สมคิด เผยปี 62 รัฐบาลจัดสรรงบฯให้เกิดการกระจายรายได้-เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 62 รัฐบาลที่มีกรอบวงเงินจำนวน 3 ล้านล้านบาทนั้น รัฐบาลได้จัดสรรเป็นงบประมาณด้านยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศจำนวน 400,000 ล้านบาท และงบประมาณเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจรากหญ้าของประเทศ 400,000 ล้านบาท เพื่อทำให้เกิดการกระจายรายได้และร่วมสร้างอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศ
"รัฐบาลมีเวลาในการทำงานอีก 8 เดือนนับจากนี้ โดยทุกหน่วยงานจะต้องเร่งดำเนินการร่วมขับเคลื่อนประเทศไทย การเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศไทย และขอฝากรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารต่อควรให้ความสำคัญในการออกนโยบายที่เน้นการพัฒนาเรื่องของความยั่งยืน และให้ความสำคัญกับอนาคต ไม่ใช่ให้ความสำคัญกับผลความพอใจของโพลล์เป็นหลัก หรือมีอะไรก็จะจำนำอย่างเดียว ซึ่งเป็นนโยบายที่ไม่ได้สร้างความยั่งยืนของประเทศในอนาคต" นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวว่า อยากให้นักวิชาการที่มีความศักยภาพเข้ามาร่วมทำงานด้านการเมือง และเข้ามาพัฒนาประเทศ ไม่ใช่ออกมาแสดงความคิดเห็นเพื่อวิพากษ์วิจารณ์เพียงอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครกล้าเข้ามาทำงานด้านการเมือง
'นายกฯ แจงงบประมาณปี 62 คาด GDP ขยายตัว 3.9-4.9% จากการใช้จ่ายในปท.-ลงทุนเอกชนและรัฐหนุน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ชี้แจงหลักการและเหตุผลของ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยระบุว่า ในปี 2562 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.9-4.9% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญจากการใช้จ่ายในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือน รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชน และความคืบหน้าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการก่อสร้าง ตลอดจนการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เติบโตได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า
ทั้งนี้ ประเมินว่าในปี 2562 อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 0.9-1.9% และมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 6.3% ของจีดีพี โดยวางกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายในปี 2562 ไว้ที่ 3.0 ล้านล้านบาท ประมาณการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่ 2.55 ล้านล้านบาท และกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่ 4.5 แสนล้านบาท
"ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ที่รัฐบาลนำเสนอต่อท่านสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวันนี้ เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติที่สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันทั้งภายในและภายนอก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
สำหรับ งบประมาณรายจ่ายในปี 2562 จำนวน 3.0 ล้านล้านบาท จำแนกออกเป็น รายจ่ายประจำ 2,261,488.7 ล้านบาท คิดเป็น 75% รายจ่ายลงทุน 660,305.8 ล้านบาท คิดเป็น 22% และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 78,205.5 ล้านบาท คิดเป็น 2.6% โดยจัดสรรตามยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 1.ด้านความมั่นคง 329,239.6 ล้านบาท 2.ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 406,496.0 ล้านบาท 3.ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน 560,884.9 ล้านบาท 4.ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างการเติบโตจากภายใน 397,581.4 ล้านบาท 5.ด้านการจัดการน้ำและสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 117,266.0 ล้านบาท 6.ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ 838,422.2 ล้านบาท และ 7.รายการค่าดำเนินการภาครัฐ เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 350,109.9ล้านบาท
"การจัดทำงบประมาณฯ ปี 2562 รัฐบาลได้กำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจนว่ากระทรวงและส่วนราชการต่างๆ ต้องให้ความสำคัญกับการนำกรอบทิศทางของร่างยุทธศาสตร์ชาติ และแผนลำดับรองที่มีอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 และนโยบายความมั่นคงมาใช้ พร้อมน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณฯ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการปรับกำลังคนภาครัฐตามแนวทางการปฏิรูปราชการนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ เพราะมีกิจกรรมเกิดใหม่ที่จำเป็นต้องอาศัยบุคลากร ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา และมีแผนงานที่จะใช้งบประมาณให้เหมาะสมที่สุด สิ่งที่รัฐบาลทำเพื่ออนาคตของประเทศในวันข้างหน้า โดยตรวจสอบอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต
"ผมตรวจทุกวัน ถ้าอันไหนไม่เหมาะสมก็ให้กลับไปทำมาใหม่ ผมอ่านทุกวัน ให้ไว้ใจกันตรงนี้นะครับ ไม่ใช่ผมให้ส่งเดชไปเรื่อย ใครขอมาก็ให้ วันหน้านายกรัฐมนตรีต้องเป็นแบบนี้ ต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรม ต้องดูให้ทั่วถึง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้แสดงให้เห็นว่าทุกภาคได้เงินใกล้เคียงกัน เป็นรัฐบาลของคนทั้งประเทศ ให้คนทั้งประเทศได้รับประโยชน์ ไม่ได้ให้เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปฏิรูปประเทศนั้นได้ทำแผนและทำเป็นกฎหมายออกมาแล้ว การปฏิรูปประเทศไทยนั้นมีปัญหาเรื่องงบประมาณไม่เพียงพอและการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างต้องใช้เวลา เหมือนกับต่างประเทศเวลาการปฏิรูปประเทศก็ใช้เวลาหลายปี อย่างจีนก็เปลี่ยนมาเป็น 1 ประเทศ 2 ระบบ แต่ประเทศไทยระบบเดียวยังทำไม่ได้เลย เพราะทะเลาะกันไม่เลิก ซึ่งเป็นปัญหามาหลาย 10 ปีแล้ว มันต้องแก้ตรงนี้ แก้ให้ได้ก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งการเลือกตั้งเป็นไปตามโรดแมพที่กำหนดไว้แล้วทั้งสิ้น
"ขอให้ช่วยกันปฏิรูป บางทีประเทศไทยไม่กลัวกฎหมายเพราะประชาธิปไตย ถามว่าถูกต้องหรือไม่ คนรุ่นใหม่ต้องมีขีดจำกัด ไม่ใช่จะรื้อทุกอย่างได้ ทำทุกอย่างได้ ซึ่งต้องสร้างเสริมต่อสิ่งดีๆของเรา ไม่ใช่ทำสิ่งใหม่ๆที่มันแย่ลงไปหมด การเลือกตั้งก็ต้องเลือกให้ดี เพราะอนาคตของท่าน ไม่ใช่ของผม ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะมาผมก็ไม่รู้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยู่มา 4 ปีแล้ว นี่เป็นปีที่ 4 แล้วที่แถลง ส่วนตัวและคณะรัฐมนตรีก็เห็นว่าทุกอย่างมีการพัฒนาทั้งหมด ตนเองอยากให้ทุกคนช่วยอ่านหนังสือเรื่องการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 เพื่อช่วยกันคิดว่าจะพัฒนาอย่างไรให้ประเทศไทยเดินหน้า ดังนั้น หวังว่า สนช.จะสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ และขอให้ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่อไปร่วมกันเดินหน้าประเทศไทยให้ถึงทุกกลุ่ม และต้องไม่ให้เกิดช่องว่างหรือความเหลื่อมล้ำเพื่อลดความยากจน
"ขอขอบคุณประธาน สนช.และสมาชิก สนช. ถ้าผมพูดอะไรแรงไปก็ขอโทษด้วย ผมก็คือผม ความเป็นมนุษย์สูงหน่อย นายกรัฐมนตรี คือ ตำแหน่ง ดังนั้นจะมาหมิ่นตำแหน่งนายกฯไม่ได้ ถ้าจะด่าก็ด่าผมได้ แต่ถ้าผมเป็นนายกฯอยู่ เวลาด่าผม ก็กรุณาระวังหน่อยแล้วกัน ตำแหน่งนายกฯเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ ผมอยากรักษาให้ตำแหน่งนี้มีเกียรติ และต้องขอขอบคุณคณะรัฐมนตรีที่ร่วมทำงานมาอย่างสาหัส" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ แจงงบประมาณปี 62 คาด GDP ขยายตัว 3.9-4.9% จากการใช้จ่ายในปท.-ลงทุนเอกชนและรัฐหนุน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ชี้แจงหลักการและเหตุผลของ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยระบุว่า ในปี 2562 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.9-4.9% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญจากการใช้จ่ายในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือน รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชน และความคืบหน้าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการก่อสร้าง ตลอดจนการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เติบโตได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า
ทั้งนี้ ประเมินว่าในปี 2562 อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 0.9-1.9% และมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 6.3% ของจีดีพี โดยวางกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายในปี 2562 ไว้ที่ 3.0 ล้านล้านบาท ประมาณการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่ 2.55 ล้านล้านบาท และกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่ 4.5 แสนล้านบาท "ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ที่รัฐบาลนำเสนอต่อท่านสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวันนี้ เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติที่สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันทั้งภายในและภายนอก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
สำหรับ งบประมาณรายจ่ายในปี 2562 จำนวน 3.0 ล้านล้านบาท จำแนกออกเป็น รายจ่ายประจำ 2,261,488.7 ล้านบาท คิดเป็น 75% รายจ่ายลงทุน 660,305.8 ล้านบาท คิดเป็น 22% และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 78,205.5 ล้านบาท คิดเป็น 2.6% โดยจัดสรรตามยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 1.ด้านความมั่นคง 329,239.6 ล้านบาท 2.ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 406,496.0 ล้านบาท 3.ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน 560,884.9 ล้านบาท 4.ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างการเติบโตจากภายใน 397,581.4 ล้านบาท 5.ด้านการจัดการน้ำและสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 117,266.0 ล้านบาท 6.ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ 838,422.2 ล้านบาท และ 7.รายการค่าดำเนินการภาครัฐ เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 350,109.9ล้านบาท
"การจัดทำงบประมาณฯ ปี 2562 รัฐบาลได้กำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจนว่ากระทรวงและส่วนราชการต่างๆ ต้องให้ความสำคัญกับการนำกรอบทิศทางของร่างยุทธศาสตร์ชาติ และแผนลำดับรองที่มีอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 และนโยบายความมั่นคงมาใช้ พร้อมน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณฯ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการปรับกำลังคนภาครัฐตามแนวทางการปฏิรูปราชการนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ เพราะมีกิจกรรมเกิดใหม่ที่จำเป็นต้องอาศัยบุคลากร ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา และมีแผนงานที่จะใช้งบประมาณให้เหมาะสมที่สุด สิ่งที่รัฐบาลทำเพื่ออนาคตของประเทศในวันข้างหน้า โดยตรวจสอบอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต
"ผมตรวจทุกวัน ถ้าอันไหนไม่เหมาะสมก็ให้กลับไปทำมาใหม่ ผมอ่านทุกวัน ให้ไว้ใจกันตรงนี้นะครับ ไม่ใช่ผมให้ส่งเดชไปเรื่อย ใครขอมาก็ให้ วันหน้านายกรัฐมนตรีต้องเป็นแบบนี้ ต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรม ต้องดูให้ทั่วถึง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศทุกวันนี้ยังมีอยู่มาก ซึ่งทุกคนจะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้หมดไปก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นตามโรดแมพที่ได้กำหนดไว้แล้ว
อินโฟเควสท์
ครม.พิจารณางบปี 62 วงเงินรายจ่าย 3 ล้านลบ./โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งเลื่อนมาประชุมในวันนี้ (28 พ.ค.)แทน เนื่องจากวันพรุ่งนี้ (29 พ.ค.) เป็นวันวิสาขบูชา สำหรับวาระที่น่าสนใจ ได้แก่ กระทรวงการคลัง จะเสนอร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 วงเงิน 3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 จำนวน 1 แสนล้านบาท หรือ 3.4% รายได้ อยู่ที่ 2.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 1 แสนล้านบาท หรือ 4.1% ทั้งนี้จะขาดดุลงบประมาณ 4.5 แสนล้านบาท สัดส่วนต่อจีดีพี 2.6% มีกรอบวงเงินกู้สูงสุดเพื่อชดเชยการขาดดุล 6.62 แสนล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนหน้า 2%ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาเห็นชอบ ก่อนส่งให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ต้องติดตามว่ากระทรวงการคลังจะเสนอที่ประชุมเห็นชอบขยายเวลาการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม จาก 10% เหลือ 7% ออกไปอีก 1 ปี หลังจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. 61 นี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่อเนื่อง
กระทรวงคมนาคม เสนอครม.พิจารณาอนุมัติโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323.10 กิโลเมตร ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แล้ว โดยมีวงเงินลงทุน 76,978 ล้านบาท เพื่อเปิดประมูลก่อสร้างต่อไป ซึ่งตามแผนจะสร้างเสร็จในปี 2566
สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอขอขยายระยะเวลาการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในเขตพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ยกเว้นสุไหงโก-ลก,พื้นที่จังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอ เบตง และจังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอแม่ลาน ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2561จนถึงวันที่ 19 กันยายน 2561
อีกทั้ง ได้เสนอขอปรับลดพื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ออกจากพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามราชกำหนด เพื่อนำมาตรการตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาบังคับใช้แทน เนื่องจาก กอ.รมน. ได้ประเมินแล้วพบว่าพื้นที่สุไหงโก-ลกจังหวัดนราธิวาส ผ่านเกณฑ์ตามตัวชี้วัดการประเมิน
อินโฟเควสท์
รัฐบาลเดินหน้าสู่รัฐบาลดิจิทัล ปักหมุดสถานที่ราชการ กว่า 60,000 จุด ทั่วประเทศ
นายกปักหมุด'ทำเนียบ' เป็นสถานที่ราชการที่ประชาชนสามารถหาพิกัดดิจิทัล และรับทราบข้อมูลการให้บริการผ่าน แอพพลิเคชัน CITIZENinfo พร้อมเร่งส่วนราชการร่วมปักหมุดครบ 60,000 จุดให้เสร็จสิ้น มิ.ย.นี้ โดยประชาชนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลบริการภาครัฐแบบครบวงจร
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร. เปิดเผยว่า การปักหมุดระบุพิกัดตำแหน่งทางดิจิทัลของทำเนียบรัฐบาลผ่านแอปพลิเคชัน CITIZENinfo ในวันนี้ เป็นความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และกรมการปกครอง ตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการบริการภาครัฐ ภายใต้โครงการยกเลิกสำเนาเอกสารราชการ (No Copy) และการพัฒนาระบบการประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งข้อมูลที่ได้จะแสดงบนแอพพลิเคชันที่ประชาชนสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานบริการภาครัฐ รวมทั้งทราบสถานะว่าหน่วยงานใดบ้างที่ยกเลิกการขอสำเนาเอกสารทางราชการจากประชาชนที่เข้ามาใช้บริการ เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลและภาครัฐเอาจริงกับการให้บริการแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้สำเนาเอกสาร มีการทำงานแบบบูรณาการเชื่อมโยงกัน มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อนำไปพัฒนาบริการต่อไป
ทั้งนี้ หลังจากมีการประชุมชี้แจงการดำเนินงานฯ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่ามีหน่วยงานภาครัฐและจุดบริการที่ต้องปักหมุดรวมทั้งสิ้นกว่า 60,000 จุด ซึ่งทุกหน่วยงานได้ให้ความสำคัญเร่งดำเนินการ ‘ปักหมุด’ ผ่านระบบกันอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีหน่วยงานที่ปัดหมุดจุดให้บริการเรียบร้อยแล้วเกือบ 40,000 จุดทั่วประเทศ และตั้งเป้าว่าการปักหมุดของหน่วยงานภาครัฐจะต้องเสร็จสิ้นในเดือนมิถุนายนนี้
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาแอปพลิเคชัน CITIZENinfo นี้ จะช่วยให้ประชาชนทราบตำแหน่งและเส้นทางการเดินทางไปยังจุดให้บริการของภาครัฐ พร้อมแสดงรายละเอียดงานบริการ ขั้นตอนและเอกสารที่ประชาชนต้องจัดเตรียมเพื่อเข้ารับบริการ ณ จุดบริการนั้น ๆ ซึ่งได้เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบศูนย์กลางข้อมูลคู่มือสำหรับประชาชน พร้อมทั้งแสดงสถานะสำเนาเอกสารที่ยังคงต้องเรียกจากประชาชนในแต่ละจุดบริการ ที่สำคัญสามารถแสดงความเห็นและให้คะแนนความพึงพอใจต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐภายหลังเข้าใช้บริการได้ทันที โดยทุกความคิดเห็นจะนำมาพัฒนางานของภาครัฐให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนให้ตรงใจมากที่สุด
นอกจากจะมีการนำพิกัดตำแหน่งของหน่วยงานราชการมาใช้เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชัน CITIZENinfo แล้ว จะมีการเปิดเผยชุดข้อมูลพิกัดตำแหน่งจุดให้บริการของหน่วยงานภาครัฐเป็นข้อมูลเปิดเพื่อให้ประชาชนนำไปใช้ประโยชน์ได้ทางเว็บไซต์ data.go.th ซึ่งเป็นแหล่งค้นหาชุดข้อมูลเปิดภาครัฐต่อไปด้วย
Click Donate Support Web
ครม.ตีกลับขยับเพิ่มค่าโดยสารรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.ตีกลับการปรับเพิ่มค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สั่งเจรจากับภาคเอกชนผู้ให้สัมปทานบริการเดินรถ เพราะหาก ครม.เห็นชอบตามข้อเสนออาจเข้าข่ายความผิดสัญญา ต้องประกาศให้ประชาชนรับทราบ 1 เดือน ก่อนปรับเพิ่มราคา จากกำหนด 2 ก.ค.61 ต้องขยับราคาใหม่ แต่ รฟม. เพิ่งเสนอมาบรรจุวาระเสนอให้ ครม.พิจารณา ดังนั้นขั้นตอนประกาศให้ประชาชนรับทราบ 30 วัน ก่อนปรับเพิ่มราคา จึงไม่สามารถดำเนินการได้และเลื่อนการปรับเพิ่มราคาออกไปก่อน จึงมอบหมายให้ รฟม. เจรจากับเอกชนเพิ่มเติม
“กระทรวงคมนาคม ได้เสนอปรับเพิ่มค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หากนั่งระยะทาง 5,8,11 สถานีจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 1 บาท ยกเว้นค่าโดยสารให้คนพิการ และเด็ดความสูงไม่เกิน 90 เซ็นติเมตร สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เด็กความสูงไม่เกิน 120 เซ็นติเมตร เก็บค่าโดยสารครึ่งราคา”นายณัฐพร กล่าว
ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบ ตามข้อเสนอกระทรวงคมนาคม ให้บริษัทครัวการบินกรุงเทพฯ จำกัด และบริษัทแอลเอสจี สกายเชฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบอาหารให้บริการบนสายการบิน จากเดิมทำสัญญากับ ทอท. ให้บริการสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ยังมีศักยภาพเพิ่มเติม เอกชนทั้งสองราย จึงขยายกิจการให้บริการสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นสนามหลักอีกหนึ่งแห่งเพิ่มเติม ด้วยการสัดสรรส่วนแบ่งรายได้ให้กับ ทอท.ร้อยละ 12 เท่ากับสนามบินสุวรรณภูมิ โดย BAC มีกำลังผลิตอาหารได้ 35,000 มื้อต่อวัน แต่ผลิตส่งสนามบินสุวรรณภูมิ 27,433 มื้อต่อวัน ส่วน LSG มีกำลังการผลิตอาหาร 25,000 มื้อต่อวัน แต่ผลิตส่งสนามบินสุวรรณภูมิ 12,376 มื้อต่อวัน.-สำนักข่าวไทย
รัฐบาลเชิญเอกอัคราชฑูตทั่วโลก รับฟังข้อมูล EEC
รัฐบาลเชิญเอกอัคราชฑูตทั่วโลก รับฟังข้อมูล EEC ยืนยันไม่มีรายชื่อในใจ พร้อมเปิดกว้างประมูลโครงการขนาดใหญ่โปร่งใส รองรับความต้องการเอกชนใช้ไทยเป็นศูนย์กลางลงทุนในภูมิภาค
นายกอบศักดิ์ ภู่ตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC ) ได้คืบหน้าไปมาก ทั้งกฎหมายรองรับการดำเนินลงทุน จึงทำให้สำนักงานEEC มีผลบังคับใช้ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จึงทำให้สำนักงาน EEC มีกำหมายรองรับเพื่อขับเคลื่อนโครงการอย่างเต็มที่ ทั้งรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ศูนย์กลางการบินภาคตะวันออก รถไฟทางคู่ ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังเฟส 3 ศูนย์ซ่อมอากาศยาน โรงเรียนวิศวกรรม การฝึกอบรมช่างอากาศยาน EECi และ ดิจิตอลปาร์ค โครงการเหล่านี้มีความคืบหน้าไปมา
สำหรับ 5 โครงการสำคัญในพื้นที่พัฒนาอีอีซี ที่รัฐบาลเร่งผลักดันให้สำเร็จในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnerships : PPP) ซึ่งประกอบด้วย 1.สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 2.ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา 3.รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (อู่ตะเภา สุวรรณภูมิ ดอนเมือง) 4. ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และ 5.ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 รวมวงเงินลงทุนทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 6 แสนล้านบาท คาดจะสามารถเร่งรัดให้ได้ผู้ชนะการประมูลทั้ง 5 โครงการภายในปีนี้ หลังจากโครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ได้เริ่มประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าลงทุน เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเปิดประมูลในช่วงปลายปีน้ีหรือต้นปีหน้าให้ได้อย่างแน่นอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
“ยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีราชื่อเอกชนรายใดรายหนึ่งอยู่ในใจ จึงต้องการเชิญเอกอัครราชฑูตประจำประเทศไทย ช่วยไปบอกภาคเอกชนของต่างชาติ ยื่นประมูลโครงการลงทุนด้านต่างๆ เพราะการเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้ง ต่างสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะต้องการให้ไทยเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางในภูมิภาค ช่วง 20-30 ปี ข้างหน้า ต่างชาติจึงเตรียมแผนเข้ามาขยายการลงทุนอย่างมากในขณะนี้” นายกอบศักดิ์ กล่าว
กระทรวงการต่างประเทศ จึงร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มีกำหนดจัดการบรรยายสรุปให้แก่คณะผู้แทนทางการทูตและกงสุลที่ประจำการในประเทศไทย เกี่ยวกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกในหัวข้อThe Eastern Economic Corridor (EEC) : Taking Off ในวันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 61 เวลา 10.00-12.00 น. ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยเชิญ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงภาพรวม กฎหมายรองรับ กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงแผนการลงทุน นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ชี้แจงแผนลงทุน ความคืบหน้า และนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นผู้บรรยายสรุปแนวทางส่งเสริมการลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจกับนักลงทุนต่างประเทศ
รัฐบาลมีแผนดูแลผู้สูงอายุ เล็งเพิ่มเบี้ยยังชีพ - เตรียมความร้อมแรงงานสูงอายุกลับเข้าตลาด
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน"ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า ปัจจุบันนี้รัฐบาลมีมาตรการที่ครอบคลุมเพื่อดูแลและสนับสนุนการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ โดยมีแผนงานระยะยาวในการดูแลสุขภาพและพัฒนาทักษะผู้สูงอายุร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิแผนจัดหางานให้ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2560 – 2564 และแผนสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 ขณะเดียวกันในด้านสวัสดิการ รัฐบาลมีการอุดหนุนเงินยังชีพของผู้สูงอายุ เดือนละ 600 – 1,000 บาท อย่างต่อเนื่อง โดยดูแลให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี
"รัฐบาลมีการอุดหนุนเงินยังชีพของผู้สูงอายุ เดือนละ 600 – 1,000 บาท อย่างต่อเนื่อง และเพื่อดูแลให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี ปัจจุบัน เรามีอยู่ประมาณ 2 ล้านคน รัฐบาลได้เตรียมเดินหน้าผลักดันการเพิ่มเงินยังชีพผู้สูงอายุ ให้เพียงพอต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นรายละ 1,200 บาท ถึง 1,500 บาท อีกด้วย อย่างไรก็ตามเราต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องของงบประมาณไว้ด้วย"
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาแรงงานผู้สูงอายุ ในกรณีที่ประสงค์จะกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยได้ตั้งเป้าให้ผู้สูงอายุมีงานทำเพิ่ม 39,000 อัตรา โดยเฉพาะในชนบทผ่านวิสาหกิจชุมชน พร้อมมาตรการจูงใจให้องค์กรต่างๆ เข้าร่วมสนับสนุนด้วย รวมทั้ง การเพิ่มจำนวนสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ ถือเป็นการดูแลผู้สูงอายุอย่างครอบคลุมในทุกมิติดังนั้น จะเห็นว่าการปฏิรูปในภาพรวมของประเทศนี้ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ดิจิทัล กฎหมายและข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data)มีส่วนสำคัญต่อการกระจายความเจริญและรายได้สู่ท้องถิ่นทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่องแต่อาจต้องอาศัยเวลาและความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศอย่างรอบด้าน
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด