วิษณุ` เผยจะเสนอทูลเกล้าฯร่างรธน.ไม่เกิน 9 พ.ย.นี้ ยันทุกอย่างเป็นไปตามกรอบโรดแมพ
นายวิษณุ เครืองงาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้า การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ, ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามกรอบเวลาโรดแมพที่กำหนดไว้ โดยคาดว่า อย่างช้าจะนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯไม่เกิน 9 พ.ย.59
โดยรัฐบาลยังมีเวลาดำเนินการเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญได้ถึงวันที่ 9 พ.ย.59 ก็คงจะเสร็จประมาณต้นเดือนพ.ย.ส่วนเมื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายไปแล้วเมื่อใด เป็นเรื่องที่สำนักราชเลขาธิการ จะนำไปดำเนินการต่อไป ซึ่งตอนนั้นพระมหากษัตริย์ทรงมีเวลาพิจารณา 90 วัน หากนับเวลา 90 วัน ก็ประมาณปลายเดือนม.ค.60
"ทุกอย่างที่เคยประกาศไว้ตราบใดที่ยังไม่ได้พูดเป็นอย่างอื่น ก็ยังไม่มีอย่างอื่น ถ้าหากนับเวลา 90 วันนับจากวันที่ 8-9 พฤศจิกายน 2559 ก็จะไปตกราวปลายเดือนมกราคม 2560 ซึ่งจะทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อไหร่ ช้าเร็วก็ได้ แต่ต้องอยู่ใน 90 วันนั้น "นายวิษณุ กล่าว
สนช.มีมติ 159:27 ถอดถอนสุกำพลออกจากตำแหน่ง ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี
ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติถอดถอน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม ออกจากตำแหน่ง กรณีแทรกแซงการแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม ด้วยคะแนน 159 ต่อ 27 เสียง ไม่ออกเสียง 1 เสียง บัตรเสีย 1
การลงคะแนนของ สนช.ใช้วิธีการลงคะแนนในคูหาเรียงลำดับตัวอักษร ซึ่งบุคคลที่จะถูกถอดถอนจะต้องได้รับเสียง 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด หรือ 131 เสียงขึ้นไป ซึ่งหลังจากใช้เวลาลงคะแนนและนับคะแนนไปกว่า 1 ชั่วโมง ที่ประชุม สนช.ได้มีมติถอดถอน พล.อ.อ.สุกำพล ออกจากตำแหน่ง ซึ่งผลดังกล่าวแม้ พล.อ.อ.สุกำพล จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว แต่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
สำหรับ พล.อ.อ.สุกำพล เป็นผู้ที่ถูก สนช.ลงมติถอดถอนเป็นคนที่ 6 แล้ว ซึ่งหลังจากนี้ สนช.จะแจ้งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบต่อไป
สุกำพล แถลงปิดคดี ยันไม่ได้ใช้อำนาจแทรกแซง/สนช.นัดลงมติถอดถอนหรือไม่...
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธานการประชุมรับฟังคำแถลงปิดสำนวนด้วยวาจาในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรมว.กลาโหมว่าแทรกแซงการแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม โดยที่ประชุม สนช. กำหนดนัดลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอน พล.อ.อ.สุกำพล ในวันที่ 16 ก.ย. นี้
น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. แถลงปิดสำนวนว่า การดำเนินการของ พล.อ.อ.สุกำพล ถือว่าการกระทำดังกล่าวไม่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ ส่วนกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวอ้างว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นรุ่นน้องซึ่งจะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นนั้น เห็นว่าจะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของ พล.อ.อ.สุกำพล เอง
ด้านพล.อ.อ.สุกำพล กล่าวยืนยันว่า ปฏิบัติตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม และข้อบังคับกระทรวงกลาโหม และตามธรรมเนียมการแต่งตั้งข้าราชการกระทรวงกลาโหมทุกขั้นตอน โดยจัดประชุม 2 ครั้งเพื่อพิจารณาแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหมตำแหน่งเดียวเพื่อให้ทันเวลา ซึ่งได้เสนอชื่อพล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ในขณะนั้นเพียงคนเดียวที่เสนอชื่อพล.อ.ชาตรี ทัตติ และการที่ไม่ให้พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตราเข้าร่วมประชุม เพราะเป็นแค่ผู้ช่วยเลขานุการ ไม่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุม และต้องการรักษาความลับการประชุมเอาไว้ ซึ่งการประชุมได้ยึดข้อบังคับว่าให้คณะกรรมการสามารถกำหนดนโยบายเพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับ และกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีอำนาจเสนอชื่อบุคคลที่ขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหมได้ และสามารถเสนอชื่อใครก็ได้ ซึ่งผู้บัญชาการเหล่าทัพได้ให้ถ้อยคำต่อป.ป.ช.ว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าวสามารถที่จะเสนอชื่อใครที่นอกเหนือจากที่มีการเสนอขึ้นมาก็ได้
"ขอยืนยันอีกครั้งว่า การประชุมในวันนั้นเป็นการประชุมที่ถูกต้องทุกประการ ผู้บัญชาการเหล่าทัพได้ให้ปากคำว่าการประชุมวันนั้นถูกต้องทุกประการ แต่ป.ป.ช.เพิกเฉย คำกล่าวหาของป.ป.ช.ที่กล่าวหาว่าผมแทรกแซงนั้น มีคนร่วมประชุม 6 คน ผมออกเสียงแค่เสียงเดียวเท่านั้น ไม่มีใครมีอำนาจสั่งการได้"พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว
อินโฟเควสท์
สนช.ผ่านฉลุยงบฯ 2.7 ล้านล้านบาท
บ้านเมือง : มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2560 วงเงิน 2,733,000 ล้านบาท ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ โดยนาย อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้ชี้แจงว่า กมธ.ได้มีการปรับลดทั้งสิ้นจำนวน 17,980,242,800 บาท โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ แผนแม่บทระดับชาติ นโยบายสำคัญของรัฐบาล ยุทธศาสตร์การจัดการในการจัดสรรงบประมาณประจำปี ตลอด
จนเป้าหมายในการดำเนินงาน ความคุ้มค่า ความพร้อม ศักยภาพในการดำเนินงาน รวมทั้งคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณในปีที่ผ่านมาประกอบการพิจารณาอย่างเข้มงวด คือ 1.โครงการหรือรายการที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือหมดความจำเป็น หรือได้ดำเนินการไปแล้ว 2.รายการที่มี เป้าหมายดำเนินงานที่ไม่ชัดเจน มีความจำเป็นน้อย มีค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนและไม่ประหยัด 3.รายการที่มีผลดำเนินการล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ และคาดว่าจะไม่สามารถใช้จ่ายได้ทันในปีงบประมาณ 2560
4.รายการงบประมาณต่างๆ ที่สามารถประหยัดได้ และ 5.รายการที่สามารถใช้เงินจากแหล่งอื่นนอกเหนือจากเงินงบประมาณ ส่วนการปรับเพิ่ม งบประมาณจำนวน 17,980,242,800 บาท เท่ากับจำนวนที่ปรับลดลง เพื่อจัดสรรให้ส่วนราชการกองทุน เงินทุนหมุนเวียน หน่วยงานของรัฐสภา
หน่วยงานของศาล หน่วยองค์กรอิสระของรัฐ และงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกรณีมีความจำเป็น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง มีงบประมาณรองรับการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลในระยะต่อไป รวมทั้งเพื่อเตรียมการรองรับการดำเนินงานตามร่างกรอบยุทธศาสตร์ 20 ปีระหว่างปี 2560-2579 แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ.2560-2564
จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาเรียงตามมาตราซึ่งมีทั้งหมดจำนวน 59 มาตรา โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที ที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบในวาระสาม และให้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป ด้วยคะแนน 183 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง พร้อมทั้งรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ
โปรดเกล้าฯ แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเพิ่มจำนวน สนช.เป็น 250 คน
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้า ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2559 โดยมีเนื้อหาระบุว่า ให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่เกิน 250 คน จากเดิมมีจำนวน 220 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดและมีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถวายคำแนะนำ
พร้อมทั้งให้สมาชิก สนช.ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นสมาชิก สนช.ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช 2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้
เหตุผลในการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เกี่ยวกับจำนวนสมาชิก สนช.เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของ สนช.และการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตลอดจนร่างกฎหมายที่จะต้องตราขึ้นตามร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ได้รับความเห็นชอบในการประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องตรารัฐธรรมนูญนี้
สนช.ผ่าน 3 วาระรวด เพิ่มจำนวน สนช.เป็น 250 คน รองรับงานกม.ที่เพิ่มขึ้น
ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ให้เพิ่มจำนวนสมาชิก สนช.จาก 220 คน เป็น 250 คน ด้วยคะแนนเสียง 189 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ทั้งนี้เป็นการพิจารณา 3 วาระรวด
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงหลักการและเหตุผลว่า ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดังกล่าวมี 3 มาตรา โดยเนื้อหาสำคัญ คือ มาตรา 3 ให้แก้ไขมาตรา 6 โดยให้มีจำนวน สนช.ไม่เกิน 250 คน แต่เพื่อความชัดเจน จะขออนุญาตเพิ่มอีก 1 มาตรา คือ มาตรา 4 โดยมีข้อความว่า ให้ สนช.ซึ่งดำรงตำแหน่งก่อนที่จะมีการประกาศใช้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ให้เป็น สนช.ต่อไป โดยขณะนี้จำนวน สนช.ที่มีอยู่ 220 คน อาจไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจที่มีความสำคัญ เพราะคาดว่าอีก 1 ปี 4 เดือน จะมีกฎหมายหลั่งไหลเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. โดยเป็นกฎหมายตามนโยบาย 100 ฉบับ และกฎหมายที่รัฐธรรมนูญใหม่กำหนดให้ต้องพิจารณา ประมาณ 80 ฉบับ ซึ่งมีเนื้อหาสาระ วัน เวลาที่จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จ
"จำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มาก มีความหลากหลาย รอบคอบ และต้องใช้เวลา บางฉบับต้องออกภายใน 4 เดือน จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มสมาชิก สนช.จาก 220 คน เป็นไม่เกิน 250 คน ถือเป็นจำนวนที่พอสมพอควร โดยยึดจำนวน ส.ว.ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่" นายวิษณุ กล่าว
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. กล่าวว่า จากนี้จะนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อประกาศไว้เป็นกฎหมายต่อไป คาดว่า ภายในเดือนก.ย.ขั้นตอนทุกอย่างจะเสร็จสิ้น ซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเป็นผู้แต่งตั้งสนช.ใหม่ที่เหลือ ซึ่งไม่เกิน 250 คน จากนั้นก็จะนำรายชื่อโปรดเกล้าแต่งตั้งต่อไป
ส่วนรายชื่อของสนช.ใหม่นั้นจะเป็นใครนั้น เป็นอำนาจของคสช. อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่าไม่ใช่มาจากสัดส่วนทหารทั้งหมด แต่เชื่อว่าคสช.จะคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ และความเหมาะสมของานด้านนิติบัญญัติ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะนักกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องมีทักษะและประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เช่นเดียวกับองค์ประกอบสภาทั่วโลก
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด