สนช.ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบรายจ่ายเพิ่มเติมปี 60 วงเงิน 1.9 แสนลบ. 3 วาระรวด
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมีมติเอกฉันท์ 163 คะแนน เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2560 วงเงิน 1.9 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมเป้าหมาย พร้อมจัดงบฉุกเฉินช่วยน้ำท่วมภาคใต้ ตามที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ โดยไม่มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ แต่เป็นการพิจารณา 3 วาระรวดในคราวเดียวกัน
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ได้ชี้แจงหลักการและเหตุผลของร่างพ.ร.บ.ฯว่า รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
1. ค่าใช้จ่ายตามแผนงานบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ จำนวน 115,000 ล้านบาท
2.กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเป็นจำนวนเงิน 15,000 ล้านบาท
3.กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นจำนวน 10,000 ล้านบาท
4.เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเป็นจำนวน 22,921,300 บาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นสำหรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมาย และ
5.เป็นรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังเป็นจำนวน 27,078,278,700 บาท
รมว.คลัง กล่าวต่อว่า ในปี 2560 คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 59 โดยคาดว่าจะขยายตัวในอัตรา 3.0-4.0% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐ สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ดีและมั่นคง อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ระดับ 1.5-2.5% ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน และการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ
"จริงๆถ้านับเงินตรงๆที่ลงไปคงทำให้ GDP เพิ่มขึ้น 0.4-0.5% ซึ่งไม่มากเท่าไหร แต่สิ่งที่เราหวังมันไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่แค่บอกว่า GDP มากขึ้นเพราะเราเติมเงินมากลงไป แต่เราหวังว่าประเทศจะสามารถแข่งขันได้ ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ถ้าประเทศร่ำรวยแต่ประชาชนยังยากจน ก็คงไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเห็น เราอยากเห็นประชาชนของเราเองมีความเป็นอยู่ที่ดีสามารถครองชีพได้ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้งบประมาณครั้งนี้ลงไปในกลุ่มจังหวัดมากขึ้น" นายอภิศักดิ์ กล่าว
อินโฟเควสท์
ประธาน กรธ. ขอทุกฝ่ายเตรียมพร้อมรับการเลือกตั้งระบบใหม่ เชื่อคสช.ปลดล็อคพรรคการเมืองหลังร่างกม.ลูกมีผลบังคับใช้
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงการเตรียมพร้อมรับรัฐธรรมนูญและกฎหมายใหม่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศปี 2560 ว่า เงื่อนไขระยะเวลาการกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยของประเทศ ยอมรับว่าประเมินได้ยากเพราะจะต้องคำนึงถึงความพร้อมของพรรคการเมือง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นองค์กรที่ต้องเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง แต่ยืนยันว่า กรธ. ได้พิจารณายกร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญโดยยึดโรดแมพของรัฐบาลเป็นสำคัญ จึงเป็นที่มาของ กรธ. ในการยกร่างกฎหมาย กกต. และพรรคการเมืองก่อน เพื่อให้สามารถปรับตัว ให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ในกฎหมายลูก ซึ่งได้กำหนดระยะเวลาสำหรับการเตรียมความพร้อมของพรรคการเมืองไว้ 180 วัน หากพรรคกรเมืองดำเนินการได้เสร็จสิ้นก่อนก็จะทำให้เกิดการเลือกตั้งที่เร็วขึ้น
ในด้านพรรคการเมือง สิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงคือการทำอย่างไรให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันที่ประชาชนมีส่วนรับรู้และมีส่วนร่วมมากที่สุด กรธ. ไม่ได้คาดหวังจะต้องเปลี่ยนแปลงได้ทันที แต่สามารถเปลี่ยนแปลงค่อยเป็นค่อยไป เพราะในอดีตที่ผ่านมาสิ่งที่ประสบกับพรรคการเมืองคือความนิยมที่จะได้คะแนนเสียงเป็นสำคัญ เนื่องจากระบบเดิมประชาชนไม่มีทางเลือกอื่น แต่ระบบใหม่ประชาชนมีสิทธิไม่เลือกใครเลย เพราะผู้ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วไม่ถูกเลือก ก็จะลงสมัครเลือกตั้งซ่อมอีกไม่ได้
ส่วนองค์กรอิสระ สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดคือเรื่องประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการทำงาน ทั้งที่องค์กรหรือตัวบุคคลอาจมีความตั้งใจดีในการทำงาน แต่ถ้ากลไกประสิทธิภาพและความรวดเร็วไม่เอื้ออำนวยก็จะทำให้บั่นทอนชื่อเสียงเกียรติคุณขององค์กร การเปลี่ยนแปลงคราวนี้จึงต้องทำให้องค์กรอิสระทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น และตัวองค์อิสระเองก็ต้องตระหนักและเตรียมปรับกลยุทธ์เพื่อให้การทำงานสอดรับกับกฎหมายลูกที่จะเกิดขึ้น
ส่วนจะเกิดการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2560 หรือ ต้นปี 2561ได้หรือไม่นั้น ไม่สามารถยืนยันแทนใครได้ แต่ย้ำว่า กรธ. ยังคงเดินหน้าตามโรดแมพของรัฐบาล โดยมีกรอบระยะเวลาจัดทำกฎหมายลูกทั้ง 10 ฉบับให้เสร็จสิ้นภายใน240 วัน หลังร่างรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้
พร้อมขอให้ทุกคนเข้าใจ กรธ.ว่าไม่ได้จงใจทำสิ่งใดด้วยเหตุความรังเกียจพรรคการเมือง หรือนักการเมือง แต่มุ่งมั่นที่จะทำให้การเมืองอยู่ในระบบที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ประชาชนอย่างแท้จริงและแก้ปัญหาในสังคมที่เคยมีและเป็นต้นเหตุของความไม่สงบสุขในสังคม เนื่องจากที่ผ่านมาทุกคนคงตระหนักดีว่าการเมืองไทยไม่ค่อยมีเสถียรภาพ รวมถึงความไม่สอดคล้องระหว่างกฎ กติกากับวัฒนธรรมวิถีชีวิตของคนไทย ซึ่งมักจะนำรูปแบบการปกครองประเทศอื่นมาปรับใช้โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบสังคมไทยที่หลายอย่างไม่เหมือนกับต่างประเทศ จึงเป็นที่มาของการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญและเกิดกลไกใหม่ๆ ในกฎหมายลูก
อีกทั้ง ขอให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วและบ่อยมากขึ้น ซึ่งหากไม่มีการศึกษาให้รู้เท่าทันก็อาจจะกลายเป็นคนล้าหลังและเสียเปรียบในการแข่งขัน ของใหม่ย่อมเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนในสังคมและเป็นธรรมดาที่คนจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าทุกคนทำตามกติกา บทลงโทษที่มีก็คงไม่ได้ใช้ เพราะใช้กับคนที่กระทำผิด"
ส่วนกรณีที่มีการคงอำนาจตามมาตรา 44 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ที่ให้มีผลบังคับใช้ได้จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่นั้นจะเป็นอุปสรรคต่อการกลับเข้าสู่ประชาธิปไตยหรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า คสช.คงอำนาจไว้เพื่อแก้วิกฤตที่เกิดขึ้นและเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศให้ลุล่วง ไม่ใช่การสกัดกั้นพรรคการเมือง ในการเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง และเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) จำนวน 2 ฉบับคือ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. มีผลบังคับใช้ คสช.คงตระหนักและพิจารณาว่าจะผ่อนคลายมาตรา 44 กับพรรคการเมืองได้เมื่อใด
ส่วนกรณีที่ 2 พรรคการเมืองใหญ่ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับการจัดทำกฎหมายลูกนั้น ทาง กรธ. มองว่าการมาร่วมหรือไม่มาร่วมนั้นไม่ใช่อุปสรรค เนื่องจาก กรธ.รับฟังความเห็นทุกทางมาโดยตลอดอยู่แล้ว
อินโฟเควสท์
ครม.ใหม่ เข้าถวายสัตย์ฯ ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ก่อนประชุมครม.นัดแรก
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ว่าที่รมว.ยุติธรรม เปิดเผยหลังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรมว.ยุติธรรม ว่า การมอบหมายงานในตำแหน่งดังกล่าวตนยังไม่ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมอบหมายให้ปฏิบัติงานเรื่องเร่งด่วนอะไรก่อน ขอให้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อน ทั้งนี้ได้มีการนัดหมายคณะรัฐมนตรีใหม่ทั้ง 12 คนที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อไปเข้าเฝ้าฯ ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ และประชุมครม.นัดแรกในวันที่ 20 ธ.ค.นี้
โปรดเกล้าฯ รายชื่อ ครม.ชุดใหม่ประยุทธ์4 ดึง 4 รมว.ใหม่ร่วม-สลับตำแหน่ง
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกบางตำแหน่ง และสมควรปรับปรุงรัฐมนตรีบางตำแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 19 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)
พุทธศักราช 2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2558 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้
1. ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
2. ให้แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง การต่างประเทศ
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์
นายพิชิต อัคราทิตย์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
นางอรรชกา สีบุญเรือง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นายอุตตม สาวนายน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 15 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 เป็นปีที่ 1 ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
อินโฟเควสท์
ประธาน กรธ. หวังร่างกม.กกต.ใหม่ช่วยให้ดูแลการเลือกตั้งได้เต็มที่-เพิ่มงบลับใช้จ่ายด้านการข่าว
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวเปิดงานสัมมนาชี้แจงวาระสำคัญร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พ.ศ..... (ร่างเบื้องต้น)ว่า สำหรับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นั้น กรธ.คัดลอกเนื้อหามาจากรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ ประกอบกับร่างที่ กกต.ส่งมาให้ โดยได้รักษาเนื้อหาบางส่วนไว้ เว้นแต่ส่วนที่ไม่ตรงกับแนวคิด
ดังนั้น ร่างฉบับนี้จึงมีส่วนที่เป็นความหวังว่า กกต.จะดูแลการเลือกตั้งอย่างเต็มที่ เช่น ให้อำนาจ กกต.คนเดียวสั่งระงับกิจการได้หากพบทุจริต ถ้ามีโทษต้องตัดสิทธิทางการเมืองให้แจ้งต่อที่ประชุม กกต.
พร้อมกันนี้ ยังให้ความคุ้มครองแก่ผู้ทำผิดแล้วเปลี่ยนใจมาให้ข้อมูลแก่ กกต.ได้ ซึ่งฉบับเดิมกำหนดให้แค่ 7 วัน ทั้งยังเติมเต็มความสมบูรณ์ให้ กกต.ด้วยการกำหนดให้มีงบประมาณในลักษณะราชการลับ เพื่อให้ กกต.นำไปใช้จ่ายให้หน่วยงานด้านการข่าวช่วยหาข้อมูล หรือ กกต.อาจตั้งหน่วยข่าวของตนเองก็ย่อมได้
"ก็มีการให้ขวัญกำลังใจให้สมน้ำสมเนื้อ กกต. เช่น การเพิ่มเงิน เพิ่มเบี้ยประชุม ให้ กกต.อยู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี มีสตางค์ในกระเป๋าไม่ต้องกังวลอะไร แลกกับการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา กำหนดเพิ่มเติมว่า กกต.นอกจากจะซื่อสัตย์แล้วต้องกล้าหาญด้วย" นายมีชัย ระบุ
ส่วนการทำงาน กกต.ไม่จำเป็นต้องได้รับคำร้องก่อนดำเนินการ โดยเปลี่ยนให้เป็นหน้าที่ว่า กกต.ต้องตรวจสอบดูว่าการเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ สามารถสืบสวนเองได้ ไม่ต้องตั้งอนุกรรมการเหมือนที่ผ่านมา แต่ให้เจ้าหน้าที่ กกต.ทำเอง โดยให้มีการอบรมหลักสูตรเหล่านี้แก่เจ้าหน้าที่ กกต.
นายมีชัย กล่าวถึงกรณีที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานกกต.วิจารณ์ผู้ตรวจการเลือกตั้งในร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต.ฉบับกรธ.ว่า ใครท้วงติงอย่างไร กรธ.ก็จะนำกลับไปทบทวน ที่ผ่านมา กกต.จังหวัดมีข้อครหามาก ดังนั้น กรธ.จึงคิดว่า องค์ประกอบต่างๆ ของผู้ตรวจการเลือกตั้งช่วยแก้ปัญหาได้
ส่วนเหตุที่กำหนดให้ กกต.ต้องขึ้นทะเบียบรายชื่อของคนที่จะเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปีนั้น ก็เพื่อไม่ต้องเลือกกันใหม่ทุกปี อีกทั้งในระยะเวลา 5 ปีก็สามารถสลับพื้นที่กันได้ ซึ่งแนวคิดนี้จะดีกว่าระบบเก่าหรือไม่นั้น คิดว่าอย่างน้อยที่สุดก็จะทำให้มือไม้ของกกต.จะไม่ถูกกล่าวอย่างที่ผ่านมา
ขณะที่เรื่องคุณสมบัติ กรธ.ก็นำคุณสมบัติตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติมาใส่ไว้ ซึ่งไม่ได้เขียนขึ้นใหม่ ดังนั้นเมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ก็คงไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว เพราะ กรธ.ไม่มีอำนาจ
นายมีชัย กล่าวว่า ทั้งนี้กรธ.จะนำความเห็นจากพรรคการเมืองและเจ้าหน้าที่สำนักงาน กกต.ไปพิจารณาทบทวนปรับแก้ ซึ่ง กรธ.ได้เริ่มทยอยแก้แล้วหลายเรื่อง โดยยืนยันว่าจะไม่ทำให้การเลือกตั้งตามโรดแมพต้องล่าช้าออกไป
สำหรับกฎหมายลูกอีก 8 ฉบับที่เหลือ รวมถึง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมด้วยว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิตสภา (ส.ว.) นั้นอาจต้องใช้เวลานาน เพราะรูปแบบการเลือกตั้งเป็นของใหม่ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ อีกทั้งต้องให้พรรคการเมืองและ กกต.ดำเนินการตามด้วย และยังต้องรอดูกฏหมายลูก 2 ฉบับแรกเพื่อให้พรรคการเมือง และกกต.มีความพร้อม ซึ่งระยะเวลาทั้งหมดจะขยับอยู่ในเวลา 8 เดือนที่กรธ.มีในการร่างกฏหมายลูก จะนานกว่านั้นไม่ได้ เว้นแต่พรรคการเมืองจะขอให้ กรธ.ชะลอไว้
อย่างไรก็ตาม เมื่อกฏหมายพรรคการเมืองบังคับใช้ คสช.คงพิจารณาอนุโลมให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้ ซึ่งวันนี้ก็เริ่มทยอยๆ พิจารณาบ้างแล้ว แต่ยังทบทวนเต็มที่ไม่ได้ เพราะไม่สามารถทราบได้ว่าเมื่อกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว กฏหมายพรรคการเมือง และกฏหมาย กกต.จะถูกแก้ไขอย่างไร
มีชัยยัน กม.พรรคการเมือง เพิ่มอำนาจประชาชน, ดิเรกชี้เหมือนคนหัวใจรั่ว
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า การประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมายังไม่ได้มีการหารือเรื่องการยกเลิกประกาศ คสช.ที่ห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองเกิน 5 คน แต่คาดว่าเมื่อถึงเวลาที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองประกาศใช้ คสช.คงจะพิจารณาเรื่องอนุญาตให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม
ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมายกำหนดกติกาให้พรรคการเมืองมีเรื่องต้องเร่งดำเนินการ กรธ.คงไม่ได้ไปเสนอให้ คสช.ปลดล็อค ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวริดรอนสิทธิของประชาชนและพรรคการเมืองนั้น ขอยืนยันว่าไม่ได้ริดรอนสิทธิ แต่กลับเป็นเพิ่มสิทธิให้ประชาชนเข้ามาเป็นเจ้าของพรรคการเมือง และมีสิทธิเพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง
ส่วนเรื่องทุนประเดิมพรรคการเมืองจำนวน 2,000 บาท ที่บางฝ่ายมองว่าเป็นเงินที่มากไปนั้น ส่วนตัวเห็นว่าเป็นเงินน้อยนิด หากจะมาตั้งพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองแต่ไม่มีสตางค์มาเป็นทุนเลยจะดำเนินการทางการเมืองได้อย่างไร เพราะการตั้งพรรคการเมืองจะต้องมีทุนพอสมควร
อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองไม่ได้มีความมุ่งหมายในการบีบพรรคเล็กและไม่ได้นำไปสู่การเอื้อต่อพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ แต่จะเป็นพรรคของประชาชน และถ้าจะตั้งพรรคการเมืองโดยให้คนเพียง 2-3 คนเป็นผู้จ่ายเงินแล้วจะเป็นพรรคการเมืองของประชาชนได้อย่างไร
"เราได้รับฟังจากทุกภาคส่วนแล้วจึงอยากให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชน ดังนั้นเราจึงเห็นว่าพรรคการเมืองจะเป็นของประชาชนได้ ประชาชนก็ต้องร่วมลงทุน เพราะขนาดจะไปทอดกฐินที่วัด คณะกรรมการร่วมทำบุญยังต้องใส่ซองออกเงินเลย" นายมีชัย กล่าว
สำหรับการสัมมนาในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ หากรับฟังความเห็นแล้วจะนำมาปรับแก้ประเด็นใดบ้าง นายมีชัย กล่าวว่า ขณะนี้ตนไปที่ไหนก็รับฟังหมด อย่างล่าสุดมีคนเสนอมาว่าการกำหนดให้สมาชิกพรรคการเมืองเก่าต้องชำระค่าสมัครสมาชิกภายใน 150 วันนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะกว่าจะติดต่อสมาชิกได้ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องนี้ก็รับฟังและเห็นว่ามีเหตุผล จึงคิดว่าอาจจะมาปรับแก้ในเรื่องของระยะเวลาที่อาจขยายออกไปอีกได้
ประธาน กรธ. กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ 2 พรรคการเมืองใหญ่ออกมาปฏิเสธที่จะร่วมสัมมนาในวันดังกล่าว ซึ่งการปฏิเสธก็ถือว่ายอมรับแล้ว และถ้าไม่มาร่วมสัมมนาก็ไม่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น แต่ถ้าพรรคการเมืองใดประสงค์จะส่งเอกสารข้อเสนอมาก็ยินดีรับฟังจนกว่าจะถึงวันที่ กรธ.ส่งร่างไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ขณะที่นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึง ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ว่า โดยหลักพรรคการเมืองต้องตั้งง่าย ให้ประชาชนมีส่วนร่วมทุกภูมิภาค ทุกระดับสาขาอาชีพ แต่หลายมาตราในร่าง พ.ร.บ.นี้ขัดหลักการ เช่น การกำหนดต้องให้สมาชิกพรรคจ่ายเงิน 100 บาทต่อปี เพิ่มสมาชิกพรรคให้ได้สี่หมื่นคนภายใน 4 ปี เงินจำนวนนี้เหมือนจะไม่มาก แต่คนที่ไม่มีคือไม่มี
ทั้งนี้ ต้องเข้าใจว่าคนจนนั้นมีอุดมการณ์ แค่ไม่มีเงิน หากใช้เงินเป็นตัวตั้ง พรรคการเมืองจะมีแต่สมาชิกคนรวย แต่ขาดกลุ่มชาวบ้านภูธรในพื้นที่ เป็นพรรคการเมืองที่ขัดหลักการการมีส่วนร่วมประชาชน และขจัดนายทุนครอบงำพรรคไม่ได้ ต้องให้ประชาชนเข้ามาร่วมด้วย นโยบายพรรคโดนใจ ได้ประโยชน์อะไรเมื่อสนับสนุนพรรคนั้นๆ เข้ามาเป็นรัฐบาล เป็นผู้ปกครองประเทศ ถ้าคนระดับล่างยังยากเข็ญ และประเทศก็จะพัฒนาไม่ได้
ส่วนการกำหนดโทษรุนแรงนั้นได้ ยิ่งแรงยิ่งดีสำหรับพวกทำทุจริต แต่ไม่ควรเหมารวมรุนแรงถึงขนาดทำผิดรายคนแต่ยุบทั้งพรรคเหมือนอดีต จะไม่มีใครได้ผุดได้เกิด จะเกิดการกลั่นแกล้งมีคดีให้สอบสวนกันไม่หวาดไหว ซึ่งวันนี้คนไทยยังแย่งอำนาจกันอยู่ การกลั่นแกล้งมันต้องเกิดแน่ คนอิจฉาริษยาจะมีวิธีกลั่นแกล้งแยบยลทุกที
"ผมชอบใจคำพูด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ที่อยากให้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์และมีความเป็นสากล แต่เมื่อดูรายละเอียด พ.ร.บ.พรรคการเมือง คงไม่ได้ดั่งใจนายกฯ แน่ ผิดมาตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ที่อำนาจไม่ได้มาจากประชาชนอย่างแท้จริง ถ้าเปรียบเหมือนตัวคน มี หู ตา จมูก แขน ขา ลำตัวสมบูรณ์แบบหมด แต่หัวใจมันรั่ว หัวใจคืออำนาจที่มาจากประชาชน มันไม่ได้มาจากประชาชนอย่างแม้จริง พอหัวใจรั่ว เป็นโรคหัวใจก็ตายไม่รอดแน่ มีชีวิตอยู่ไม่ได้นานหรอก มาวางยาแรงไล่หลัง ถ้าไม่ถูกหลัก ก็เข้าวังวนเกิดรัฐประหารอยู่ดี"นายดิเรก กล่าว
อินโฟเควสท์
สนช.มีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คอมพ์ฯ วาระ 2-3 รอประกาศใช้
ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันนี้มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในวาระ 2 และ 3 ด้วยคะแนนเสียง 168 เสียง งดออกเสียง 5 จากนี้จะต้องรอประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
โดยที่ประชุม สนช.ได้ปรับแก้ องค์ประกอบของคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เพื่อให้เกิดความคุ้มครองสิทธิของผู้ที่นำข้อมูลลงในระบบคอมพิวเตอร์ โดยเพิ่มจำนวนคณะกรรมการกลั่นกรองฯเป็น 9 คน ส่วนคุณสมบัติของภาคเอกชน 3 คน ที่เข้ามาร่วมเป็นกรรมการ จะมาจากภาคสิทธิมนุษยชนด้านสื่อสารมวลชนและด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ สนช.หลายคนยังได้ตั้งข้อสังเกต มาตรา 20 เรื่อง การให้อำนาจเจ้าหน้าที่ยื่นขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการเผยแพร่หรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบ เกี่ยวกับหลักปฏิบัติของ (4) มาตรา 21/1 กรณีการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งสังคมให้ความสนใจและมีข้อกังวลกลัวเจ้าหน้าที่จะใช้อำนาจเกินขอบเขต
พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กล่าวว่า ศาลจะเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจว่ากรณีใดเข้าข่ายความผิดหรือไม่ อย่างไร โดยมีคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์าพิจารณาให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาล หากพบว่ากรณีใดมีความผิดก็สั่งระงับการเผยแพร่หรือลบข้อมูล
พร้อมยืนยันว่า กมธ.รับฟังความเห็นทุกฝ่าย และย้ำว่าที่ผ่านมาได้เปิดเวทีรับฟังความเห็นมาตลอด ให้ความมั่นใจว่าไม่ได้มีเรื่องเชื่อมโยงเกี่ยวกับซิงเกิ้ลเกตเวย์อย่างที่หลายฝ่ายกังวลและหยิบยกมาเป็นประเด็นให้เกิดความสับสน
"ผมขอขอบคุณทุกความเห็น ร่างกฎหมายนี้ไม่ได้เรียกว่าผ่านฉลุย เราพิจารณาอย่างรอบคอบ ใช้เวลานาน ที่ผ่านมาก็เปิดรับฟังมาโดยตลอด ไม่คิดว่าเป็นคนละฝั่งหรือคนละพวกกัน"พล.ต.อ.ชัชวาลย์ กล่าว
อินโฟเควสท์
โฆษกรัฐฯ ยัน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ปี 59 ไม่ใช่ซิงเกิ้ลเกตเวย์ ชี้มีกลุ่มคนต้องการบิดเบือน วอนปชช.อย่าหลงเชื่อ
โฆษกรัฐบาล ยันร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ปี 59 ไม่ใช่ซิงเกิ้ลเกตเวย์ ชี้มีกลุ่มคนต้องการบิดเบือน สร้างกระแสคัดค้าน ยันมุ่งปรับปรุงให้ทันสมัยเพิ่มโทษให้เหมาะสม วอนประชาชนอย่าหลงเชื่อ
พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้มีบุคคลบางกลุ่มพยายามปลุกกระแสคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ที่ สนช.มีมติเห็นชอบให้ผ่านวาระที่ 2 ไปแล้วเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.59 และจะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 3 ในวันพรุ่งนี้ (15 ธ.ค.59) โดยเชื่อมโยงสาระสำคัญของกฎหมายเข้ากับแนวคิดซิงเกิ้ลเกตเวย์ในทำนองว่า จะเป็นกฎหมายล้วงข้อมูลส่วนบุคคล
“เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง และรัฐบาลยืนยันมาตลอดว่าไม่มีแนวคิดที่จะดำเนินการซิงเกิ้ลเกตเวย์แต่อย่างใด แต่คนกลุ่มนี้ก็พยายามสร้างกระแสต่อต้านโจมตีอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดข่าวสดออนไลน์ได้นำเสนอข่าวว่าเครือข่ายพลเมืองเน็ตได้ล่ารายชื่อผ่านเว็บไซต์ change.org เพื่อคัดค้านกฎหมายดังกล่าวแล้วกว่า 20,000 รายชื่อ”
พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เป็นร่างแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ปี 2550 ให้มีความทันสมัย เหมาะสมกับเวลาและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีสาระสำคัญที่แท้จริงคือการเพิ่มฐานความผิดและบทลงโทษให้ครอบคลุมเรื่องต่างๆ เช่น การเจาะทำลายระบบความมั่นคงของประเทศ ความผิดฐานส่งสแปมหรือ ข้อความที่ผู้รับไม่ได้ร้องขอ การนำเข้าข้อมูลเท็จ การเผยแพร่เนื้อหาหรือภาพตัดต่อที่ผิดกฎหมาย การให้ผู้กระทำผิดรับโทษตามกฎหมายอาญาอื่น ๆ ไม่เฉพาะแต่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เพียงอย่างเดียว เป็นต้น
“รัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า กฎหมายดังกล่าวจะช่วยคุ้มครองและสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ รวมทั้งรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ไม่ใช่การคุกคามสิทธิส่วนบุคคลตามที่มีการกล่าวอ้าง โดยขอให้กลุ่มผู้ไม่หวังดียุติพฤติกรรมบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือและสร้างความแตกแยกในทันที”พลโท สรรเสริญ กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด