โฆษก กรธ.เผย สนช.นัดพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ศาลรัฐธรรมนูญ 28 ก.ย.นี้
นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยว่า กรธ.ได้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ไปให้สภานิติบัญญัติ (สนช.) แล้ว ซึ่ง สนช.จะนัดพิจารณาวาระรับหลักการในวันที่ 28 ก.ย.นี้
สาระสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าว คือ ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่หลักในการพิจารณาคดีว่าด้วยความชอบของรัฐธรรมนูญในกฎหมายต่างๆ การดูแลองค์กรที่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญว่ามีความขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตลอดจนปัญหาคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
และหน้าที่ใหม่ของรัฐธรรมนูญปี 2560 คือ ให้คำปรึกษาข้อสงสัยขององค์กรที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญได้ก่อนที่จะเกิดข้อพิพาทระหว่างองค์กร เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจนบานปลายในอดีต เช่น กรณีเห็นต่างกันระหว่างคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในเรื่องการเลื่อนวันเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.2557
"ในร่างนี้ กรธ.กำหนดให้มีตุลาการ 9 คน มีองค์ประกอบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยต้องมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 7 คนในการทำหน้าที่ สำหรับบทเฉพาะกาลที่เกี่ยวพันถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ดำรงตำแหน่งอยู่เดิมนั้น กรธ.ยังยืนยันใช้หลักรีเซ็ต หรือให้คนเดิมที่มีคุณสมบัติครบตามรัฐธรรมนูญอยู่ต่อไปได้ ตามหลักที่ กรธ.ใช้กับองค์กรตามรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่" นายอุดม กล่าว
อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังกำหนดช่องทางที่ประชาชนสามารถยื่นคำร้องตรงไปยังศาลรัฐธรรมนูญในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญว่าจะยื่นได้ในกรณีที่ไม่มีศาล องค์กร หรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดังกล่าวให้โดยตรง หรือมีแต่ไม่ทำหน้าที่ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในอำนาจหรือการทำหน้าที่ รวมทั้งเกิดคดีล้นศาล ซึ่งเรื่องนี้เป็นหลักการใหม่ที่อาจมีข้อโต้แย้งได้มาก
ขณะเดียวกัน ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังได้เพิ่มบทบัญญัติการละเมิดอำนาจศาลให้กับศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมี โดยใช้หลักการเดียวกับศาลทั่วไปเป็นพื้นฐาน แต่ขยายให้คุ้มครองการป้องกันการวิจารณ์ศาลโดยไม่สุจริตให้ครอบคลุมถึงการใช้สื่อและสื่อสังคมออนไลน์ ตลอดจนการยุยงปลุกปั่นนำมวลชนมาล้อมกดดันศาลด้วย
นายอุดม กล่าวว่า ส่วนมาตรา 38 ของร่างกฎหมายฉบับนี้บัญญัติด้วยว่า "ศาลอาจมีคำสั่งให้บุคคลใด หรือกลุ่มบุคคลใดกระทำการหรืองดเว้นกระทำการ เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และรวดเร็ว..." โดยกำหนดมาตรการลงโทษไว้ในมาตรา 39 ตั้งแต่การตักเตือน ไล่ออกจากบริเวณศาล จนถึงการลงโทษจำไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
"ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลเดียวที่ยังไม่เคยมีการเขียนหลักการละเมิดอำนาจศาลมาก่อน เราคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญเองก็ควรทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ปราศจากการถูกครอบงำหรือถูกกระแสอำนาจข่มขู่ใด ๆ จึงต้องบัญญัติเรื่องนี้ไว้ แม้ว่าร่างฉบับนี้ยังไม่มีบทคุ้มครองพยานโดยเฉพาะ แต่เชื่อว่าหากมีความจำเป็นเนื่องจากคำร้องบางเรื่องเกี่ยวพันถึงการดำรงตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงทางการเมือง ทางศาลรัฐธรรมนูญก็สามารถร้องขอส่งพยานเข้าระบบการคุ้มครองพยานของศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วก็ได้" นายอุดม ระบุ
อินโฟเควสท์
สนช.ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ปี 61 ในวาระที่ 2-3
ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เป็นรายมาตราในวาระที่ 2 และเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในวาระที่ 3 ด้วยคะแนน 200 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง จากจำนวนองค์ประชุมทั้งหมด 203 คน พร้อมประกาศให้เป็นกฏหมายเพื่อบังคับใช้ต่อไปได้
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวภายหลังที่ประชุมผ่านวาระ 3 ประกาศใช้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2561เป็นกฎหมายว่า ร่าง พ.ร.บ.นี้ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาของประเทศ ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และผลักดันยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และนำไปแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม
พร้อมกันนี้จะนำข้อสังเกตต่างๆ ของสมาชิก สนช.ส่งต่อไปยังรัฐบาลเพื่อนำไปพิจารณาและเร่งดำเนินการตามความจำเป็น หากเรื่องใดเป็นเรื่องเร่งด่วนจะเร่งดำเนินการในทันที และขอรับรองว่า จะนำงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบนำไปเป็นเครื่องมือใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า คำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง คำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล และตามหลักกฏหมาย เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
ด้านนายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ชี้แจงถึงรายละเอียดการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 วงเงิน 2.9 ล้านล้านบาทว่า จะแบ่งเป็น งบรายจ่ายประจำ 74.2% งบรายจ่ายลงทุน 22.8% และรายจ่ายชำระเงินกู้ 3% และคงสัดส่วนรายได้ที่ 2.45 ล้านล้านบาท และวงเงินกู้ชดเชยการขาดดุล 4.5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้มีการปรับลดงบประมาณรายจ่ายลง 22,163 ล้านบาท แบ่งเป็น คณะกรรมการวิสามัญฯ ขอปรับลด 6,806 ล้านบาท อนุกรรมาธิการฝึกอบรม สัมมนาฯ ขอปรับลด 3,436 ล้านบาท และคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ที่ดิน สิ่งก่อสร้างฯ ขอปรับลด 11,920 ล้านบาท
พร้อมทั้งจัดสรรงบกลาง เพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็นประจำปี 2561 วงเงิน 76,566.3 ล้านบาท และเพิ่มงบกลางอีก 21,257.2 ล้านบาท รวมเป็น 97,823.5 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลที่มีการเพิ่มงบกลาง เนื่องจากนำมาใช้จ่ายในการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน และอาคารสถานที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่ได้การจัดสรรงบประมาณมากที่สุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.กระทรวงศึกษาธิการ ได้วงเงิน 5.07 แสนล้านบาท 2.งบกลาง จัดสรรวงเงิน 4.15 แสนล้านบาท 3.กระทรวงมหาดไทย วงเงิน 3.54 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนบูรณาการ ซึ่งได้จัดสรรงบประมาณเพื่อแผนงานส่งเสริมการกระจายอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วงเงิน 2.6 แสนล้านบาท แผนงานระบบประกันสุขภาพ วงเงิน 2.07 แสนล้านบาท และแผนพัฒนาระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ วงเงิน 1.11 แสนล้านบาท
อินโฟเควสท์
คกก.นโยบายความมั่นคง เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ 3 ฉบับ’ความมั่นคงแห่งชาติ-ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์–การต่อต้านก่อการร้าย’
พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมนโยบายด้านความมั่นคง ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมเป็นประธาน ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างนโยบายและร่างยุทธศาสตร์ รวม 3 ฉบับ เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติต่อไป
โดยฉบับแรก เป็นร่างนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่ง สมช.ได้จัดทำขึ้นตามกฎหมาย ครอบคลุมทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และภารกิจสำคัญของแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้รับทราบตรงกันว่ามีสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับใครบ้าง
ฉบับที่สอง เป็นร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่ปัจจุบันถูกใช้เป็นช่องทางการเคลื่อนไหวและสร้างความรุนแรง โดยร่างยุทธศาสตร์ฉบับนี้จะเป็นกรอบแนวทางให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนตระหนักถึงภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นว่าควรมีแนวทางปฏิบัติหรือแนวทางการป้องกันตนเองอย่างไร โดยเฉพาะจุดล่อแหลม เช่น สถาบันการเงินที่มีภัยคุกคามกระทบต่อการทำธุรกรรมทางการเงินจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) อยู่ระหว่างการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งจะมีการจัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบขึ้นมาโดยตรง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ส่วนฉบับที่สาม เป็นร่างยุทธศาสตร์การต่อต้านการก่อการร้าย เพื่อให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงภัยที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งมีการบัญญัติศัพท์ให้ทุกหน่วยงานให้เข้าใจตรงกันถึงความหมายของคำว่าการก่อการร้าย รวมไปถึงการกำหนดมาตรการตอบโต้ อินโฟเควสท์
สนช.ตั้ง 5 สมาชิกนั่งกมธ.ร่วม 3 ฝ่ายถกร่างกม.กกต. นัดแรก 3 ก.ค.
นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสนช.วันที่ 30 มิ.ย.นี้จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ในประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติคณะกรรมการสรรหาและกกต.เกินกว่ารัฐธรรมนูญกำหนด การให้อำนาจกกต.สั่งระงับ ยับยั้ง เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกการเลือกตั้งในแต่ละหน่วย รวมทั้งการออกเสียงประชามติที่ขัดกับเจตนารมของรัฐธรรมนูญ ให้อำนาจการจัดเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ชัดเจน การให้กกต.มอบอำนาจสอบสวนนั้นไม่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมถึงการเซตซีโร กกต.
สำหรับ คณะกรรมาธิการร่วมในสัดส่วนของสนช.จะมี 5 คน ประกอบด้วย 1.นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช.คนที่ 1 , 2.นายสมชาย แสวงการ ,3.นายตวง อันทะไชย , 4.พล.อ.ศุภวุฒิ อุตมะ และ 5.นพ.เจตน์
คณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายจะประชุมนัดแรกในวันที่ 3 ก.ค. และเมื่อพิจารณาเสร็จแล้วจะนำเข้าที่ประชุมสนช.ให้ความเห็นชอบต่อไป ซึ่งถ้าที่ประชุมไม่เห็นชอบต้องใช้มติมากกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกสนช. ซึ่งจะทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวตกไป
โฆษกวิปสนช. กล่าวว่า ส่วนความเคลื่อนไหวของร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าพรรคการเมืองนั้นที่ขณะนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์และคัดค้านระบบไพรมารีโหวตว่ามีปัญหาในการปฏิบัติที่ไม่อาจทันเวลา ต้องรอดูว่ากกต. และกรธ. จะส่งความเห็นแย้งมาหรือไม่ แต่ส่วนตัวคิดว่า ควรมีบทเฉพาะให้ไพรมารีโหวตใช้ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป ยังไม่ใช้กับการเลือกตั้งครั้งนี้
อินโฟเควสท์
สนช.ลงมติเสียงข้างมาก 161 ต่อ 15 เห็นชอบเซ็ทซีโร่ กกต. แต่ยังให้ทำหน้าที่จนกว่าจะมีชุดใหม่
ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วานนี้ (9 มิ.ย.) ลงมติเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 177 ต่อ 1 คะแนน นอกจากนี้ สนช.ยังมีมติเสียงข้างมาก 161 ต่อ 15 คะแนน เห็นด้วยกับมาตรา 70 ของร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ที่ว่าด้วยการให้ กกต.ชุดปัจจุบันพ้นจากตำแหน่ง แต่ให้ทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมี กกต.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่
สำหรับ ขั้นตอนต่อไป หลังจากร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผ่านความเห็นชอบจาก สนช.แล้ว จะต้องส่งให้ กกต. และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) พิจารณาว่าร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ที่สนช.แก้ไขนั้น ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยทั้ง กกต.และ กรธ.จะต้องพิจารณาให้เสร็จและส่งมากลับมาให้ประธานสนช.ภายใน 10 วันตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 267
นายตวง อันทะไชย ประธานคณะกมธ.วิสามัญฯ กล่าวว่า การพิจารณาของคณะกมธ.วิสามัญฯ ได้ยึดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เป็นสำคัญ โดยพิจารณาแล้วเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดโครงสร้างของ กกต.ใหม่ทั้งหมด ทั้งในเรื่องจำนวนของกรรมการ หรืออำนาจหน้าที่ในการทำงานเพื่อตรวจสอบการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงเห็นว่าควรต้องปรับเปลี่ยน กกต.ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
อินโฟเควส
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด