'สมคิด'ดึงนลท.จีนพบนายกฯหวังเพิ่มมูลค่าการค้าไทย-จีนแตะ 1 แสนล.เหรียญตามเป้า
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการกล่าวปาฐกถาพิเศษภายในงานสัมมนา ‘Thailand-China Business Forum 2018:Comprehensive Strategic Partnership through the Belt and Road Initiative and the EEC’ว่า เตรียมนำคณะนักลงทุนจากจีนเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือถึงความร่วมมือในการลงทุน จาก 10 ปีก่อนหน้านี้ มูลค่าการค้าไทย-จีนอยู่ที่ 3-5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และปัจจุบันอยู่สูงถึง 7-8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และเชื่อว่ามูลค้าการค้าระหว่างการจะแตะ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐได้ตามเป้าหมาย
สำหรับ งานสัมมนา "Thailand-China Business Forum 2018:Comprehensive Strategic Partnership through the Belt and Road Initiative and the EEC นับว่าเป็นคนที่เข้าร่วมมากสุด ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ที่ต้องจดจำไว้ โดยเป็นเรื่องน่ายินดี และชื่นชม ที่นำคณะรัฐวิสาหกิจ ผู้นำเอกชน ซึ่งคนไทยรู้สึกทราบซึ้ง ซึ่งการมาในครั้งนี้สะท้อนความเน้นแฟ้นเชิงพี่น้องมากกว่าธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ขอแสดงความยินดีกับจีนในทุกมิติ เพราะจีนยังมีโมเมนตัมการเติบโตเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการวิพากวิจารณ์ที่ผ่านมา แต่จีนก็ยังดำเนินธุรกิจในแบบฉบับตัวเอง มีความมั่นใจ และใช้จุดแข็งประเทศสร้างชาติให้มีความมั่นคง ไม่หวั่นไหวกับคำวิจารณ์ โดยในขณะนี้ความสำเร็จปรากฎแล้ว และไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าจะมีประเทศไหนเปรียบเทียบกับจีนได้ในด้านการพัฒนา
และจีนได้ก้าวมาเป็นเสาหลักอาเซียน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้ ในขณะที่ตะวันตกอ่อนแรง จีนก็ได้แก้ปัญหาความยากจน และ ความเลื่อมล้ำ ตลอดจนสร้างความเจริญไปยังชนบทให้กลายเป็นผู้มีอำนาจซื้อ และยกระดับการแข่งขันในประเทศ ตลอดจนสร้างผู้ประกอบการใหม่ และรูปแบบธุรกิจใหม่
ความสำเร็จ One Belt One Road (OBOR) มุ่งเน้นประโยชน์ส่วนร่วม ซึ่งโครงการมีความก้าวหน้าไปมากอย่างทางรถไฟจีนลงใต้ หรือ ลาวมาไทย ซึ่งกำลังประมูลการก่อสร้างรถไฟไทยจีน และได้มีการปรึกษากันในรายละเอียด โดยจีนจะเป็นแกนนำหลัก
“2 ปีที่ผ่านมาไทยอยูในช่วงสำคัญในการปฏิรูปประเทศ สร้างเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ โดยที่ผ่านมาไทยมีปัญหาขัดแย้ง แต่ตอนนี้เศรษฐกิจกำลังเดินหน้า และได้ก้าวข้ามความถดถอย สู่การขยายตัวที่สมบูรณ์ โดยจีดีพีไทยไล่มาตั้งแต่ 0.9% 2.9% 3.2% 3.9% ในปี 60 และ ครึ่งปีนี้สูง 4.8% ซึ่งการบริโภค การลงทุน ฟื้นตัวต่อเนื่อง การลงทุนภาครัฐและเอกชนก็ฟื้นตัว การท่องเที่ยว และการส่องออกอาจเจอสงครามการค้าโลก แต่ด้วยทุนสำรองที่อยู่ในระดับสูงจะทนต่อความผันผวนตลาดเงินได้”นายสมคิด กล่าว
สำหรับ การลงทุนเอกชนในพื้นที่ EEC ปี 59-61 มีโครงการลงทุน 822 รายการ มูลค่า 7 แสนล้านบาท คิดเป็น 47% ของมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น โดย 10 ปีก่อนการลงทุนในเขต EEC อยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาจีนมาลงทุนแล้ว 6 หมื่นล้านบาท
ส่วนความร่วมมือในขณะนี้จะเห็นได้ว่ากลุ่ม CLMVT มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และ มีการจัดมาสเตอร์แพลนภูมิภาคนี้เป็นครั้งแรก โดยขณะนี้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค เฉลี่ยอยู่ที่ 7-8% ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา มีประชาชน และ ชนชั้นกลาง ตลอดจนมีมาสเตอร์แพลนที่แตกต่างกันออกไป แต่ขณะนี้จะสร้างความเชื่อมโยงทุกมิติ รวมถึงด้านคมนาคม จึงมีความต้องการให้มีการร่วมมือกัน ทั้งความคิด การท่องเที่ยว การค้า การลงทุน การศึกษา ร่วมสร้างบุคลากร เพื่ออนาคตของภูมิภาคนี้ ซึ่งไทยยินดีที่จะเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างจีนกับภูมิภาคนี้เพื่อพัฒนาและก่อให้เกิดการลงทุน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยปี 60 มีการค้าร่วมกัน 7.36 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 12% และ 6 เดือนปีนี้การค้าสูงถึง 3.93 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ซึ่งเชื่อว่าการค้า และ การลงทุนจะมีมากขึ้นหลังจากนี้
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
รัฐมนตรีฯ อุตตม ร่วมสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 ผลักดัน EEC เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย
รัฐมนตรีฯ อุตตม ร่วมสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 ผลักดัน EEC เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงานสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 Comprehensive Strategic Partnership Through the Belt and Road Initiative and the EEC พร้อมด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐของจีน คณะผู้บริหารระดับสูงภาครัฐ เจ้าหน้าที่ และภาคเอกชน จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าร่วม ณ โรงแรม Marriott Marguis Queen's Park
การลงทุนของประเทศจีนในปัจจุบันนั้น มีความแตกต่างไปจากเดิม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของโลก การลงทุนจากประเทศจีนจึงมีมิติในการสร้างความเข้มแข็งโดยการรวมตัวของภูมิภาคด้วยระบบโลจิสติกส์ให้เชื่อมโยงระหว่างกัน ด้วยนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ของประเทศจีน ได้กลายเป็นพลังสำคัญที่ทำให้กลุ่มประเทศอาเซียนกลายเป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงภูมิภาคสำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยจึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจให้มีความเชื่อมโยงกับนโยบาย BRI โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งนักลงทุนจากประเทศจีนให้ความสนใจที่จะลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อการลงทุน เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการรองรับการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
สำหรับ งานสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 Comprehensive Strategic Partnership Through the Belt and Road Initiative and the EEC นี้ ได้รับความสนใจจากบริษัท นักลงทุน และผู้ประกอบการจากประเทศจีน เข้าร่วมกว่า 400 คน
นายกรัฐมนตรี ย้ำ ชวนผู้ประกอบอาชีพอิสระ สมัครออมเงินกับ กอช. ได้เงินสมทบจากรัฐ สะสมเป็นหลักประกันด้านบำนาญ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำ ชวนผู้ประกอบอาชีพอิสระ สมัครออมเงินกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ได้เงินสมทบจากรัฐ สะสมเป็นหลักประกันด้านบำนาญ โดยประชาชนอายุ 15-60 ปี ที่ไม่ได้เป็นข้าราชการหรือพนักงานประจำภาคเอกชน สามารถสมัครเป็นสมาชิก กอช. ได้ตลอด ไม่มีปิดรับสมัคร ด้านนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ ยกระดับการบริการการออมผ่านระบบดิจิทัลตามนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” อำนวยความสะดวกให้กลุ่มเป้าหมายและสมาชิกเข้าถึงการออมกับ กอช. ได้ง่ายขึ้นผ่าน “แอป กอช.” เพิ่มจุดบริการให้กระจายครอบคลุมทุกพื้นที่ให้ได้มากที่สุดทั่วประเทศ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเยี่ยมชมบูธกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ในงาน Thailand Social Expo 2018 และงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่นประจำปี 2561 พร้อมย้ำให้ กอช. กระตุ้นให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ สมัครเป็นสมาชิกออมเงินกับ กอช. เพราะจะได้รับเงินสมทบจากรัฐด้วย เป็นสวัสดิการพื้นฐานในการสร้างหลักประกันด้านบำนาญ โดย กอช. เป็นกองทุนที่มีความสำคัญของชาติ เป็นนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ รวมถึงผู้ที่ยังไม่ได้รับสวัสดิการตามระบบบำเหน็จบำนาญของรัฐ หรือไม่ได้อยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคเอกชนที่มีนายจ้างจ่ายสมทบแล้ว ให้ได้รับการดูแลด้านสวัสดิการบำนาญจากรัฐผ่าน กอช. และเป็นส่วนหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
ทั้งนี้ กอช. ยังเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาสังคมในยุค 4.0 ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อกำหนดแนวทางดูแลสวัสดิการประชาชนทั้งระบบ ครอบคลุมทั้งเรื่องนโยบายสุขภาพถ้วนหน้า การศึกษาฟรี กองทุนเพื่อพัฒนาสังคมในด้านต่างๆ และ กอช.
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า ทาง กอช. ได้ยกระดับการส่งเสริมการออมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นมา กอช. สามารถเพิ่มช่องทางการอำนวยความสะดวกให้กลุ่มเป้าหมายและสมาชิกเข้าถึงการออมกับ กอช. ได้ง่ายขึ้นผ่าน'แอป กอช.'ซึ่งเป็นการยกระดับบริการผ่านระบบดิจิทัลตามนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0”และการเพิ่มจุดบริการให้กระจายครอบคลุมทุกพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ผ่านความร่วมมือจากเครือข่ายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยกระตุ้นให้ นักเรียน นักศึกษา และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ได้รู้จัก กอช. มากขึ้น และสมัครเป็นสมาชิก กอช. รับเงินสมทบจากรัฐเพื่อบำนาญ รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้เป็นสมาชิก กอช. ได้ส่งเงินออมอย่างต่อเนื่อง สร้างวินัยการออมเงิน ทำให้มีเงินบำนาญที่เพียงพอไว้ใช้กับการดำรงชีพเบื้องต้นในวัยเกษียณ
โดยผลการยกระดับการขับเคลื่อน กอช. ทำให้มีประชาชนรู้จัก กอช. มากขึ้น รวมทั้งมีผู้เข้ารับสิทธิ์รัฐสมทบเงินออมเพื่อบำนาญ โดยสมัครสมาชิก กอช. เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้เป็นสมาชิก กอช. ได้เข้าถึงข้อมูลการออมเงินง่ายขึ้น ทำให้เห็นความเคลื่อนไหวการออมของตนเอง สามารถวางแผนการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถส่งเงินออมได้อย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางที่สะดวกขึ้นทั้งระบบดิจิทัลและจุดบริการ กอช. ทั่วประเทศ ซึ่ง กอช. ยังมีแนวทางที่จะพัฒนาขับเคลื่อนการส่งเสริมการออมอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการสร้างสังคมแห่งการออมและเป็นหน่วยงานของรัฐที่สำคัญในการช่วยให้ประชาชนได้รับสวัสดิการรัฐด้านเงินสมทบเพื่อบำนาญอย่างทั่วถึง
ผู้ที่สามารถสมัครเป็นสมาชิกของ กอช. ได้ต้องเป็นบุคคลที่มีอายุ 15-60 ปี และเป็นไปตามเงื่อนไขของ กอช. และสามารถตรวจสอบสิทธิของการสมัครได้ที่แอพพลิเคชั่น'กอช.'ทั้งแอนดรอยและไอโอเอส หรือที่เว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กอช. ได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
นายกฯ ปลื้มธนาคารโลกจัดไทยอยู่อันดับ 32 ด้านโลจิสติกส์ในปี 61 พอใจการแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน"ว่า ถือเป็นเรื่องน่ายินดีในเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เนื่องจากธนาคารโลกประกาศผลการจัดลำดับความสามารถด้านโลจิสติกส์ ประจำปี 2561 โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 32 จาก 160 ประเทศทั่วโลก ดีขึ้น 13 อันดับ และถือเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน และอันดับ 7 ของเอเชีย
"เราได้มาอย่างนี้ ไม่ได้มาโดยง่าย แต่เป็นผลสัมฤทธิ์เชิงประจักษ์ของการบริหารงานอย่างมียุทธศาสตร์ และเอาจริงเอาจังของรัฐบาล และทุก ๆ ฝ่ายที่ร่วมมือกัน 2 ปีที่ผ่านมา เราได้ขับเคลื่อนแผนงาน และจัดสรรงบประมาณในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ จนสามารถมองเห็นเป็นรูปธรรมได้ เห็นอนาคต ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทยของเรา รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง หรือแม้กระทั่งเส้นทางที่ไม่เคยมีรถไฟวิ่ง ก็ต้องมีแผนงานทั้งหมด ท่าเรือ ขยายสนามบินเพิ่มเติม อะไรต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ได้รับการพิจารณาการประเมินไปด้วย" นายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมขอว่าอย่ากังวลในเรื่องของการลงทุนในโครงการต่างๆ ที่ตัวเลขงบประมาณอาจจะดูว่าสูงมาก แต่รัฐบาลมีกฎกติกามีกฎหมายควบคุมไม่ให้เกิดหนี้สาธารณะเกินกว่า 60% ตามที่ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ได้กำหนดไว้อยู่แล้ว
นายกฯ พอใจการแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ ชี้ประสบผลสำเร็จมากสุดในรอบ 19 ปี
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร โดยได้รับรายงานว่าคณะอนุกรรมการเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้สินสามารถตกลงปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ และเข้าซื้อหนี้ของเกษตรกรจากสถาบันการเงินเจ้าหนี้ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สหกรณ์การเกษตร และธนาคารพาณิชย์ทั่วไป รวมประมาณ 36,000 ราย มูลค่าหนี้ราว 6,000 ล้านบาท โดยจะลดยอดหนี้แต่ละรายลง 50% และหยุดดอกเบี้ย ระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลสำเร็จมากที่สุดตั้งแต่ตั้งกองทุนมาในปี 2542
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเกษตรกร จึงได้ตั้งคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ เมื่อเดือน พ.ค.60 เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินและพัฒนาอาชีพให้กับเกษตรกร แทนคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูตาม พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ.2542 ซึ่งประสบปัญหาไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตั้งแต่ปี 2549-2557 แก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรไปได้เพียง 29,000 รายเท่านั้น จากจำนวนสมาชิกเกษตรกรที่ลงทะเบียนหนี้สินไว้ราว 460,000 ราย
"นายกฯ เน้นย้ำว่าเมื่อเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ได้แล้ว จะต้องส่งเสริมให้เกษตรกรลูกหนี้มีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถชำระหนี้ตามสัญญาใหม่ได้ โดยกำชับให้สำนักงานกองทุนฯ ไปหาแนวทางฟื้นฟูอาชีพร่วมกับธ.ก.ส. และกรมส่งเสริมการเกษตรต่อไป" พล.ท.สรรเสริญกล่าว
ทั้งนี้ กองทุนฯ จะร่างระเบียบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ ใหม่ และเปิดรับลงทะเบียนเกษตรกรเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาหนี้สินเป็นระยะเวลา 60 วัน ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.เป็นต้นไป จากปกติที่เปิดให้ขึ้นทะเบียนทุกปี ตั้งแต่เดือน ม.ค. - มิ.ย. ซึ่งในปีนี้ยังไม่ได้เปิดรับลงทะเบียน นอกจากนี้ จะยกเลิกเพดานวงเงินช่วยเหลือที่กำหนดไว้รายละไม่เกิน 2.5 ล้านบาท เพราะเกษตรกรบางคนมีหนี้สินมากกว่า ซึ่งจะต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไป โดยหลังจากที่เกษตรกรขึ้นทะเบียนแล้ว จะดำเนินการแยกประเภทหนี้ให้มีความชัดเจนโดยเร็ว
อินโฟเควสท์
นายกฯ มอบนโยบายทูต-กงสุลประเทศเพื่อนบ้านร่วมพัฒนาภูมิภาคให้เติบโตไปพร้อมกัน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำประเทศเพื่อนบ้าน กับผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนแบบเต็มคณะ ในหัวข้อ "ความร่วมมือเพื่อพัฒนาชายแดนที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน" จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการทำงาน และเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายไทยนิยม ยั่งยืน
โดยเน้นการหารือเพื่อพัฒนาคุณภาพจังหวัดชายแดนและเสริมความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะรับฟังข้อเสนอของเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเพื่อนบ้าน 5 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม และมาเลเซีย รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดตามแนวชายแดน จำนวน 32 จังหวัด โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เข้าร่วมประชุม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การดำเนินงานทุกอย่างจะต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจ และมีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเท่าเทียม ลดความหวาดระแวงระหว่างกัน แล้วจับมืออย่างอบอุ่นเดินไปด้วยกัน ที่สำคัญการจับมือจะต้องมีความจริงใจ ไม่ใช้สื่อโซเซียลมีเดียมาโจมตีกัน ดังนั้นเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ และผู้ว่าราชการจังหวัดตามแนวชายแดนจะต้องเรียนรู้ปัญหาแต่ละประเทศ เพราะสมัยนี้เปลี่ยนจากสนามรบเป็นสนามการค้าแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อรู้เขาและรู้เราแล้ว ต้องหาความต้องการให้ตรงกันให้ได้ รวมถึงถ่ายทอดแนวทางการทำงานของประเทศไทยไปยังหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้ได้รับทราบด้วย เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ถือว่าประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศในระดับดีเยี่ยม ซึ่งคือการทำงานของประเทศไทย ขออย่าเอาประเด็นอื่นๆ มาเกี่ยวข้องกัน แต่ต้องทำความเข้าใจการค้า การลงทุนต่างๆ ที่ไทยกับต่างประเทศจะพัฒนาเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งจะออกมาในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี รวมถึงทำความเข้าใจหลักการบริหารและการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ ที่ดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ ยังได้ให้แนวทางเรื่องการทำงานอย่างไร้รอยต่อ ทั้งในด้านของการเชื่อมโยงคมนาคม การท่องเที่ยว โดยจะต้องปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการต่างๆ ซึ่งแต่ละหน่วยงานย่อมรู้ดีว่ายังมีข้อติดขัดใดบ้างที่เป็นการขัดขวางการปฏิรูปประเทศ จึงขอให้หน่วยงานเสนอการแก้ไขขึ้นมายังรัฐบาล เพื่อที่จะได้ดำเนินการในเรื่องใหม่ๆ ขึ้นมา
นายกรัฐมนตรี ยังฝากให้ติดตามการเปลี่ยนแปลงผู้นำรุ่นใหม่ในหลายประเทศ โดยอยากให้มีการศึกษาแนวคิดใหม่ๆ ของแต่ละประเทศ ที่ส่วนใหญ่มาจากประเทศตะวันตกที่มีประชาธิปไตย รวมถึงประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม เพื่อนำไปสู่การเจรจาและข้อตกลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว หรือกำลังจะเกิดขึ้นใหม่ ต้องติดตามและแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งบางประเทศมีข้อตกลงจำนวนมาก หากล้าสมัยก็จะต้องยกเลิก ซึ่งต้องหาแนวทางการพูดคุยกับประเทศเหล่านี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ฝากให้ไปพิจารณางบประชาสัมพันธ์เพื่อสังคม หรือ CSR ที่จะต้องไม่ซ้ำซ้อนและใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า โดยอยากให้ส่วนงานของรัฐบาลไปเติมเต็มภาคเอกชนในรูปแบบประชารัฐ และอยากให้คำนึงถึงรูปแบบการทำงานและความเป็นอัตลักษณ์ของอาเซียนที่ทำให้อยู่รอดได้มาจนถึงวันนี้ ซึ่งอาเซียนมีวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนชาติตะวันตก ที่แม้เปลี่ยนรัฐบาล นโยบายบางอย่างอาจปรับเปลี่ยนไม่มาก จึงอยากให้นำมาศึกษา
สิ่งสำคัญที่สุดคือนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลนี้ คือทำอย่างไรประเทศไทยจะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่อาเซียนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่คำกล่าวอ้าง โดยจะต้องสร้างความเข้มแข็งไปด้วยกัน และให้ประเทศไทยเป็นผู้นำแห่งอาเซียนให้ได้ ขณะที่ในปีหน้าไทยจะเป็นประธานและเจ้าภาพการจัดประชุมสุดยอดอาเซียนจะต้องมีการชี้แจงว่าสิ่งไหนเป็นอุปสรรคก็ต้องหารือร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหา โดยต้องทำในวันนี้ และการประชุมจะต้องถูกจัดขึ้นและขออย่าให้เกิดปัญหาเหมือนการจัดประชุมที่ไทยเป็นเจ้าภาพที่ผ่านมาที่ไม่สามารถจัดการประชุมได้
พร้อมย้ำว่า การทำงานของรัฐบาลในเรื่องต่างประเทศทุกครั้งจะมีการประชุมและนำภาคเอกชนร่วมเดินทางไปด้วยทุกครั้ง เพื่อนำข้อเสนอและอุปสรรคในการลงทุนของแต่ละประเทศไปนำเสนอให้กับผู้นำได้รับทราบ พร้อมชี้แจงอุปสรรคในการลงทุน ซึ่งบางครั้งต่างประเทศไม่ได้รับทราบปัญหา โดยเอกอัครราชทูตและเจ้าหน้าที่จะต้องมีการเขียนหนังสืออย่างรอบคอบและเหมาะสม พร้อมที่จะนำเสนอต่างประเทศ
นายกรัฐมนตรี ยังฝากให้แต่ละหน่วยงานมีบิ๊กดาต้า หรือฐานข้อมูลเป็นของตนเอง ซึ่งจะต้องเป็นข้อมูลที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านตัวเลข หรือยอด GDP ทั้งหมด และนำมาจัดเป็นกลุ่ม เพื่อที่จะได้มีข้อมูลและตัวเลขที่ชัดเจน นำไปสู่การขับเคลื่อนและปฏิบัติได้จริง
นายกรัฐมนตรี ฝากให้ทุกคนใช้กลไกใหม่ๆ ในการทำงาน เพื่อทำให้ประเทศไทยมีที่ยืนในเวทีโลกและอยู่ในจุดที่ดีขึ้น การตรวจสอบจากองค์กรต่างประเทศก็ต้องดีขึ้นเช่นกัน เพื่อยกระดับประเทศไทย ขณะเดียวกันการทำงานจะต้องมีแบบแผนปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติ รูปแบบประชารัฐ และไทยนิยม ยั่งยืน พร้อมชี้แจงทำความเข้าใจว่าทุกอย่างไม่ใช่ประชานิยมและการต่อท่ออำนาจแน่นอนแต่อย่างใด
อินโฟเควสท์
นายกฯ ยันยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงิน-คลัง เป็นตัวขับเคลื่อนศก.ประเทศ
นายกฯ เผยยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงิน-คลัง เป็นตัวขับเคลื่อนศก.ประเทศ ลั่นต้องใช้กองทุนหมุนเวียนให้เกิดประสิทธิภาพ - ใช้จ่ายงบประมาณรัฐ และแผ่นดินต้องคุ้มค่า
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ปี 2561 ว่า กองทุนหมุนเวียนถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ แต่ทั้งนี้ การนำทุนหมุนเวียนมาใช้จะต้องมีการบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์กับประชาชนสูงสุด และในปัจจุบันยังเชื่อว่า นโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง ยังมีความจำเป็นในการขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และแผ่นดินจะต้องคุ้มค่า เนื่องจากประเทศมีงบประมาณจำกัด และมาจากภาษีของประชาชนด้วย
“กองทุนหมุนเวียนเป็นอีกเครื่องมือในการสนองนโยบายต่างๆของประเทศ และการบริหารจัดการกองทุนนั้นจะต้องให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีประสิทธิภาพ โดยการดำเนินการจะต้องนึกถึงประชาชนในทุกระดับ ดูแลคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย และการจัดทำรางวัลดังกล่าว ถือเป็นการประเมินผลงานในการทำงานของกองทุนด้วย ดังนั้น ผู้บริหาร หรือ กองทุนที่ไม่ได้รับรางวัล จะต้องเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานต่อไป
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการนำทุนหมุนเวียนไปใช้เป็นเครื่องมือสำคัญของภาครัฐในการตอบสนองนโยบายด้านต่างๆ ของประเทศ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารและพัฒนาประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อเป็นบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เท่าเทียมกัน การสร้างโอกาสและพัฒนาอาชีพแก่เกษตรกรให้ยั่งยืน
นอกจากนี้ การจัดประชารัฐสวัสดิการ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน เพื่อศักยภาพและพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคม เช่น กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน กองทุนการท่าอากาศยานอู่ตะเภา กองทุนส่งเสริมการให้เอกชนลงทุนในกิจการของรัฐ เป็นต้น และเพื่อให้การดำเนินงานในทุกบทบาทภารกิจของทุนหมุนเวียนเห็นผลเป็นรูปธรรม และสามารถพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการ จึงต้องมีการประเมินผลการปฏิบัติการ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด