรัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช
กรณี ของอดีต ส.ส. 250 คน ที่ถูกป.ป.ช.ชี้มูล หากพิจารณาดูจะเห็นแง่ที่เหมือนกันกับกรณีของอดีต ส.ว. 38 คน ตรงที่การแก้รัฐ ธรรมนูญเป็นอำนาจโดยแท้ของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำได้
แต่อดีต ส.ส.ยังมีอีกประเด็นหนึ่งคือการสอดไส้วาระ จึงเป็นปัญหา จุดนี้เป็นส่วนที่แตกต่างจากกรณีของอดีต ส.ว. ทำให้ดูว่าในส่วนของอดีต ส.ว.ไม่ได้ทำผิด ทำให้ สนช.ลงมติไม่ถอดถอน
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ส่วน ถือเป็นการลงมติคนละองค์กร ในส่วนของอดีต ส.ว.เป็นการลงมติโดยสนช. ซึ่งเป็นการตรวจสอบทางการเมือง
ขณะ ที่ 250 อดีตส.ส. เป็นการลงมติโดยป.ป.ช. ซึ่งตรวจสอบทางกฎหมาย จึงอาจมองลึกเกินไปกว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขได้
ดังนั้น ในแง่ตรวจสอบทางการเมืองอาจจะไม่ผิด แต่ถ้าในแง่การตรวจสอบทางกฎหมายคงต้องดูในคำวินิจฉัยของป.ป.ช.ว่าลงรายละเอียดลึกอย่างไร
ทำ ให้ประเด็นสำคัญที่สุ่มเสี่ยงของอดีต ส.ส. 250 คน คือการสอดไส้วาระ แต่ในส่วนของผลประโยชน์ขัดกันคงไม่เกี่ยว เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติโดยแท้ ที่จะแก้ไขกฎกติกาของสังคมได้
เข้าใจว่าประเด็นอำนาจหน้าที่นั้นสามารถ แก้ไขได้ แต่ถ้าจะผิดน่าจะเป็นประเด็นสอดไส้มากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องของขั้นตอนและวิธีการ
จึง คิดว่าแนวโน้มการลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนกรณีอดีต ส.ส. 250 คน น่าจะสุ่มเสี่ยงกว่ากรณีของอดีต ส.ว. 38 คน เพราะมีข้อแตกต่างอย่างที่ได้กล่าวไป
สดศรี สัตยธรรม
อดีต กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง
การเทียบเคียงระหว่างคดีถอด ถอนอดีต 38 ส.ว. และอดีต 250 ส.ส. ที่แก้ไขประเด็นที่มาของ ส.ว. มูลคดีมาจากรัฐธรรมนูญเดียวกันคือฉบับ 2550 ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว
และสนช.มีมติไม่ถอดถอนอดีต 38 ส.ว.ไปแล้ว หากไม่เกิดคำว่าสองมาตรฐานขึ้นเชื่อว่าผลของคดีสำหรับ 250 ส.ส. ก็คงไม่แตกต่างกัน
โดยหลักความเป็นจริง รัฐ ธรรมนูญ 2550 เปิดช่องทางให้ สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้โดยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิ สภา เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ สนช.ก็ถือว่าได้สร้างบรรทัดฐานที่ไม่ลงมติถอดถอน และหากพิจารณารายละเอียดการชี้มูลของป.ป.ช. จะพบว่าเป็นประเด็นชี้มูลที่ไม่ค่อยแตกต่างกัน
ส่วนที่มีการกล่าวหาเรื่อง ส.ส.เสียบบัตรแทนกันช่วงที่มีการแก้ไขที่มาของ ส.ว.นั้น เป็นเรื่องที่เข้าข่ายการผิดต่อข้อบังคับและเป็นเรื่องทางคดีอาญา หากพบหลักฐานว่ามีความผิดจริง
กระบวนการนี้ควรจะหาข้อเท็จ จริงก่อนที่ ป.ป.ช.จะส่งเรื่องให้ สนช.พิจารณา ควรต้องรอให้ศาลอาญามีคำพิพากษาอย่างใดอย่างหนึ่งเสียก่อน ไม่ควรจะข้ามขั้นตอนไปสู่การพิจารณาว่าจะถอดถอนหรือไม่
อีกทั้ง น้ำหนักการชี้มูล สำหรับอดีต 38 ส.ว. ที่ถูกกล่าวหาว่ามีความพยายามแก้ไขที่มา ส.ว.เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองสามารถลงสมัครเพื่อดำรงตำแหน่ง ต่อได้หลังหมดวาระ
แม้ 250 ส.ส.จะถูกกล่าวหาว่า แก้ไขเพื่อเปิดช่องทางให้เครือญาติตนเองลงสมัคร ส.ว. จะเกิดความสัมพันธ์ระหว่างสองสภา เป็นการกล่าวหาที่มองไปถึงอนาคต ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นจริง
และสุดท้ายการที่ สนช.มีมติไม่ถอดถอน 38 ส.ว. ก็เท่ากับเป็นการสร้างบรรทัดฐานได้อย่างชัดเจน
ดังนั้น การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การได้มาซึ่งฝ่ายนิติ บัญญัติ เมื่อไม่มีการถอดถอนบรรดาอดีต ส.ว.เหล่านี้ก็ถือว่ามีคุณสมบัติที่สามารถกลับเข้ารับตำแหน่งได้ แม้จะเป็นรูปแบบการเลือกตั้งทางอ้อมก็ตาม จึงขอแสดงความยินดีที่ผ่านพ้นวิกฤตทางการเมืองมาได้
ส่วน ส.ส.ที่กำลังจะถูกพิจารณาถอดถอน ที่มีข้อกังวลว่าอาจเกิดประเด็นทางการเมืองที่พยายามป้องกันไม่ให้ ส.ส.ฝ่ายนี้กลับเข้าสู่เวทีการเมือง ต้องมองไปถึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าจะออกแบบมาเป็นการป้องกันหรือไม่
ส่วนตัวเชื่อว่า ในร่างรัฐธรรมนูญนี้มีแนวโน้มในแง่การรับฟังความคิดเห็นจากภายนอกไปในทางที่ ดีขึ้น เพราะมีการทบทวนว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรจะกำหนดในรัฐธรรมนูญ
จึงอยากจะเชื่อว่ามติ สนช.ที่ไม่ถอดถอนอดีต ส.ว. จะมีอานิสงส์ไปถึงบรรดา ส.ส.เช่นกัน ไม่น่าเป็นประเด็นหรือน่ากังวลแต่อย่างใด
เพราะหากเกิดกรณีที่ใช้บรรทัดฐานที่ต่างกัน ทั้งที่รูป คดีเหมือนกัน ก็ต้องกลับมาทบทวนเรื่องความปรองดอง เพราะการกระทำเช่นนั้นจะดูเหมือนเป็นการล้างบาง
นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์
โฆษกวิป สนช.
คดีของอดีต 38 ส.ว.เป็นกรณีที่ป.ป.ช.กล่าวหาว่าลงชื่อในร่างแก้ไข รัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มา ส.ว.เพื่อประโยชน์ของตัวเอง เพื่อจะได้สามารถลงเลือกตั้งได้อีก
ทาง ส.ว.ก็โต้ว่า เขาไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าจะลงเลือกตั้งหรือไม่ หรือถ้าลงเลือกตั้งก็อยู่ที่ประชาชนเป็นคนเลือก ซึ่งจะได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนคดีของอดีต 250 ส.ส. ต้องแยกส่วนหนึ่งออกไปเป็นคดีอาญา ที่เหลือคือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นร่างรัฐธรรมนูญปลอม ไม่ได้เป็นร่างที่เขาเข้าชื่อเสนอ จึงเป็นการพิจารณา ในร่างที่ตัวเองไม่ได้เสนอ แต่ไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนอะไร
ซึ่งต่างจาก ส.ว.ตรงนี้ หรือถ้าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนนอกจากเป็น ส.ส.แล้วต้องการไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ว. ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
กระบวนการพิจารณาคดีของอดีตส.ส. 250 คน ก็ใช้กรอบการทำงานเหมือนกับคดีของอดีตส.ว. 38 คน จะมีการกำหนดวันประชุมนัดแรก การแถลงเปิดสำนวนคดี การตั้งกรรมาธิการซักถาม แถลงปิดสำนวนคดีด้วยวาจาและโหวตลงมติ
ซึ่งสนช.ต้องคิดว่าจะโหวตกันอย่างไร เพราะมีจำนวนถึง 250 คน และตามข้อบังคับการประชุมแล้วต้องลงมติเป็นรายบุคคล
ส่วนจะสามารถถอดถอนทั้ง 250 คนได้หรือไม่ คงเป็นเรื่องยาก เพราะขนาดคดีของ 38 ส.ว.ซึ่งโดน 2 ข้อหายังไม่โดนถอดถอนเลย แต่ของ 250 ส.ส. โดนเพียงข้อหาเดียวว่าพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญปลอม
ส่วนการมองว่า จะมีวาระซ่อนเร้นเพื่อนำไปสู่การตัดสิทธิ์การลงสมัครส.ส.นั้น คงไม่น่าจะเกี่ยวกัน
เมื่อดูจากคะแนนที่ถอดถอน 38 ส.ว.ที่ออกมาแล้ว เป็นเรื่องที่น่าหนักใจของป.ป.ช.
'บิ๊กตู่'ขู่ทะเลาะกันไม่เลิก ล้มกระดาน รื้อรธน.ยกร่างใหม่ทั้งยวง
แนวหน้า : 'บิ๊กตู่'ขู่ทะเลาะกันไม่เลิก ล้มกระดาน รื้อรธน.ยกร่างใหม่ทั้งยวง ยังกั๊กประชามติหรือไม่ กกต.พร้อมรับเจ้าภาพ
สปช.นัดตรวจ 7 วันรวด
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอจากหลายฝ่ายให้ทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า เดี๋ยวตนจะขอตัดสินใจเมื่อถึงเวลาใกล้ๆก่อน ซึ่งอำนาจการตัดสินใจสุดท้ายรัฐธรรมนูญชั่วคราวก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่า เป็นเรื่องของ คสช.แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนเรื่องการทำประชามติ
บิ๊กตู่ ชี้ประชามติทำหรือไม่ก็ได้“เพราะฉะนั้นทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้อยู่ที่ผมตัดสินใจพิจารณาร่วมกันว่า ควรหรือไม่ควร วันนี้ยังไปไม่ถึงตรงนั้นก็ทะเลาะกันจะเป็นจะตายอยู่แล้ว ทุกคนไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ทุกคนจะเอาแบบเดิมกันทั้งหมด ถามว่าแล้วเราจะปฏิรูปได้ไหม ต้องกลับไปถามคนที่ออกมาเรียกร้องว่า เขาต้องการอะไร หนึ่งเขาต้องการปฏิรูปใช่หรือไม่ เมื่อมีการปฏิรูปก็ย่อมมีอะไรที่ไม่เหมือนเดิมบ้าง มีกลไกที่จะทำให้เกิดการปฏิรูปอย่างเป็นธรรม เข้าใจคำว่าเสียเวลาเปล่าไหม เราพูดกันเสมอ เสร็จแล้วพอทำไม่ได้ พอมีปัญหา ท่านก็บอกว่า ตัวผมไม่รู้จะเข้ามาทำไม เสียเปล่า ถ้าจะแก้ก็พยายามทำให้ พอแก้ไม่สำเร็จเพราะมีการต่อต้าน จนเจ้าหน้าที่ทำไม่ได้ก็มาโทษผมอีกว่า เสียเปล่า’พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
‘สุรพงษ์’เว้นวรรคขอให้จริง
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯมั่นใจใช่หรือไม่ว่า การปฏิรูปครั้งนี้จะไม่เสียเปล่า พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมจะไม่ยอมให้เสียเปล่า”เมื่อถามว่า แต่มีบางกลุ่มนักการเมือง อาทิ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประกาศว่า หากกติกายังไม่ชัดเจนจะขอเว้นวรรคทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็ดีสิ ก็ไปสิ ให้เว้นจริงๆก็แล้วกัน จะได้เลิกทะเลาะกันเสียที” เมื่อถามว่า จะเรียกมาปรับความเข้าใจอีกหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่เรียก มันปรับไม่ได้แล้ว อายุเยอะแล้ว เขาก็คิดแบบเขา จะไปอะไรกันนักหนา แต่ตนก็ฟังไว้
วุ่นนักฉีกทิ้ง-ตั้งกมธ.ร่างใหม่
ต่อข้อข่าวถามว่า การจะตัดสินใจทำประชามติหรือไม่จะต้องประเมินจากอะไร หรือต้องรอให้ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จก่อน นายกฯกล่าวว่า ก็ต้องรอประเมินดูจากสถานการณ์ วันนี้การร่างยังไม่ไปไหนเลย ถ้าตกลงกันเรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไรกัน สามารถทูลเกล้าฯได้ มันก็จบ โปรดเกล้าฯลงมาก็เลือกตั้ง แต่เมื่อเถียงกันมากๆ เดี๋ยวค่อยว่ากันว่า จะทำอย่างไรต่อ “มีอยู่สองอย่าง ไม่งั้นก็ต้องล้มกันทั้งหมด เริ่มใหม่ เอาไงก็ไปเลือกกันมา ถ้าล้มทั้งหมดก็ต้องตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ รัฐธรรมนูญเขียนไว้แบบนั้น ผมถึงเวลากลางคืนนอนไม่ค่อยหลับ คิดถึงคำตอบที่จะมาตอบกับสื่อ”
แม้เสียเวลาเริ่มใหม่ก็ต้องยอม
เมื่อถามว่า ถ้าล้มทั้งหมดจะไม่เป็นการเสียเวลา หรือสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เสียเวลา เสียสมอง”เมื่อถามว่า ปัจจัยอะไรที่จะทำให้ต้องล้มใหม่ทั้งหมด เป็นเพราะสถานการณ์ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่ หมายความว่า กลุ่มการเมืองเขาจะรับร่างรัฐธรรมนูญนี้ได้หรือไม่ ถ้าเขาไม่รับแล้วจะทำอย่างไร ถ้าเขาไม่รับก็ต้องไปหาทางทำกันมา จะมาถามตนทำไม ต้องไปถามคนที่ไม่รับ เมื่อถามว่า มีแผนสำรองอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่มี ถึงมีก็ไม่บอก ทำไมจะต้องบอกทุกเรื่อง
สปช.นัดตรวจร่างแรก7 วันรวด
วันเดียวกัน มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยมี นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.ทำหน้าที่ประธาน โดยก่อนเข้าวาระการประชุม นายเทียนฉาย ได้แจ้งต่อที่ประชุมรับทราบคือ ในการประชุมหารือแม่น้ำ 5สาย เมื่อวันที่ 11มีนาคมที่ผ่านมา ทางรัฐบาลได้แจ้งมีมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยขอความร่วมมือลดภาระงบประมาณในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางบนเครื่องบินของข้าราชการระดับสูง ดังนั้น ขอให้สมาชิก สปช.ให้ความร่วมมือต่อมติ ครม.ดังกล่าว พร้อมแจ้งถึงวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ โดย สปช.จะได้รับร่างรัฐธรรมนูญจาก กมธ.ยกร่างฯวันที่ 17เมษายน จากนั้นต้องเร่งพิจารณาตั้งแต่วันที่ 20-26เมษายน รวม 7วัน โดยใช้เวลาพิจารณาเต็มวัน ฉะนั้นจึงแจ้งให้สมาชิก สปช.ได้เตรียมพร้อมเพื่อร่วมพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในวันดังกล่าว โดยขอให้ยุติภารกิจทั้งหมดและงดการประชุมกรรมาธิการ
แนะ’ปึ้ง’ส่งข้อคิดเห็นโดยตรง
นายเทียนฉาย ยังกล่าวถึงกรณี นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ระบุว่า อาจตัดสินใจยุติบทบาททางการเมืองชั่วคราว หากที่สุดรัฐธรรมนูญกำหนดให้ สว.มาจากการสรรหาและให้นายกฯมาจากคนนอก ว่า ยังเร็วไปที่พรรคการเมืองจะตัดสินใจบอยคอตเลือกตั้ง ทั้งที่ยังไม่เห็นร่างแรก ถ้ามีความเห็น ถกเถียงประเด็นใดส่งมาที่ตนก็ได้ อย่าไปพูดผ่านสื่อ เพราะสังคมสับสน อย่าว่าแต่ประชาชนสับสนเลย แม้แต่ตนก็สับสนและให้รอถึงวันที่หน้าตารัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์ไม่สามารถแก้ไขใดๆได้แล้ว ค่อยมาวิจารณ์ด้วยหลักการและเหตุผลจะดีกว่า
‘วิษณุ’ชี้เห็นต่างเรื่องธรรมดา
ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาณ์ถึงการประชุม 5ฝ่าย เมื่อวันที่ 11มีนาคมที่ผ่านมาว่า มีคำถามซึ่งรวบรวมแล้วประมาณ 17ข้อ ขณะนี้กมธ.ยกร่างฯกำลังรวบรวมคำตอบอยู่ ส่วนการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญที่หลายฝ่ายไม่เห็นด้วยนั้น ก็ไม่เป็นไร เสนอความคิดเห็นมาได้ ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่ามีหลายประเด็นที่ถกเถียงกัน แต่ก็เรื่องธรรมดาเพราะมีถึง 315มาตรา ตนยังแปลกใจว่า สังคมเรายังเหมือนทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา คือ ยังชุลมุนวุ่นวายติดอยู่กับประเด็นนายกรัฐมนตรีเป็นใคร มาจากไหน สส.เลือกตั้งโดยวิธีอะไร ซึ่งมันการเมืองภาคการเมือง ซึ่งก็ไม่เป็นไร ถ้าใครติดใจก็ซักถามขึ้นมาได้ แต่ความจริงในรัฐธรรมนูญยังมีอีกหลายประเด็นที่ควรจะตั้งคำถาม เช่น สิทธิและเสรีภาพ สมัชชาคุณธรรม หรือสมัชชาพลเรือน ประเด็นใหม่ๆ ยังมีอีกเยอะ แต่ดูแล้วประเด็นเหล่านี้ ไม่ค่อยจะวิพากษ์วิจารณ์ เหมือนว่าไม่ได้อ่าน
ใกล้ตกผลึกทำประชามติหรือไม่
“คนที่จะมาเป็นรัฐบาล หรือคิดจะมาเป็นรัฐบาลขอให้ช่วยอ่านหน่อย พวกผมไม่ได้เป็นแล้ว อีกหน่อยก็ถอยออกไป เขาจะให้กลับมาใหม่หรือไม่ก็ไม่รู้ แต่คนที่จะเข้ามารับภาระประเทศสมควรต้องอ่าน คิดให้ดีนะว่าเป็นอุปสรรคต่อการทำงานหรือไม่ หรือเข้าใจหรือเปล่า ถ้ามีปัญหาก็บอก กมธ.ยกร่างฯในตอนนี้เลย ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาอีกว่า คนร่างไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ร่าง ถ้าอ่านไม่หมดเดี๋ยวจะมีปัญหาตามมาอีกว่า ไม่รู้ ไม่เห็นบอก ฉะนั้นควรอ่านให้หมด” นายวิษณุ กล่าว
เมื่อถามว่า ถ้ายังเห็นไม่ตรงกันมีแนวโน้มจะทำประชามติใช่หรือไม่ เพื่อให้เกิดความกระจ่าง นายวิษณุ กล่าวว่า ก็รับทราบไว้ อย่างไรก็ดีใกล้เวลาที่จะรู้แล้วว่า จะต้องทำประชามติหรือไม่
กกต.หนุนทำเพราะเป็นเรื่องใหญ่
ขณะที่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้รัฐบาลทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า หากรัฐบาลจะให้ทำประชามติก็ต้องส่งเรื่องมายังกกต.และกำหนดวันทำประชามติ อย่างน้อยต้องมีเวลา 90วัน ส่วนงบประมาณก็เท่ากับการจัดการเลือกตั้งอาจอยู่ประมาณ 3,000ล้านบาทเศษ เมื่อถามว่า เห็นด้วยที่จะทำประชามติ นายสมชัย กล่าวว่าการทำประชามติ คือ การถามคำถามกับประชาชนในเรื่องเรื่องสำคัญของประเทศ ซึ่งรัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสำคัญของประเทศ โดยหลักการเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่พอที่จะทำประชามติได้
กลุ่ม Thailand 58 ยื่นค้านรธน.
นายอัครกฤษ นุ่นจันทร์ ประธานกลุ่มเสรีชนThailand 58 เข้ายื่นหนังสือต่อประธานกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ขอให้ทบทวนกรณีให้คนนอกมาเป็นนายกฯและสว.มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม โดยมี นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษก กมธ.ยกร่างฯเป็นผู้รับหนังสือซึ่งระบุว่า การเปิดโอกาสให้คนนอกที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนมาดำรงตำแหน่งนายกฯและสว.ที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมนั้น ทางกลุ่มเล็งเห็นถึงผลเสีย เนื่องจากบุคคลดังกล่าวไม่ได้สัมผัสปัญหาต่างๆ
ด้าน นายคำนูณ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐธรรมนูญเป็นเพียงร่างแรก ซึ่งต้องรับฟังความเห็นและคำขอแก้ไขรัฐธรรมนูญจาก สปช.,ครม.และคสช.รวมถึงจะนำความคิดเห็นจากประชาชนมาประกอบการพิจารณาใน 60วันสุดท้ายของการร่างรัฐธรรมนูญ คือช่วงวันที่ 25 พฤษภาคม-23กรกฎาคม
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด