สนช. แถลงผลงาน 1 ปี ผ่านกฎหมาย 143 ฉบับ ยืนยันไร้การแทรกแซงจากทหาร
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) สรุปผลงานครบรอบ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.57 - 7 ส.ค.58 โดยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. กล่าวว่า ผล งาน 1 ปีที่ผ่านมาถือเป็นที่น่าพอใจ ด้านการพิจารณากฎหมาย มีกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสนช.จำนวนทั้งสิ้น 143 ฉบับ ซึ่งการดำเนินการด้านกฎหมายส่วนใหญ่เป็นกฎหมายที่รัฐบาลเสนอมา เกี่ยวกับกฎหมายบริหารราชการแผ่นดิน และกฎหมายที่เป็นนโยบายของรัฐบาล รวมถึงกฎหมายที่เป็น พันธกรณีกับต่างประเทศ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และกฎหมาย ด้านการค้ามนุษย์ เป็นต้น
การทำงานของ สนช.ไม่ใช่เป็นตราประทับ การทำงานไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่แค่เห็นชอบกฎหมาย มี กมธ.วิสามัญกิจการที่คอยประสานงานกับรัฐบาล เพื่อพิจารณากฎหมายให้เป็นประโยชน์ จะต้องชอบ ด้วยหลักกฎหมายและเป็นประโยชน์ โดยใช้หลักพิจารณากฎหมาย คือ หลักนิติธรรม และสนช.ทราบดี ว่าไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ต้องทำกฎหมายเพื่อประโยชน์ให้กับประชาชน
อย่างไรก็ดี รัฐบาลไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงในการพิจารณากฎหมาย ในการร่างรัฐธรรมนูญทุกครั้งจะต้องมีการบัญญัติกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ แต่ในเมื่อร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านความ เห็นชอบของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ก็ต้องชะลออกไปก่อน
นอกจากนี้ ยืนยันว่า สนช.ทำงานที่ผ่านมามีอิสระและตั้งใจเต็มที่ แม้จะถูกมองว่าสนช.ส่วนใหญ่มาจากทหาร และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง ไม่ได้ทำงานเพื่อสนองนโยบายใคร ไม่ได้มีใครทำตามคำสั่งเพราะนายทหารที่อยู่ในสนช.ส่วนใหญ่เกษียณอายุราชการแล้ว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
'เปา'ฮืออีก ยื่น 2 พันชื่อค้านรธน. นศ.บุกจุดเทียน จี้ปล่อยสาวนปช. 'เทียนฉาย'วาก! ไม่ใช่หน้าที่สปช. ชง'บ.แห่งชาติ'
ผู้พิพากษากว่าครึ่งประเทศ 2 พันคนลงชื่อ ค้านร่างรธน.รอบ 2 นัดแถลงวันนี้ยื่นผ่าน สนง.ศาลยุติธรรม แย้งประเด็นอุทธรณ์คำสั่งก.ต. ให้ร้องศาลปกครองได้ ชี้แทรกแซงอำนาจตุลาการ นักศึกษาบุกจุดเทียนหน้าเรือนจำ จี้ปล่อยตัวสาวนปช. ที่แชร์โพสต์หมิ่น 'บิ๊กตู่'ทนายยื่นศาลทหารขอประกันตัวออกมาสู้คดี น.ศ.ที่ถูกจับหน้าหอศิลป์ฯ ยันถูกเจ้าหน้าที่ใช้ไฟฟ้าชอร์ตจริง 'บิ๊กโด่ง'เตือนน.ศ.อย่าทำผิดซ้ำอีก ศาลอาจไม่เมตตาแล้ว ชี้ถูกล่อเป็นเป้ามีชื่อนายกฯ คนกลาง ลั่นไม่เคยคิด 'เทียนฉาย' ฉุนคนปูดข่าวทำประชามติตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ย้ำไม่ใช่หน้าที่สปช. 'อลงกรณ์' ยอมรับสปช.วงเล็กเคยคุยกัน ให้ 2 พรรคเสียงข้างมากเป็นแกนตั้งรัฐบาลหรือ 'แกรนด์คอลิชั่น' เผย 'กฤษฎา-ฉัตรชัย' มีชื่อชิงปลัดมท. กฎหมายป.ป.ช.มีผลใช้แล้ว จนท.ทุจริตโทษหนักถึงประหารชีวิต
วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 8993 ข่าวสดรายวัน
จี้ปล่อย - กลุ่มเมล็ดพริก ประชาชน องค์กรสตรี ร่วมชูป้ายจุดเทียนเรียกร้องให้ปล่อยตัว "รินดา พรศิริพิทักษ์" ผู้ต้องหา คดีโพสต์ กล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่หน้าเรือนจำกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 ก.ค.
บิ๊กโด่งมึนถูกดัน"นายกฯคนกลาง"
เมื่อวันที่ 12 ก.ค. พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมและผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกระแสข่าวถูกเสนอให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนกลางของรัฐบาลแห่งชาติ ในช่วงมีการเปลี่ยนผ่านอำนาจระหว่างรัฐบาล คสช.ไปสู่รัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจาการเลือกตั้งว่า มันเป็นเรื่องแปลก ทำไมต้องมาเกี่ยวพันกับตนด้วย และไม่ทราบว่าข่าวนี้ออกมาได้อย่างไร ใครก็ไม่รู้ เพราะตนไม่ได้เข้าไปสัมผัสกับสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เขาจะคิดเห็นกันอย่างไรก็ว่ากันไป แต่เราไม่ได้ลงไปคลุกคลีตรงนั้นมากนัก ส่วนตัวเห็นว่ารัฐบาลปัจจุบันได้ดำเนินงานบนความตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้ปัญหาของชาติ ถ้าใครมีความยุติธรรมในใจ จะรู้ว่ารัฐบาลมีความตั้งใจเต็มที่ ซึ่งตนก็อยู่ในครม.ด้วยก็ต้องร่วมกันแก้ปัญหากับนายกฯ
พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ตนไม่คิดไปเป็นอะไรหรือเห็นไปตามรัฐบาลแห่งชาติ และตนไม่เคยคิดเห็นอะไรกับเขาด้วย แต่ทำไมออกมาอย่างนี้ ตนก็ไม่เข้าใจ ยืนยันว่าตนจะต้องร่วมแก้ปัญหากับนายกฯเต็มที่ เมื่อพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ใช้หรือสั่งการมาก็พร้อมปฏิบัติอยู่แล้ว ภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ตนพร้อมสนองตอบการสั่งการอย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาทุกเรื่อง
หวั่นถูกล่อเป้า-ย้ำไม่เคยคิด
"ไม่รู้ว่า เขาเห็นเราเป็นเป้าหมายอะไร สงสัยว่าทำไมถึงต้องเป็นผม ผมทำงานตามหน้าที่อย่างเต็มที่ ส่วนตัวไม่เคยคิดจะเป็น นายกฯคนกลางอย่างที่เป็นข่าว ทุกวันนี้ตั้งใจทำงานเต็มที่ ไม่เคยคิดเพราะสิ่งเหล่านี้ต้องมีความเหมาะสมจริงๆ และพล.อ.ประยุทธ์มีความเหมาะสม มีความรู้ความสามารถจริงๆ เป็นคนที่มีบารมีเพียบพร้อม สามารถดูแลสถานการณ์อยู่ได้ ผมเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ช่วยนายกฯ เท่านั้นเอง" พล.อ.อุดมเดชกล่าว
รมช.กลาโหม กล่าวว่า ส่วนสถานการณ์การเมืองขณะนี้ รัฐบาลยังดูแลได้ด้วยดี ต้องอาศัยความเข้าใจของทุกคนทุกฝ่ายร่วมมือกัน อะไรที่จะทำให้เกิดปัญหา ก็อย่าไปสนับสนุน อย่างกรณีนักศึกษา ซึ่งตนไม่อยากพูดอีกแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าเมื่อนักศึกษาออกมาจากการควบคุมแล้ว จะมีเจตนารมณ์ทำอะไรต่อหรือไม่ ทางเราต้องพยายามทำความเข้าใจให้มากขึ้น เขาจะไม่ฟังหรือไม่อย่างไรก็ตาม แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและคสช.ต้องประคับประคองทำความเข้าใจเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเดินต่อไปได้
เตือนนศ.อย่าทำผิดซ้ำ
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า แต่ที่แน่ๆ เราจะไม่ยอมให้ประเทศเกิดปัญหาความไม่สงบอีก เพราะมันจะหยุดชะงักในการบริหารประเทศ เราต้องคุมสถานการณ์ไว้ ตามความจริงถ้ายังทำความผิดอีกก็ต้องอยู่ในส่วนของการดำเนินคดี เมื่อทำผิดก็ต้องรับโทษ เพราะที่ผ่านมาถือเป็นความเมตตาของศาล คดีความต่างๆ ก็ต้องดำเนินการต่อไปเพราะเป็นเยาวชน ศาลจึงมีความเมตตา ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก หรือถ้ามีอีก ก็จะเป็นความผิดซ้ำสองเพราะถือว่า มีเจตนา ต่อไปศาลอาจไม่เมตตา ถือเป็น เรื่องของกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ตนขอขอบคุณผู้ใหญ่ที่ไม่ให้การสนับสนุน ส่วน ผู้ที่สนับสนุนออกตัวในสิ่งไม่ถูกต้อง ขอให้หยุดเสียที
เมื่อถามว่า กลุ่มนักศึกษาเป็นพลังบริสุทธิ์ที่คสช.และฝ่ายความมั่นคงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า เมื่อเขาเป็นเยาวชน เราต้องระมัดระวังเพราะไม่เหมือนกับกลุ่มทั่วไปที่ออกมาเคลื่อนไหว เราต้องดูแลเป็นพิเศษอยู่แล้ว แต่ต้องไม่ออกมาเคลื่อนไหวทำให้ประเทศไม่สามารถเดินต่อไปได้
เทียนฉายฉุน"ใคร"ปูดรบ.แห่งชาติ
นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) กล่าวถึงกระแสข่าวสมาชิกสปช.จะเสนอคำถามประชามติให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติและนายกฯคนกลางว่า เคยได้ยินว่าน.พ.ประเวศ วะสี เป็นผู้เสนอ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ไม่เคยได้ยินว่า สมาชิกสปช.เป็นผู้เสนอ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวไม่ใช่หน้าที่ของสปช. หน้าที่ของสปช.คือวางแนวทางการปฏิรูปประเทศ และตนอยากทราบเหมือนกันว่าสมาชิกสปช.คนไหนเป็นผู้เสนอ ส่วนการเสนอหัวข้อประชามติก็ยังไม่ได้หารือกัน เพราะการทำประชามติเป็นไปตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 แต่ยังไม่ได้ประกาศใช้ ขณะที่การตั้งชมรมสปช. เพื่อติดตามการปฏิรูปประเทศ ก็ยังไม่ได้พูดคุยกัน เนื่องจากยังไม่ถึงเวลา
"เสรี"ก็ไม่เอาด้วย-ชี้ต้องคืนปชต.
ด้านนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานกรรมาธิการ(กมธ.) ปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมกล่าวว่า ไม่เคยได้ยินว่าสมาชิกสปช.จะเป็นผู้เสนอทำประชามติให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติและนายกตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง รวมทั้งบทบัญญัติบางมาตราที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ และทบทวนเนื้อหาสาระทั้งหมดให้เกิดความรอบคอบอีกครั้งหนึ่ง จึงคาดว่ากระบวนการทุกอย่างน่าจะดำเนินการได้เสร็จในช่วงการประชุมนอกสถานที่ในครั้งนี้
นายคำนูณ กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่คณะ ผู้พิพากษาทำหนังสือคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญในหมวดศาลยุติธรรมนั้น ยืนยันว่าเราจะนำความเห็นที่แต่ละฝ่ายเสนอมาประกอบการพิจารณา เราไม่กังวล เนื่องจากเราทำหน้าที่และตัดสินใจด้วยความรอบคอบ อีกทั้งประเด็นนี้กมธ.ยกร่างฯ ได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณาในชั้นรายประเด็นแล้ว โดยมีความเห็นร่วมกันว่าก็คงไว้ตามเดิม จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ทั้งนี้ หากดูจากมาตรา คาดว่าประเด็นนี้จะเข้าสู่การพิจารณาของกมธ. ยกร่างฯในวันที่ 13 ก.ค.นี้
ผู้พิพากษาต้านอุทธรณ์คำสั่งก.ต.
นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา เปิดเผยว่า ขณะนี้ทราบว่ากมธ. ยกร่างฯได้ยกเลิกร่างรัฐธรรมนูญในประเด็นสัดส่วนบุคคลภายนอก 1 ใน 3 ของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เรียบร้อยแล้ว แต่ทราบว่ากมธ.ยกร่างฯซึ่งจะพิจารณาหมวดศาลในวันที่ 13 ก.ค. ยังมีแนวคิดที่จะให้ผู้พิพากษาที่ถูกลงโทษทางวินัยมีสิทธิอุทธรณ์มติของก.ต.ได้อยู่ รวมทั้งอาจจะยังมีการซ่อนปมไว้ โดยยังไม่มีข้อสรุปว่าจะให้อุทธรณ์คำสั่งไปยังหน่วยงานใด ซึ่งตนได้ยินมาว่าอาจให้อุทธรณ์มติของ ก.ต.ไปยังศาลปกครองได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง เท่ากับทำลายโครงสร้าง ทำให้ระบบของศาลยุติธรรม ล้มเหลว ไม่สามารถปกครองและคุ้มครองหรือลงโทษผู้พิพากษาซึ่งกระทำผิดวินัยได้ จะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน เพราะมีการแทรกแซงอำนาจตุลาการ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตยของประเทศ และอาจทำให้อำนาจการพิจารณาของศาลปกครอง มีอำนาจเหนือกว่า ก.ต. ซึ่งเป็นองค์กรบริหารงานบุคคลสูงสุดของศาลยุติธรรม และยังเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
ลงชื่อกว่า 2 พันยื่นค้านรธน.รอบ 2
นายศรีอัมพรกล่าวอีกว่า การให้สิทธิผู้พิพากษาที่ถูกลงโทษทางวินัย มีสิทธิอุทธรณ์การลงโทษทางวินัยได้นั้น แม้จะเป็นประโยชน์ แก่ผู้พิพากษาที่ถูกลงโทษทางวินัย แต่อาจใช้วิธีแก้ในหลักการที่ว่าให้ผู้ที่ถูกลงโทษทางวินัยยังมีสิทธิร้องขอให้ ก.ต. ทบทวนพิจารณาบทลงโทษทางวินัยได้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยในวันที่ 13 ก.ค. ตนและนายสมชาติ ธัญญาวินิชกุล ผู้พิพากษาศาลฎีกา จะนำรายชื่อผู้พิพากษาที่ร่วมคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญรวม 2,079 คน พร้อมจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 2 ส่งผ่านสำนักงานศาลยุติธรรม ไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกต่อไป โดยจะแถลงอย่างเป็นทางการที่ศาลฎีกา ถนนแจ้งวัฒนะ ในวันที่ 13 ก.ค. เวลา 12.00 น.
นายศรีอัมพร กล่าวต่อว่า ผู้พิพากษาที่ร่วมลงชื่อคัดค้านในครั้งนี้กว่า 2 พันคนนั้น ประกอบด้วยผู้พิพากษาที่รับราชการในศาลฎีกา 209 คน ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 512 คน เเละศาลชั้นต้น 1,358 คน โดยจะยังทยอยส่งรายชื่อผู้พิพากษาที่ร่วมคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญมาเพิ่มอีกมาก เฉพาะรายชื่อขณะนี้ ถือเป็นอัตราส่วนเกือบ 1 ใน 2 ของจำนวนผู้พิพากษาทั่วประเทศที่มีกว่า 4,000 คนแล้ว
ซัดคนเสนอทำปฏิรูปเสียของ
นายศรีอัมพร กล่าวว่า แนวคิดร่างรัฐธรรมนูญในประเด็นดังกล่าว มาจาก กมธ.ยกร่างฯ 3 คนประกอบด้วย นายบรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการปฏิรูปกฎหมาย นายจรูญ อินทจาร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ และอดีตตุลาการศาลปกครองคนหนึ่งที่ไม่ขอเอ่ยนาม ตนไม่อยากเชื่อว่านายจรูญ ซึ่งเคยเป็นอดีต ผู้พิพากษาศาลยุติธรรมมาก่อนจะมีแนวคิดแบบนี้ เพราะขนาดนายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี ซึ่งเป็นอดีตผู้พิพากษายังทำหนังสือถึงนายกฯ คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ด้วย
"ผมมองว่าแนวคิดดังกล่าวกระทบการเมืองการปกครองของประเทศ ไม่รู้ว่าเป็นการหวังดีหรือประสงค์ร้ายกันแน่ และ นี่อาจจะเป็นการปฏิรูปที่ทำให้เสียของ" นายศรีอัมพรกล่าว
ชี้ผู้นำปท.ต้องมีธรรมาภิบาล
ที่โรงแรมริเวอร์ไซด์ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯและปลัดสำนัก นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอเรื่องรัฐบาลแห่งชาติของนพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโสว่า เรื่องนี้ต้องนิยามองค์ประกอบต่างๆ ให้ได้ก่อนว่าการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ มีความหมายอย่างไรและจะประกอบด้วยใครบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอของใครหรือจะเดินไปตามโรดแม็ปของรัฐบาล สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณสม บัติของตัวบุคคลที่จะเข้ามาบริหารประเทศ จะต้องมีคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาล เพราะปัญหาของบ้านเมืองที่ผ่านมาเกิดจากตัวบุคลากร ซึ่งการดำเนินการต่อจากนี้เพื่อแก้ปัญหาให้ประเทศ ทุกอย่างต้องรอบคอบ
โพสต์ได้แต่ห้ามสร้างแตกแยก
ผู้สื่อข่าวถามถึงการจับกุมมือโพสต์เฟซบุ๊กที่ว่านายกฯโอนเงินไปสิงคโปร์ 1 หมื่นล้านบาท ม.ล.ปนัดดากล่าวว่า ตนไม่ขอวิจารณ์ถึงบทลงโทษในกระบวนการยุติธรรมว่ารุนแรงเกินไปหรือไม่ แต่มองว่าการจะโพสต์หรือแชร์ข้อมูลใดๆ ในโซเชี่ยลมีเดีย ต้องคำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม ความรักความสามัคคีของคนในชาติ อะไรที่ทำให้เกิดความแตกแยกก็ไม่ควรโพสต์
ม.มหาสารคามนัดเคลียร์ปมขัดแย้ง
นายวิรัติ ปานศิลา ประธานสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เผยว่า ในวันที่ 13 ก.ค. เวลา 10.30 น. ได้นัดตัวแทนอาจารย์จากวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กรณีมีการออกแถลงการณ์ตอบโต้กันไปมา ระหว่างกลุ่มที่เห็นด้วยและเห็นต่างกับแนวทางของ คสช. เพื่อทำความเข้าใจกันระหว่าง 2 ฝ่าย และไม่ให้เรื่องบานปลาย เนื่องจากอยู่ในสถาบันเดียวกัน โดยนัดที่วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งแนวโน้มเป็นการพูดคุยปรับความเข้าใจกันตามปกติ และเปลี่ยนความคิด เปิดเผยจริงใจ ตรงไปตรงมา ไม่ได้สร้างความขัดแย้ง ถึงแม้อาจจะมีอาจารย์บางคนที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร ประเด็นไหนที่ไม่ลงตัวก็ต้องมาหาทางออกร่วมกัน ซึ่งตนพร้อมเจอกับทุกฝ่าย ไม่มีประเด็นแอบแฝง แต่ขอความร่วมมือเรื่องของความเคลื่อนไหวในการใช้ชื่อมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ควร แต่หากจะเคลื่อนไหวโดยไปในนามบุคคล ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ห้ามกันไม่ได้ ส่วนการพูดคุยจะออกมาในรูปแบบใด คงจะทราบในวันที่ 13 ก.ค.
น.ศ.ยันจนท.ใช้ไฟฟ้าชอร์ต
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ห้องสมุดสันติประชาธรรม สวนเงินมีมา เขตคลองสาน มีการจัดเสวนาเรื่อง "เบื้องหน้าเบื้องหลัง 22 พ.ค. จับนักศึกษา ประชาชน 38 คน" โดยนายกันต์ แสงทอง หนึ่งใน 38 คนที่ถูกจับในการชุมนุมต่อต้านรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. เล่าเหตุการณ์ว่า ตนมาร่วมสังเกตการณ์การจัดกิจกรรมของนักศึกษา ที่บริเวณหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร โดยมีเหตุชุลมุนเกิดขึ้น กระทั่งถูกจับกุมและนำไปขังที่ สน.ปทุมวัน
นายกันต์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มี การเจรจา ภายหลังการจับกุมตัวและปล่อยตัวนักศึกษา โดยขอให้นักศึกษายุติการเคลื่อน ไหวในช่วงนั้น โดยจะต้องเซ็นรับรองในสำเนาบัตรประชาชนว่าจะไม่เคลื่อนไหว ซึ่งตนและกลุ่มเพื่อนได้ใช้มือซ้ายเซ็นรับรอง ยืนยันว่ากลุ่มนักศึกษาที่ชุมนุมนั้นถูก เจ้าหน้าที่ใช้กำลังปะทะ ทำให้บาดเจ็บหลายราย รวมถึงการชอร์ตไฟฟ้าเป็นเรื่องจริง แม้เจ้าหน้าที่จะอ้างว่าเป็นเหตุเรื่องไฟฟ้ารั่วก็ตาม ซึ่งตนโชคดีไม่โดน
ขอบคุณ"ปริญญา"ช่วยดูแล
นายกันต์กล่าวว่า ตนเห็นว่าการจับกุมที่เกิดขึ้นครั้งนั้นแสดงถึงความงี่เง่า ทั้งที่เหตุการณ์ชุมนุมสงบอยู่ดีๆ แต่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมของผู้ใช้อำนาจรัฐ คนตัวเล็กตัวน้อยจะโดนรังแก เพราะไม่มีอำนาจไปต่อรอง อย่างกลุ่มดาวดินอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น โดนอำนาจรัฐเล่นงานหนักกว่ากลุ่มตน ซึ่งถือเป็นความไม่เป็นธรรมจากรัฐ ขณะที่พวกเราโชคดียังมีสื่อช่วยจับตามองจึงปลอดภัย ไม่ถูกกระทืบ นับว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อพวกตนสุภาพมาก
นายภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์ 1 ใน 38 คนที่ถูกจับกุมตัว เล่าถึงเหตุการณ์ในห้องกุมขัง ที่สน.ปทุมวันว่า ช่วงนั้นตนรู้สึกเครียด เพราะตนมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจและโรคซึมเศร้า ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ให้ความสนใจตนแต่อย่างใด ขณะที่น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือน้องลูกเกด นักศึกษาหญิงที่ถูกจับกุมก็มีโรคประจำตัว และแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าไม่สบาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าจะพาตัวลูกเกดไปโรงพยาบาล แต่ได้นำตัวลูกเกดไปห้องสอบสวนแทน ก่อนพาตัวมาที่ห้องคุมขัง อย่างไรก็ตาม มีนายปริญญา เทวานฤมิตร รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คอยให้การช่วยเหลือกลุ่มนักศึกษาอยู่ตลอดช่วงที่นักศึกษาถูกคุมขัง
น.ศ.จุดเทียนจี้ปล่อยตัว"รินดา"
เมื่อเวลา 18.00 น. ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิป ไตย ประมาณ 30 คน จัดกิจกรรมจุดเทียนเพื่อเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐปล่อยตัวนาง รินดา ปฤชาบุตร อายุ 44 ปี ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมภายหลังโพสต์ส่งข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. และนางนราพร ภริยา นำเงินหมื่นล้านบาทไปฝากธนาคารในสิงคโปร์ และมีการเผยแพร่ส่งข้อความ ดังกล่าวตามสื่อออนไลน์
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ระหว่างที่รอกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาหยิบลำโพงออก ทำให้เกิดเหตุชุลมุนเล็กน้อย กระทั่งกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีฯ มาร่วมกิจกรรมเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30 คน ขณะเดียวกัน มีประชาชนทยอยมาทำกิจกรรมชูป้ายแสดงเจตนารมณ์ มีข้อความ Free รินดา, ปล่อยแม่กลับไปกอดลูก, ปล่อยประชาชน, ปล่อยนักโทษการเมือง ทั้งนี้ หลังทำกิจกรรมจุดเทียน กลุ่มนักศึกษาได้ตะโกนว่าเราคือเพื่อนกัน เราไม่ทิ้งกัน ก่อนจะแยกย้ายกลับ โดยนัดจุดเทียนเรียกร้องอีกครั้งในวันที่ 13 ก.ค. เวลา 20.00 น. ที่หน้าเรือนจำฯ
ปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน
น.ส.เสาวลักษณ์ โพธิ์งาม ตัวแทนกลุ่มเมล็ดพริก อ่านแถลงการณ์ว่า รัฐบาลไทยมีแผนการประชาสัมพันธ์เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกไม่ถาวรของยูเอ็นเอสซี และได้บอกต่อสาธารณชนว่า การใช้กฎหมายในไทยไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและได้ปฏิบัติถูกต้องตามหลักกฎหมาย แต่ความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก กรณีนางรินดาเป็นตัวอย่างหนึ่งของการบังคับใช้กฎหมายที่บิดเบี้ยวของเจ้าหน้าที่รัฐ ยัดเยียดข้อกล่าวหาที่หนักเกินความเป็นจริง และไม่ได้รับสิทธิประกันตัว ขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐยกเลิกข้อกล่าวหานางรินดาอย่างไม่มีเงื่อนไข หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้สิทธิประกันตัว และตั้งข้อหาที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้แล้วการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมทำให้ปัญหาของช่องว่างในกระบวนการยุติธรรมที่ถ่างขึ้นเรื่อยๆ
ตัวแทนกลุ่มเมล็ดพริกกล่าวว่า จากเหตุการ์ที่เกิดขึ้นกับนางรินดาและคนอื่นๆ เราขอประกาศเจตนารมณ์ต่อสังคมว่า 1.รัฐจะต้องคืนความยุติธรรมให้กับนักโทษทางการเมืองทุกคน 2.นายกฯจะต้องออกจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบต่อการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
นายทรงธรรม แก้วพันพฤกษ์ ตัวแทนกลุ่มศนปท. เอ็นดีเอ็ม กล่าวว่า ในนามตัวแทน ขอแถลงการณ์เรียกร้องเน้นย้ำเราคือเพื่อน กันมิตรภาพเกิดจากการมาแสดงจุดยืน เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นใคร โดนอำนาจความ อยุติธรรมทำร้าย เราคือเพื่อนกัน ขอให้สิทธิ์การประชาชน เป็นสิทธิ์ทำให้เราได้สู้คดี ตราบใดที่ควรได้รับสิทธิ์ให้เขาประกันตัว เขาเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่สามารถทำลายความมั่นคงของชาติได้
ทนายยื่นศาลทหารขอประกันตัว
นายนิทัศน์ ประเสริฐเนติกุล ทนายกลุ่มนักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพกล่าวว่า ในนามของทนาย จะขอเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้นางรินดา เพราะครอบครัวนางรินดาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และการที่นางรินดาโพสต์ข้อความนั้น เพราะนายกฯคือบุคคลสาธารณะที่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ แต่กลายเป็นเรื่องบานปลาย ทั้งนี้ เวลา 09.00 น. ของวันที่ 13 ก.ค. กลุ่มทนายจะเข้ายื่นหนังสือขอให้ศาลทหารพิจารณาประกันตัวให้นางรินดาได้
ยันมีสิทธิออกมาสู้คดี
นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว กล่าวว่าการไม่ให้ประกันตัวเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม ขอเรียกร้องให้ปล่อยตัวนางรินดาอย่างเร็วที่สุด ขอเรียกร้องให้คืนแม่แก่ลูก
นายอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า เวลานี้เราจะออกมายืนยันว่าพลเมืองจะไม่ขึ้นศาลทหาร กฎหมายจากเผด็จการจะไม่ถูกบังคับใช้ นางรินดาควรมีโอกาสออกมาต่อสู้คดีและดูแลลูกๆ
ด้านนายทรงธรรม แก้วพรรณพฤกษ์ นักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่กล่าวว่า การเป็นรัฐต้องสามารถรับคำวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนได้ ขอเรียกร้องให้นางรินดาได้ประกันตัว เขาไม่ใช่ภัยความมั่นคง เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายเท่ากับการรัฐประหาร
"อ๋อย"ห่วงเชิญนักการเมืองผิดหัวข้อ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการเชิญนักการเมืองไปออกทีวีว่า ถือว่าเป็นประโยชน์ แต่ยังไม่มาก เนื่องจากตั้งหัวข้อผิดคือ "เดินหน้าปฏิรูป" ซึ่งผู้ที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตยจะเห็นว่าการปฏิรูปใหญ่ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนไม่อาจเกิดขึ้นได้ภายใต้การปกครองระบอบที่ไม่เป็นประชาธิป ไตย ความเข้าใจจึงต่างกันโดยพื้นฐาน การที่ตนไปร่วมรายการเพื่อจะสื่อสารประเด็นนี้ด้วย หากต้องการให้หลายๆ ฝ่ายไปออกทีวีให้เป็นประโยชน์จริง ควรเลือกหัวข้อที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้ เช่น การแก้ปัญหาสำคัญของบ้านเมือง ความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญและการลงประชามติ การคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน การแก้ปัญหาความขัดแย้งและการสร้างความปรองดอง
ตั้ง 5 คำถามถึงคสช.
จากนั้นนายจาตุรนต์โพสต์เฟซบุ๊กเรื่องความสงบที่ไม่ยั่งยืนว่า การปกครองแบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในปัจจุบันนี้มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากประชาชนไม่มีส่วนร่วมและถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ จึงไม่เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ ถ้าวิเคราะห์กันดีๆ หากแม่น้ำ 5 สายยังไหลไปเรื่อยๆ แบบทุกวันนี้ ในอนาคตสังคมไทยอาจพบกับความขัดแย้งวุ่นวายยิ่งกว่าก่อนรัฐประหารก็ได้ ซึ่งความสงบในปัจจุบันนี้ไม่ใช่ความสงบที่แท้จริงและไม่ใช่ความสงบที่ยั่งยืน เนื่องจาก 1.จนถึงบัดนี้สังคมไทยโดยเฉพาะผู้มีอำนาจและผู้เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหา ยังไม่ได้ร่วมกันวิเคราะห์หรือเปิดให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับต้นเหตุความขัดแย้ง เพื่อสรุปบทเรียนและหาทางป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงอย่างในอดีตขึ้นอีก
2.ยังไม่มีการค้นหาสาเหตุและแนวทางแก้ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลก่อนรัฐประหาร 3.การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จจัดการกับปัญหาต่างๆ และบริหารบ้านเมือง โดยไม่เปิดให้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนรวมจากประชาชนฝ่ายต่างๆ กำลังสะสมปัญหาขัดแย้งที่อาจปะทุขึ้นเมื่อใดก็ได้ และยากแก่การแก้ไขในอนาคต
ชี้ความสงบตอนนี้ไม่ใช่ของจริง
4.การร่างรัฐธรรมนูญและการวางแผนปฏิรูปกำลังสร้างเงื่อนไขนำไปสู่ความขัดแย้งมากขึ้นในอนาคต ทั้งนี้เมื่อร่างรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับแล้วจะไม่สามารถแก้ไขได้อีก เป็นไปได้สูงที่จะเกิดวิกฤตร้ายแรงขึ้นได้ 5.ยังไม่มีการชำระล้างค่านิยมความเชื่อผิดๆ ที่ว่า "หากมีความขัดแย้งรุนแรงขึ้น รัฐบาลต้องรับผิดชอบ" และ "หากรัฐบาลไม่สามารถรักษากฎหมายให้เป็นกฎหมาย ก็ชอบแล้วที่จะต้องมีการรัฐประหารเกิดขึ้น"
นายจาตุรนต์ระบุว่า ทั้ง 5 ข้อจะเห็นว่าความสงบที่คนพึงพอใจอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ความสงบที่แท้จริงและไม่ใช่ความสงบที่ยั่งยืน นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สังคมไทยต้องการและรอคอย หากต้องการให้เกิดความสงบที่ยั่งยืนจริง ก็จำเป็นต้องส่งเสริมให้ทุกฝ่ายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้อย่างเต็มที่เพื่อหาทางออกร่วมกันต่อไป คำถามคือต่อจากนี้ประเทศไทยจะเกิดความสงบที่ยั่งยืนได้อย่างไร
เผยปชช.ยังเชื่อมั่นตัวนายกฯ
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการแก้ปัญหาภัยแล้ง การประท้วงของนักศึกษา ข้าวของแพง เศรษฐกิจตกต่ำ และปัญหาอื่นๆ โดยสอบถามกลุ่มตัวอย่าง 1,339 คน วันที่ 6-11 ก.ค. พบว่าร้อยละ 59.90 เชื่อมั่นในตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และเห็นว่าการบริหารบ้านเมืองเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เวลา แต่ที่ผ่านมามีหลายเรื่องดีขึ้น บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นไปตามโรดแม็ป ร้อยละ 24.02 เชื่อมั่นมากขึ้น เพราะทั้งนายกฯและรัฐบาลมุ่งมั่นตั้งใจ พยายามแก้ปัญหาต่างๆ ให้ดีขึ้น รัฐบาลเข้มแข็ง มีประสบการณ์มากขึ้น เป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลได้พิสูจน์ความสามารถและผลงานสู่ประชาชน
ส่วนการแก้ปัญหานั้น ร้อยละ 73.41 เห็นว่ารัฐบาลต้องจัดลำดับความสำคัญ และเร่งเดินหน้า ร้อยละ 68.78 รัฐต้องทำงานด้วยความจริงใจ ตรงไปตรงมา ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ร้อยละ 66.17 ขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายแก้ปัญหาและเสริมสร้างความสามัคคี
]
แนะบิ๊กตู่อดทน-ใช้สติ
ร้อยละ 82.97 อยากให้นายกฯ มีสติ ใจเย็น อดทน ไม่หลงไปตามกระแสสังคมหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ร้อยละ 81.25 ขอให้นายกฯ ยึดมั่นในความถูกต้อง ยุติธรรม ปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นประชาธิปไตย และร้อยละ 77.60 เห็นว่าต้องรับฟังและพูดคุย ชี้แจงให้ประชาชนรู้และเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เผชิญอยู่
ส่วนความร่วมมือของประชาชนในการแก้ปัญหานั้น ร้อยละ 82 เห็นว่าต้องเป็นพลเมืองดี ปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้กับสังคม ร้อยละ 78.34 ร่วมมือกับภาครัฐ ให้ความช่วยเหลือตามกำลังและความสามารถ
ค้านน.ศ.เคลื่อนไหวต้านรบ.-คสช.
นิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์(นิด้า) เผยผลสำรวจเรื่อง "ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ ในปัจจุบัน" จากประชาชนทั่วประเทศ 1,257 คน วันที่ 9-11 ก.ค. พบว่าร้อยละ 77.65 ระบุกลุ่มต่างๆ ที่เคลื่อนไหวขณะนี้ ควรเฝ้าติดตามการทำงานของรัฐบาล และคสช.อย่างเดียว เพราะไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองวุ่นวาย อีกทั้งการปฏิรูปต้องใช้เวลา ควรให้โอกาสรัฐบาลทำงานก่อน ร้อยละ 13.45 ระบุว่าควรออกมาสนับสนุน เพราะเห็นด้วยกับการทำงานต้องการเห็นประชาธิปไตยที่ไม่มีการทุจริต พอใจรัฐบาลบริหารประเทศ
ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มนักศึกษา นักวิชาการ องค์กรทางสังคมและการเมือง และพรรคการเมืองนั้น ร้อยละ 68.34 ระบุควรอยู่เฉยๆ เพราะควรให้โอกาสรัฐบาลทำตามแผนที่วางไว้ ไม่ต้องการเห็นกลุ่มคนต่างๆ ออกมาแทรกแซง หรือวุ่นวาย สร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศชาติ ซึ่งขัดกับหลักความปรองดองและการปฏิรูปประเทศ รวมถึงยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ร้อยละ 15.27 ระบุว่าควรออกมาสนับสนุน ชี้แนะถึงแนวทางทำงานและการแก้ปัญหาของประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ และขณะนี้รัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่ในการปฏิรูปประเทศ และร้อยละ 8.59 ระบุว่าควรออกมาต่อต้าน เพราะต้องการเห็นความคิดเห็นที่หลากหลายจากหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ
รูปแบบของการแสดงออกทางการเมืองในกรณีประชาชนไม่เห็นด้วยกับนโยบาย หรือการดำเนินงานของรัฐบาล หรือคสช. ร้อยละ 55.77 ระบุว่าควรแสดงความคิดเห็นถึงรัฐบาล และคสช.ตามช่องทางที่เปิดให้ตามกฎหมาย ร้อยละ 20.68 ระบุว่าควรอยู่เฉยๆ ไม่ต้อง ทำอะไรเลย และร้อยละ 12.97 ระบุว่า ควรจัดเสวนาวิชาการ
สนช.นัดถกคดีสอย 248 อดีตสส.
วันที่ 12 ก.ค. นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกกมธ.วิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิปสนช.) เปิดเผยว่า การประชุมสนช.วันที่ 15-16 ก.ค.นี้ จะพิจารณาวาระการเปิดแถลงสำนวนคดีนัดแรกการถอดถอนอดีตส.ส. 248 คน ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ประกอบมาตรา 64 พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ตามข้อบังคับการประชุมสนช. 2557 ข้อ 149 ซึ่งคาดว่าผู้ถูกกล่าวหาจะมีหนังสือแจ้งให้สนช.ทราบว่า จะมีผู้มาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากี่คน หรือจะส่งผู้แทนมาชี้แจงตามกลุ่มฐานความผิดภายในวันที่ 14 ก.ค.นี้ ซึ่งวิปสนช.จะมีการประชุมเพื่อพิจารณากระบวนการถอดถอนว่าจะมีแนวทางอย่างไร เพราะสนช.เปิดเวลาไว้ถึง 2 วัน เพื่อให้ผู้ถูกกล่าว 248 คนมีโอกาสชี้แจง
ผู้สื่อข่าวรายงานงานว่า สำหรับสำนวนความผิดในคดีถอดถอน 248 อดีตส.ส. แยกตามสำนวนคดีตามฐานความผิด เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 อดีตส.ส. 239 คน ร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มาของส.ว. รวมทั้งพิจารณาและลงมติในวาระ 1, 2 โดยเฉพาะการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 116 ที่มีผลทำให้ส.ว.ที่พ้นวาระแล้วกลับมาลงสมัครได้ทันที และวาระ 3 โดยถือว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
กลุ่มที่ 2 มี 1 คน ลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ พิจารณาและลงมติในวาระ 2 และ 3 ซึ่งป.ป.ช.ชี้มูลความผิดขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 291 อนุ 1 วรรคหนึ่ง และกลุ่มที่ 3 มี 10 คน ร่วมกันลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญพิจารณาและลงมติในวาระ 1 และวาระ 3 โดยถือว่าจงใจใช้อำนาจขัดต่อบัญญัติมาตรา 291 อนุ 1 วรรคหนึ่ง ทั้งนี้ ในกลุ่มที่ 1 มีสมาชิก 2 คน ประกอบด้วยนายทองดี มนิสสาร และนายตุ่น จินตะเวช ได้ถึงแก่กรรม จึงไม่ต้องนำมาพิจารณาตามข้อบังคับ
จนท.รัฐทุจริต-โทษประหารชีวิต
วันที่ 12 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 ลงวันที่ 9 ก.ค. 2558 มีสาระสำคัญ ในมาตรา 13 ให้เพิ่มบทบัญญัติการลงโทษแก่เจ้าหน้าที่รัฐผู้กระทำความผิด ตามมาตรา 123/2 มาตรา 123/3 มาตรา 123/4 มาตรา 123/5 มาตรา 123/6 มาตรา 123/7 และมาตรา 123/8 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
ประเด็นที่สำคัญคือ มาตรา 123/2 บัญญัติว่าผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจําคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาท หรือประหารชีวิต
มาตรา 123/3 บัญญัติว่า ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ กระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง โดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้งในตําแหน่งนั้น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจําคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาท
'กฤษฎา-ฉัตรชัย'เข้าชิงปลัดมท.
วันที่ 12 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงมหาดไทยว่า ภายใน 2 สัปดาห์นี้ จะมีการเสนอชื่อปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่เข้าที่ประชุมครม.แทนนายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ เพื่อไม่ให้ขาดช่วงในขั้นตอนการแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เลื่อนขึ้นจากรองผู้ว่าฯ ที่จะต้องสอบ ส่วนแคนดิเดตขณะนี้มีเพียง 2 คน คือนายกฤษฎา บุญราช อธิบดีกรมการปกครอง (ปค.) ที่มีจุดเด่นในเรื่องอาวุโส ความขยันตั้งใจทำงาน มือสะอาด และมีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน แต่มีข้อด้อยตรงที่ทำงานเติบโตมาจากภูมิภาค ที่สำคัญอาจไม่สามารถฝ่าด่านสิงห์ดำ รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่กุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในกระทรวงไปได้ ส่วนนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) มีจุดเด่นที่เป็นคนหนุ่มไฟแรง มีคอนเน็กชั่นในหลากหลายวงการ และเป็นมือประสานสิบทิศ แต่มีข้อด้อยที่อาวุโสยังน้อย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้จะเสนอรายชื่อรองปลัดกระทรวงและอธิบดี ในครั้งเดียวกัน โดยมีอธิบดีว่างลงจากการเกษียณ คาดว่าจะเสนอนายไมตรี อินทุสุต รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ผู้ว่าฯภูเก็ต เป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ และนายจรินทร์ จักกะพาก รองปลัดกระทรวง อาจขึ้นแท่นในกรมที่ดิน และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
ร.ต.ท.อาทิตย์ บุญญะโสภัต รองปลัดกระทรวง มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะก้าวขึ้น นั่งเป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อย่างไรก็ตาม มีชื่อของนายธนาคม จงจิระ ผู้ว่าฯลพบุรี นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ ผู้ว่าฯพระนครศรีอยุธยา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ผู้ว่าฯชัยนาท นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าฯสระบุรี เข้ามาเป็นรองปลัดกระทรวงหรืออธิบดีด้วย
หมายเหตุ - นายสมบัติ ธํารงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้สัมภาษณ์พิเศษ 'มติชน' ถึงแนวทางการปฏิรูปด้านต่างๆ และข้อห่วงใยในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ
ประเมินการทำงานและความพอใจของ สปช.ที่ผ่านมาในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจะหมดวาระไป
การทำงาน สปช.เป้าหมายชัดเจน 60 วันแรกให้ความเห็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ ช่วงต่อมาเป็นเรื่องวาระการปฏิรูปประเทศ สปช.ก็มีการประชุมวิสัยทัศน์ประเทศทั้งหมด 37 วาระ ซึ่ง กมธ.แต่ละคณะที่เป็นเจ้าของวาระก็ไปดำเนินการ บางวาระเสนอเป็นรายงานการศึกษาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาต่อไป บางวาระก็ยกร่างเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญด้วยเพื่อให้ ครม.ดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ในช่วงดำเนินการพิจารณาวาระทั้ง 37 วาระ ให้เสร็จภายในเดือนสิงหาคม ก่อนหมดอายุของ สปช. ซึ่งในช่วงปลายเดือนสิงหาคม กมธ.ยกร่างฯก็ต้องเสนอร่างรัฐธรรมนูญมาให้ สปช.พิจารณาให้ความเห็นชอบ และเมื่อพิจารณาแล้ว ไม่ว่าเห็นชอบไม่เห็นชอบ สปช.ก็สิ้นสุดหน้าที่ไป ถือว่า สปช.ทำตามหน้าที่ถูกต้องครบถ้วนทุกประการ ส่วนจะบอกว่าพอใจไม่พอใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เช่น กมธ.ปฏิรูปการเมืองเสนอความเห็นไปให้ กมธ.ยกร่างฯ ซึ่งส่วนใหญ่ที่เสนอไปให้ เขาก็ไม่เอากับเรา จะบอกพอใจไม่พอใจก็ไม่ได้ แต่หน้าที่เรานำเสนอไปเขาจะรับไม่รับก็เป็นอำนาจของ กมธ.ยกร่างฯ
แนวทางปฏิรูปที่เราดำเนินการไปจะออกมาอย่างไร สำเร็จหรือไม่
ขั้นตอนการปฏิรูปอาจจะมี 2 ขั้นตอนใหญ่ ขั้นแรกการศึกษาวาระการปฏิรูป ซึ่งตรงนี้ สปช.ดำเนินการอยู่ ขั้นที่สองคือการเสนอร่างกฎหมาย มีรายละเอียดมากขึ้นและมีขั้นตอนที่ยาว เพราะต้องเสนอให้ ครม.พิจารณา และหาก ครม.เห็นด้วยก็ต้องส่งต่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทำหน้าที่ให้ความเห็นชอบ เมื่อ สนช.เห็นชอบก็จะประกาศออกมาเป็นกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เรื่องที่จะมีการปฏิบัติไม่ปฏิบัติเป็นเรื่องของรัฐบาล ซึ่งหากมีกฎหมายออกมา ทางรัฐบาลที่จะมีขึ้นก็ต้องทำตาม ดังนั้นการปฏิรูปจะสำเร็จไม่สำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่ สปช.หรือสภาขับเคลื่อนปฏิรูปฯ เพราะคนที่เอานโยบายไปฏิบัติคือรัฐบาล ซึ่งเป็นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบ โดยร่างรัฐธรรมนูญอาจกำหนดกรอบหลักว่าจะต้องให้มีการขับเคลื่อนการปฏิรูป และเมื่อมีกฎหมายปฏิรูปออกมา รัฐบาลต้องดำเนินการตามกฎหมายนั้น ซึ่งเท่ากับว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาล หากไม่ทำรัฐบาลก็จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
น้อยใจหรือไม่สำหรับร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว 57 ที่กำหนดให้ สปช.ต้องหมดวาระไปเร็วกว่าเดิม
ผมถือว่าทำตามหน้าที่ หากหมดวาระไปก็ได้ทำตามหน้าที่แล้ว เมื่อภารกิจบอกว่าเสร็จแล้ว เราก็ต้องจบ ผมไม่เคยยึดติด ไม่มีน้อยใจ ส่วนจะเป็นคนที่โดนคัดเลือกเป็นสภาขับเคลื่อนฯหรือไม่นั้น ผมคิดว่าจริงๆ แล้ว สำหรับผมที่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ก็พอแล้ว ส่วนหาก ครม.เลือกอันนั้นก็ไม่ทราบ ทั้งนี้ หากเขามาถามเราก่อน เราก็จะไม่รับ แต่ถ้าตั้งเลยแล้วเรามาลาออกก็จะน่าเกลียด
มองการปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญโค้งสุดท้ายอย่างไร
เท่าที่ผมติดตามการปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ดูจะถอยหลังกว่าเก่า แทนที่ปรับปรุงใหม่จะดีกว่าเก่า เพราะของเก่าอาจจะมีประเด็นน่าวิตกกังวลบ้าง แต่ก็ยังมีประเด็นเด่นหลายประเด็น เช่น การที่นายกรัฐมนตรีจะแต่งตั้ง ครม. ต้องส่งเรื่องให้วุฒิสภาตรวจสอบประวัติก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อมีการปรับแก้ใหม่กับตัดทิ้งหมด เหมือนกลับไม่กล้าตรวจสอบนักการเมือง ทั้งที่เราเห็นนักการเมืองไม่น่าไว้ใจก็น่าจะทำให้การตรวจสอบเข้มข้นขึ้น
แม้จะมีหลายส่วนในร่างรัฐธรรมนูญนี้เหมือนรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งต้องเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ 2550 บางอย่างใช้ได้ แต่ที่มีปัญหาคือการตรวจสอบฝ่ายการเมืองยังเป็นง่อย การถอดถอนไม่สำเร็จ การอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้ผล เพราะงั้นต้องแก้ โดยการสร้างกลไกการตรวจสอบให้มีประสิทธิภาพขึ้น แต่ กมธ.ยกร่างฯไม่ได้ทำส่วนนี้ การตรวจสอบยังใช้การถอดถอน การอภิปรายไม่ไว้วางใจเหมือนเดิม และให้มีรัฐบาลที่อ่อนแอ ดังนั้นนอกจากจะไม่เป็นการปฏิรูปแล้วยังเป็นการถอยหลังเข้าคลอง
ร่างรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม่บทกำหนดโครงสร้างการเมือง ดังนั้นหากมีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมที่ไม่เข้มแข็ง ได้รัฐบาลที่อ่อนแอเข้ามา การขับเคลื่อนการปฏิรูปก็ค่อนข้างยาก เพราะการจะขับเคลื่อนเรื่องนี้ได้ รัฐบาลต้องเข้มแข็ง มีเอกภาพ หากรัฐบาลอ่อนแอจะมีปัญหาสองประการคือ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญของประชาชนได้ และไม่สามารถดำเนินนโยบายของประเทศได้
อย่างเช่นที่ผู้เชี่ยวชาญจากฝรั่งเศสเคยมาให้ความรู้เราว่า ประวัติศาสตร์การเมืองฝรั่งเศสเคยมีรัฐบาลผสมไม่เข้มแข็ง ปรากฏว่าฝรั่งเศสเกิดวิกฤตการเมืองเยอะแยะ แก้ไขไม่ได้ จนต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่และเปลี่ยนระบบรัฐสภาเป็นกึ่งประธานาธิบดี กอบกู้วิกฤตทางการเมืองได้ แสดงให้เห็นว่าการร่างรัฐธรรมนูญ หากเราร่างให้เหมาะสมก็แก้ปัญหาวิกฤตประเทศได้ แต่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงจริง หากร่างแล้วติดกรอบเดิม ความคิดเดิม หรือร่างเพื่อให้ได้รัฐบาลผสมที่อ่อนแอ
ก็คงเป็นไปได้ยากที่จะแก้ไขปัญหาประเทศ เพราะเราก็เห็นประสบการณ์ในอดีตมาแล้ว ในช่วงก่อนปี 2540 มีรัฐบาลผสมหลายพรรค รัฐบาลส่วนใหญ่อยู่ได้ปีเดียว สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลผสมอ่อนแอ ไม่สามารถเป็นความหวังของประเทศและประชาชนได้ ไม่สามารถแก้ปัญหาสำคัญของประชาชนได้ นำพาประเทศไปสู่ความมั่นคงหรือแก้ไขปัญหา
อย่างไรก็ดี เรานำระบบเขามา เราก็ต้องมาดูสภาพบ้านเมืองเราเช่นกัน การเมืองไทยยังมีข้อน่าระแวงการเข้าสู่อำนาจเยอะ เพราะนักการเมืองไทยจำนวนมากเข้าสู่อำนาจด้วยการซื้อเสียง การใช้เงินมากซื้อเสียง แล้วเงินเดือนแสนกว่าบาท จ่ายไป 30-40 ล้านบาท ซึ่งเขาไปหาผลประโยชน์ตอบแทนจากที่ไหน คำตอบตรงกันหมดคือโกง โดยวิธีโกงมีหลายอย่าง งบประมาณแผ่นดิน
โกงจากการให้สิทธิพิเศษต่างๆ จากพวกพ้อง เพื่อนฝูง โกงจากการซื้อขายตำแหน่งจากข้าราชการประจำ นอกจากนี้ หากการตรวจสอบนักการเมืองของเราไม่มีประสิทธิภาพ การทุจริตคอร์รัปชั่นก็ยิ่งแพร่หลาย ดังนั้นการที่ กมธ.ยกร่างฯให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องร่างรัฐธรรมนูญให้รัฐบาลอ่อนแอ เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ทางแก้ไม่ใช่แบบนี้ โดยทางแก้ที่ดีคือมีรัฐบาลเข้มแข็ง แต่ต้องออกแบบกลไกตรวจสอบรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ
อนาคตรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อการเมืองไทยจะเป็นอย่างไร
หาก สปช.ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็จะถูกส่งไปทำประชามติ ซึ่งเมื่อฝ่ายการเมืองและพรรคการเมืองรับในร่างรัฐธรรมนูญนี้ได้ เพราะหลายพรรคก็ไม่ได้สนใจในเรื่องรัฐบาลผสม เขามองว่าหากได้ประโยชน์ก็เอา ดังนั้น ถ้าเขาชอบ เขาก็จะบอกหัวคะแนนเพื่อให้บอกประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญนี้
เมื่อร่างรัฐธรรมนูญนี้ผ่านก็จะมีรัฐบาลผสมอ่อนแอ ในที่สุดเกิดความไม่สงบและก็เกิดความสะดุดอีกจนได้ แทนที่รัฐธรรมนูญจะใช้ได้นาน เราก็ต้องถอยหลังกลับมาอีก จากการมีรัฐธรรมนูญที่ไม่สามารถสร้างอนาคตให้ประเทศได้
เลือกตั้งเสร็จอาจจะกลับเป็นรูปแบบเดิม เพราะดูจากที่เขาร่างคร่าวๆ เราก็พอจะรู้หน้าตารัฐบาลเป็นอย่างไร เราอาจมีรัฐบาลผสมอ่อนแอ ซึ่งจะมีนักการเมืองหน้าใหม่ชนะการเลือกตั้งกี่เปอร์เซ็นต์ คำตอบคือน้อยมาก เพราะคนที่ชนะเลือกตั้งคือนักการเมืองเก่า พรรคที่ชนะเลือกตั้งก็เป็นสองกลุ่มคือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ส่วนพรรคขนาดกลางก็ยังคงเหมือนเดิม พรรคขนาดเล็กอาจมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง และอย่างที่ทราบนักการเมืองเช่นนี้บริหารประเทศอย่างไร เราก็รู้ คือไม่มีผลงานในทางสร้างสรรค์
ส่วนเรื่องการลงมติเห็นชอบไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนี้นั้น ผมมองว่าต้องดูภาพรวมทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร แต่ผมนั้นจะให้ความสำคัญกับประเด็นที่เป็นหัวใจของรัฐธรรมนูญ เพราะผมเคยกล่าวเสมอว่า หากประเด็นปลีกย่อยดี แต่หัวใจไม่ดีก็ไม่มีโอกาสทำให้สำเร็จหรอก เพราะว่ารัฐบาลเป็นง่อยอ่อนแอ ขับเคลื่อนอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลถือเป็นหัวใจของประเทศ อำนาจในการบริหารประเทศจะสำเร็จหรือล้มเหลวอยู่ที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ดี ประเทศไทยมีรัฐบาลที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด ทำให้เราล้าหลังเขา แล้วก็มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำมาก วันนี้คนยากจนมีปัญหาหนี้สินเยอะมาก เช่นนี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าระบบการเมืองของเราที่มีในอดีตไม่สามารถที่จะสร้างความเข้มแข็งให้ภาคครัวเรือนได้ คนจนยังจนอยู่มาก
ส่วนเสียง สปช.คนอื่นเขาก็รอดูร่างรัฐธรรมนูญสุดท้ายที่เสนอช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ ช่วงนั้นคงได้ทราบว่าจะออกมาอย่างไร โดยหากผมเห็นร่างสุดท้ายคงจะวิเคราะห์ได้เต็มที่กว่านี้ ว่ารัฐธรรมนูญนี้ หากประกาศใช้จะยืนอยู่ได้นานเท่าไหร่ นำพาประเทศไปอย่างไร
มติชนออนไลน์ :คอลัมน์ เกาะติดปฏิรูป
วิษณุแจง′บิ๊กตู่′อยู่ถึงมี′ครม.′ใหม่ ชี้หากรธน.ผ่านเลือกตั้งส.ค.
มติชนออนไลน์ : นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ถึงระยะเวลาการสิ้นสุดการทำงานของแม่น้ำ 5 สายหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านความเห็นชอบจากสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และผ่านประชามติจนนำไปสู่การเลือกตั้ง ว่า หากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้และมีการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะดำรงตำแหน่งไปจนกระทั่งมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่และได้ถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้ว แปลว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ตำแหน่งหลังการเลือกตั้งเพียงสองเดือน
"ส่วน สปช.จะสิ้นสุดเมื่อมีการลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นจะมีสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศขึ้นมาทำหน้าที่จนถึงวันที่มีการเปิดสภาครั้งแรก ไม่ควรอยู่ยาวกว่านั้น มีแต่จะอยู่สั้นกว่านั้นหรืออยู่กว่ากำหนด ส่วนสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แม้จะมีการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว จนมี ครม.ชุดใหม่ ยังทำหน้าที่ไปจนกระทั่งมีการเลือกตั้งหรือการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีแต่ ส.ส.ยังไม่มี ส.ว.ดังนั้นเมื่อเลือก ส.ว.เมื่อใด สนช.จะไปเมื่อนั้น เพราะช่วงที่ยังไม่มี ส.ว. ทาง สนช.จะทำหน้าที่แทน ส.ว.ขณะที่กรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญจะทำหน้าที่ไปถึงวันเปิดสภา" นายวิษณุกล่าว
นายวิษณุ กล่าวว่า หากประชามติร่างรัฐธรรมนูญผ่าน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ จะไปทำกฎหมายลูกในเดือนพฤษภาคม 2559 หลังจากนั้นจะส่งให้ สนช.พิจารณาในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2559 หลังจากนั้นจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาในเดือนพฤษภาคม 2559 เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณารับรองแล้วจะเข้าสู่ช่วงเตรียมตัวก่อนการเลือกตั้งซึ่งมีเวลา 90 วัน ตั้งแต่กรกฎาคม-สิงหาคม 2559
"การเลือกตั้งน่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม หลังจากนั้นจะใช้ระยะเวลาประกาศผลใน 30 วัน ขั้นตอนหลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อประชุมเลือกนายกรัฐมนตรี แล้ว นายกฯ และ ครม.จะได้ถวายสัตย์ปฏิญาณคาดว่าจะเสร็จสิ้นช่วงต้นเดือนตุลาคม 2559 เมื่อรัฐบาลใหม่เกิดขึ้นในตอนนั้นแม่น้ำทุกสายจะพ้นสภาพไปหมด รวมถึงสภาขับเคลื่อนปฏิรูปฯ ที่จะพ้นไปตั้งแต่มีการเปิดสภาครั้งแรก" นายวิษณุกล่าว และว่า ตอนนั้นรัฐบาลใหม่ก็เกิด แม่น้ำทุกสายไปหมดแล้ว สนช.คงไปได้แล้ว เพราะในช่วงที่มีการเลือก ส.ส.แล้ว ตนว่าในอีกสักหนึ่งเดือนซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่จะเปิดสภาผู้แทนราษฎร ก็ต้องหา ส.ว.แล้ว ทั้งหมดนี้ไม่ได้แต่งเองว่าตามปฏิทิน แต่ทั้งหมดหากไม่ผ่านประชามติก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
มติชนออนไลน์ : เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช - ยุทธพร อิสรชัย
ธนพร ศรียากูล - ชำนาญ จันทร์เรือง
หมายเหตุ - ความเห็นจากฝ่ายต่างๆ กรณีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอให้หัวหน้าพรรคการเมืองมาดีเบตถึงข้อดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญฉบับที่ กมธ.ยกร่างฯเป็นผู้จัดทำ
เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช
ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล
ถ้าจะจัดให้มีการดีเบตเกิดขึ้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ดีเบตก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งในการหาเหตุ หาผลกัน แต่ต้องขึ้นอยู่กับบรรยากาศในการดีเบตด้วย อย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็มีการดีเบตกัน
แต่หากถามว่าสถานการณ์ บรรยากาศ ของประเทศไทย ณ ขณะนี้ เหมาะสมให้จัดการดีเบตหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะจัดสภาพการดีเบตอย่างไร อันดับแรกต้องดูก่อนเลยว่าใครจะดีเบตกับใคร กรณีนี้ก็ควรเป็นคนที่มีความรู้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ เป็นต้น และจำเป็นต้องมีองค์ประกอบในการดีเบตให้ครบ คือ ฝ่ายสนับสนุนร้อยเปอร์เซ็นต์ และฝ่ายคัดค้านร้อยเปอร์เซ็นต์ ฝ่ายสนับสนุนก็ต้องหาเหตุผลมาหักล้างเหตุผลของอีกฝั่งหนึ่งให้ได้ ดังนั้นรัฐธรรมนูญ 315 มาตรา ฝ่ายที่เห็นด้วยต้องเห็นด้วยทุกอย่าง และเข้าใจอย่างถ่องแท้ และมีเหตุผล ส่วนฝ่ายค้านก็ต้องค้านทั้ง 315 มาตรา พร้อมด้วยเหตุผล แล้วก็ดีเบตกันไป
อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องคำนึงด้วยว่ารัฐธรรมนูญ ฝ่ายที่ค้านคงไม่ได้ไม่เห็นด้วยทั้งหมดทุกมาตรา เพราะบางมาตราก็เป็นลักษณะนี้มาตั้งแต่ พ.ศ.2475 ประเด็นลักษณะนี้ก็ไม่จำเป็นต้องดีเบต หรือว่าหากจะดีเบตเป็นประเด็น ก็ต้องเป็นประเด็นที่มีฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้านอย่างชัดเจน
ย้อนกลับไปยังคำถามว่าบรรยากาศในตอนนี้เหมาะสมหรือไม่ ก็ต้องดูว่าจะดีเบตกันในมาตราไหน อย่างไร ส่วนใหญ่แล้วคนสนับสนุนคงไม่มีปัญหาเท่าไร แต่คนเห็นต่าง จะรู้สึกได้ถึงอิสรภาพในการแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่หรือไม่ เพราะในตอนนี้รัฐยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจว่าการแสดงออกความคิดเห็นทางการเมืองนั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้อย่างปลอดภัย
นอกเหนือจากการดีเบต ก็ยังมีอีกหลายวิธีในการฟังความคิดเห็น เพราะการดีเบตมีข้อเสียอยู่หนึ่งอย่างคือ มีแพ้และมีชนะ แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นเรื่องของการแพ้ชนะ รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่พวกเราต้องใช้กันทุกคนไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ คนทั้งประเทศกว่าเจ็ดสิบล้านคนก็ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันทุกคน การดีเบตในบางเรื่องเวลาที่แพ้ชนะจะส่งผล แบ่งเป็นฝ่ายที่ชนะกับฝ่ายที่แพ้ แต่ตัวรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ผลคือการที่เราต้องเอามาบังคับใช้
ดังนั้นต้องพิจารณาว่าเมื่อมีการแพ้ชนะแล้ว ผลของมันคืออะไร คนทั้งประเทศจะเห็นพ้องต้องกันกับคนที่ชนะหรือไม่ หรือฝ่ายคัดค้านเมื่อมาดีเบตแล้วแพ้และจะเกิดอะไรขึ้น คือสุดท้ายแล้วไม่ได้มีผลในด้านปฏิกิริยากับสังคม มาถกเถียงกันมีผลแพ้ชนะแล้วหากผลมันออกมาเป็นอย่างเดิมมันก็ไม่มีอะไร
การเลือกวิธีประชาพิจารณ์ เลือกวิธีการตั้งวงเสวนาแบบให้อิสระในการแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ อย่างกว้างขวาง อาจเป็นวิธีที่ควรนำมาพิจารณา และดูว่าผลตามมาจะมีมากกว่าการดีเบตหรือไม่
เรื่องของรัฐธรรมนูญ คนที่ค้านก็อาจจะค้านไม่เหมือนกัน ในมาตราเดียวกัน คนที่สนับสนุนก็อาจจะสนับสนุนในคนละแบบในมาตราเดียวกัน หรือสนับสนุนทุกมาตรา ดังนั้นถ้าจะเอามาให้มีการหาเหตุหาผล ให้มีการแสดงเหตุผลนำเป็นวงพูดคุยน่าจะดีกว่าการดีเบต เพราะประเด็นมีมากและกว้าง
ยุทธพร อิสรชัย
รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
เห็นด้วยเพราะเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้รัฐธรรมนูญตกผลึกมากยิ่งขึ้น เนื่องจากคนร่างรัฐธรรมนูญเองจะมีโอกาสรับฟังข้อมูลจากหลายภาคส่วน และตอบข้อซักถามของอีกฝ่ายในประเด็นที่สังคมกำลังให้ความสนใจบนเวทีที่มีประชาชนรับฟังไม่ใช่เพียงการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนตอบโต้กันไปมาอย่างเดียว ไม่เป็นประโยชน์อะไร อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่นายบวรศักดิ์กับนักการเมืองจะดีเบตต้องทำคือ เวทีนี้ต้องเป็นเวทีสาธารณะอาจจะเป็นการถ่ายทอดสดหรือเปิดให้สื่อมวลชนรับฟังเพื่อถ่ายทอดให้ประชาชนรับรู้ด้วย แต่หากจะดีเบตกันแค่ในห้องประชุมลับ ผมไม่เห็นด้วยเพราะไม่มีประโยชน์อะไร
กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญยังขาดการมีส่วนร่วมจากสังคม ดังนั้นเวทีดีเบตจึงเป็นสิ่งที่ดี เพราะหากจะร่างรัฐธรรมนูญแล้วรังเกียจความเห็นนักการเมือง คงไม่ดีแน่นอน
หากจะให้เวทีดีเบตมีประโยชน์ กมธ.ยกร่างฯ ต้องเก็บเอาข้อมูลเป็นเหตุเป็นผลไปพิจารณาหาข้อแก้ไขด้วย อาทิ ประเด็นที่มาของนายกรัฐมนตรี ที่มา ส.ส.และ ส.ว. กระบวนการการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และปัญหาองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เพราะคงไม่มีประโยชน์ถ้าฟังอย่างเดียว สุดท้ายทุกอย่างก็ยังคงอยู่จุดเดิม
ธนพร ศรียากูล
หัวหน้าพรรคคนธรรมดา
การดีเบต ถือว่าเป็นเวทีใช้เหตุใช้ผลในการถกเถียงกัน อีกทั้งเป็นเวทีเปิด แต่จะมีเงื่อนไขว่าการจัดเวทีแบบนี้ขึ้นมาได้ คสช.จำเป็นต้องยกเลิกคำสั่งห้ามไม่ให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ถ้าไม่มีการยกเลิก สิ่งที่นายบวรศักดิ์พูดไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง เพราะว่าท่านบวรศักดิ์มีทั้ง คสช. และ กฎของ คสช.
เป็นผู้สนับสนุนอยู่ โดยมีคำสั่งไม่ให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ต้องยอมรับว่าเวทีของการดีเบตเรื่องรัฐธรรมนูญ นั้นเป็นกิจกรรมทางการเมือง ก็จะขัดกับประกาศของ คสช.แน่ๆ
การที่ท่านบวรศักดิ์พูดแบบนี้ ท่านเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีทางเกิดขึ้นมา เพราะท่านมีก็อดฟาเธอร์คอยช่วยดูแลรักษาความปลอดภัย และไม่ยินยอมให้มีการดีเบตเกิดขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นคำพูดในการท้าดีเบตของท่านบวรศักดิ์จึงเป็นคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะเงื่อนไขต่างๆ เวทีแบบนี้เกิดไม่ได้ ตราบใดที่ประกาศของ คสช.ห้ามพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองยังอยู่ ท่านบวรศักดิ์ก็จะอาศัยกฎนี้ในการออกไปประกาศท้าทายคนอื่นเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นข้อเสนอที่เกิดขึ้นเพราะความดูดีของตนเองเท่านั้น
วิธีที่ง่ายที่สุด หากท่านบวรศักดิ์จะแสดงความจริงใจจะให้มีการโต้วาทีจริงๆ อยากให้ทำหนังสือในฐานะคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ขอให้ คสช.ยกเลิกประกาศฉบับดังกล่าว แล้วพรรคคนธรรมดาประกาศว่าจะขอเป็นพรรคแรกที่จะดีเบตกับท่าน ขอให้กำหนดวันมาเลย หรือจะให้พรรคเป็นคนจัดให้ก็ได้และเชิญท่าน
บวรศักดิ์มา ท่านสะดวกวันไหนก็ขอให้ลงวันนัดหมายไว้ได้เลย จะเป็นวันพรุ่งนี้ก็ยังได้ และผมจะเป็นคนดีเบตกับท่านบวรศักดิ์เอง
ส่วนตัวเชื่อว่าพรรคการเมืองทุกพรรคพร้อมดีเบตกับท่าน แต่เขาไม่ได้ให้ราคากับสิ่งที่ท่านพูด เพราะท่านเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าจัดไม่ได้ แต่หากยกเลิกประกาศ คสช.จริง รับรองว่าคณะกรรมาธิการเองแทบจะไม่ต้องเสียเงินเลยแม้แต่น้อย
ส่วนประเด็นที่อยากดีเบตกับท่านบวรศักดิ์ เริ่มจากที่ท่านบอกว่ารัฐธรรมนูญของท่านจะส่งเสริมความเป็นพลเมือง ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจแล้ว รวมถึงปัญหาในเรื่องหลักคิด และที่สำคัญที่สุด คือเรื่องการควบคุมกองทัพโดยพลเรือน เป็นหลักของสากล แต่ไม่ได้มีการเขียนไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องดีเบตกับท่าน เพราะหากท่านบวรศักดิ์บอกว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูป และให้พลเมืองเป็นใหญ่ ทำไมถึงไม่มีเขียนเอาไว้ ทั้งที่กองทัพเป็นหนึ่งในองค์กรที่ควรจะปฏิรูปองค์กรหนึ่ง
ชำนาญ จันทร์เรือง
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ถ้าจะจัดดีเบตนี่เห็นด้วย เหมือนปี 2550 แต่พิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญแจกจะกลายเป็นเอาไปชั่งกิโลขายไหม เป็นการลงทุนที่สูญเปล่าหรือเปล่า ตัวร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าพิมพ์หมดจะเหมือนปี 2550 จะหนา ทำเป็นสรุปก็ได้ พอให้เข้าใจง่ายๆ ในหลักการสำคัญ เอาที่สามารถเชื่อมโยงได้จะดีกว่า
การดีเบตนั้นต้องดูว่าใครเป็นผู้แทนของใคร เฉพาะหัวหน้าพรรคและพรรคก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่ง เพราะคนใช้รัฐธรรมนูญเป็นของคนไทยทุกคน ดีเบต
ก็ไม่ควรมีแค่เวทีเดียว ควรจะมีทั้งนักวิชาการ ส่วนการเมือง และส่วนคนจะต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเรื่องที่บางคนบางกลุ่มทำอย่างจำเพาะเจาะจงเท่านั้นเอง นักวิชาการเองก็มีตั้งหลายขั้ว ประชาชนก็มีตั้งหลายขั้ว
พรรคการเมืองเป็นส่วนหนึ่ง เพียงแต่ว่าต้องมีส่วนอื่นจะร่วมด้วย และดีเบตก็ไม่น่าจะเป็นครั้งเดียวจบ เอาเป็นเวทีของสื่อหรืออะไรไปได้เยอะแยะ ทำหลายๆ ครั้ง
ถ้าดีเบตก่อนลงประชามติก็ดีอยู่แล้ว เพราะหลักการลงประชามติต้องให้ความรู้ให้ได้มากที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นคนก็ไม่รู้ว่าจะไปลงประชามติเรื่องอะไร
แนวทางการให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องรัฐธรรมนูญ นอกจากการดีเบตแล้วสื่อต้องช่วยด้วย จับประเด็นและใส่ข้อเท็จจริงเข้าไป หากมีความเห็นก็ต้องบอกว่านี่คือความเห็น ไม่ได้จำกัดว่าสื่อจะมีความเห็นไม่ได้ แต่ต้องบอกว่านี่คือประเด็นหลัก เปรียบเทียบให้เห็น ให้เข้าใจอย่างง่าย จะดีกว่า
การจัดดีเบตในสถานการณ์อย่างนี้ ต้องทำให้ได้ ถ้าประชามติโดยดีเบตไม่ได้ ก็ถือว่าจบ ไม่ใช่ประชามติ แล้วก็จะเป็นจำอวดหน้าม่าน เพื่อให้ครบๆ ไปเท่านั้นเอง ประชามติต้องเปิดให้คนแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ถ้าคุณยังอยู่ภายใต้ มาตรา 44 จำกัดการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง 4 คนขึ้นไป ไม่มีประโยชน์เลย อวสาน ยิ่งกว่าปี 2550 ยังไงก็ต้องมี ต้องเปิดเสรีด้านความเห็น
ประชามติไม่ได้มีเฉพาะเนื้อหารัฐธรรมนูญ ประชามติต้องรวมไปถึงว่า เห็นด้วยกับวิธีการที่มาของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไหม ที่มาของการที่จะต้องมีรัฐธรรมนูญใหม่ หรือฉีกรัฐธรรมนูญไหม เกี่ยวพันถึงขนาดนั้น สำคัญมาก สมมุติเขาลงประชามติว่าไม่เอาอย่างถล่มทลาย คสช.ก็ต้องคิดหนักแล้ว เขาต้องบอกว่าการแก้รัฐธรรมนูญตามมาตรา 46 ถ้าลงประชามติว่าเอาจะเป็นยังไง ถ้าไม่เอาแล้วจะเป็นยังไง ถ้าไม่เอาแล้วกลับไปเขียนใหม่ด้วยวิธีการเดิม ไม่มีประโยชน์ ต้องใช้วิธีการอื่นที่ไม่ใช่การซ้ำรอยเดิม เพราะประชามติครั้งนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะเนื้อหารัฐธรรมนูญอย่างเดียว มีเรื่องที่มาของคณะกรรมาธิการยกร่างด้วย เพราะการร่างรัฐธรรมนูญ คือการร่างกฎหมาย ก็เหมือนเอาคนไปให้ช่างตัดผม คณะกรรมาธิการยกร่างก็เหมือนช่างตัดผม ต้องตัดตามใจเจ้าของหัว จะไปเอาตามใจช่างตัดผมได้
ยังไง ก็จะเป็นวิธีการแบบนี้...
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด