รองนายกรัฐมนตรีผลักดันรัฐวิสาหกิจขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2562
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จัดสัมมนาผู้บริหารสูงสุดรัฐวิสาหกิจ หรือ 'SOE CEO Forum'ครั้งที่ 3 ในวันที่ 13 มีนาคม 2562 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้บริหารสูงสุด (CEO) ของรัฐวิสาหกิจทั้ง 56 แห่ง เข้าร่วมการสัมมนา SOE CEO Forum ในครั้งนี้ ซึ่ง SOE CEO Forum เป็นการสัมมนาที่ได้จัดให้มีอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารนโยบายต่างๆ รวมทั้งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง CEO ของรัฐวิสาหกิจ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ระหว่างกัน
นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการ สคร. เปิดเผยว่า ในการสัมมนา SOE CEO Forum ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารให้ CEO ของรัฐวิสาหกิจรับทราบสถานการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน และเตรียมความพร้อมต่อความท้าทายปัจจุบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งให้รัฐวิสาหกิจเสนอแนะและให้ความเห็นต่อการพัฒนาประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ โดยที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจถือเป็นกลไกหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการลงทุน การดำเนินนโยบายรัฐบาล และการนำส่งรายได้แผ่นดิน รวมทั้งมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2560 รัฐวิสาหกิจมีสินทรัพย์รวมจำนวน 15 ล้านล้านบาท เติบโต 25% จากปี 2556 และมีผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยมีกำไรสุทธิจำนวน 4 แสนล้านบาท เติบโต 21% ทำให้รัฐวิสาหกิจสามารถนำส่งรายได้แผ่นดินสูงถึง 1.6 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23% จากปี 2556
นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจยังเป็นส่วนสำคัญของการลงทุนภาครัฐ โดยในปี 2561 รัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายงบลงทุน 3.8 แสนล้านบาท เติบโต 70% จากปี 2556 อีกทั้งรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินโครงการที่สำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นให้แก่เศรษฐกิจของประเทศด้วย เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การดำเนินโครงการลงทุนที่สำคัญในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) การสนับสนุนการท่องเที่ยวของประเทศ และการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในปี 2562 มีความท้าทายต่อการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ อาทิ เรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง สงครามทางการค้า รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของประชาชน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฝากให้รัฐวิสาหกิจร่วมมือกันและเตรียมความพร้อมต่อความท้าทายต่างๆ โดยให้ใช้ Technology และ Big Data ให้มากขึ้น เพื่อให้ยังคงเป็นกำลังสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติต่อไปได้ และให้ สคร. สนับสนุนการทำงานของรัฐวิสาหกิจในเชิงรุกอย่างเต็มที่ในฐานะ Active Partner
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของรัฐวิสาหกิจในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2558 - 2561 อัตราการเติบโตของ GDP ขยายตัวอย่างต่อเนื่องมากจนทำให้ปี 2561 ประเทศไทยมี GDP เท่ากับ 4.1% จากที่ในปี 2557 ที่ GDP เติบโตต่ำกว่า 1% จากการลงทุนและการดำเนินโครงการที่สำคัญตามนโยบายรัฐบาลของรัฐวิสากิจ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้รัฐวิสาหกิจยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานต่างๆ ตามยุทธศาสตร์ชาติ ดังนี้
1. สานต่อการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานการลงทุนใน EEC และการพัฒนาการให้บริการแก่ประชาชนตามภารกิจ
2. เร่งรัดสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้สามารถสนับสนุนการดำเนินการตามภารกิจ เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการสาธารณะแก่ประชาชนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งลงทุนและพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจให้เติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
3. เร่งการพัฒนาการบริหารจัดการโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้มากขึ้น และให้มีการใช้ข้อมูลที่มีร่วมกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ แก่ประชาชน
4. ร่วมมือกันให้มากขึ้นในการพัฒนาการทำงาน ลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน มีการแบ่งปันความรู้และทรัพยากรและสร้างนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้กลุ่มรัฐวิสาหกิจมีความเข้มแข็งมากขึ้นในการพัฒนาประเทศ
5. ขอให้รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพพิจารณาสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ที่เกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้สามารถต่อยอดในการพัฒนางานต่างๆ ของรัฐวิสาหกิจ
Click Donate Support Web
นายกฯเผย GDP ไทยขยายตัวต่อเนื่องจนปี 61 ขยายตัว 4.2% สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของโลกที่ชะลอตัวเหลือ 3.7%
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ "ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า รายงานผลการพัฒนาของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประเทศในรอบ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – พ.ศ. 2561) มีความแข็งแกร่ง ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จาก 1% ในปี 2557 ขึ้นมาจนถึง 4.2% ในปี 2561 สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของโลกที่ชะลอตัวเหลือ 3.7% มูลค่า GDP ของไทยเพิ่มขึ้นจาก 13 ล้านล้านบาท ในปีแรกของรัฐบาลเป็น 16 ล้านล้านบาท ในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอกที่เป็นความเสี่ยง ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและปัญหาสงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐฯและจีน ตลอดจนปัญหาการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (BREXIT) และอัตราดอกเบี้ยโลก ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกับไทยและทุกภูมิภาค การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเป็นแหล่งบ่มเพาะอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรม New S-Curve ในช่วงที่ผ่านมา มากกว่า 7 แสนล้านบาท ทั้งในส่วนการลงทุนภาครัฐ และการลงทุนร่วมภาคเอกชน (PPP)
นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่จะสร้างความได้เปรียบในเชิงแข่งขัน บนพื้นฐานของนวัตกรรมและการสร้างมูลค่า นโยบาย Thailand Plus 1 เชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนและประชาคมอื่นๆ
การส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมช่วยให้มีผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องจาก 39.7% ในปี 2559 มาอยู่ที่ 42.6% ในปี 2561 ประเทศที่พัฒนาแล้วต้องมีสัดส่วน SME อยู่ที่ 60-70%
เร่งลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่สำคัญ กว่า 2.44 ล้านล้านบาท พื้นที่ชลประทาน เพิ่มขึ้นเกือบ 3 ล้านไร่ การบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติและเปิดประมูลสัมปทานที่จะหมดอายุ ลดต้นทุนพลังงานของประเทศ 5 แสนล้านบาท รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานรากในชุมชน ท้องถิ่น เช่น การทำเกษตรกรรมแปลงใหญ่ บนพื้นที่กว่า 5.4 ล้านไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมกว่า 3 แสนราย โครงการไทยนิยมยั่งยืน ยังเป็นกลไกการขับเคลื่อนตั้งแต่ระดับชาติสู่ระดับพื้นที่ ให้พัฒนาตนเอง ดูแลหนี้สินนอกระบบ กฎหมายขายฝาก แก้ปัญหาที่ดินและน้ำเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนทั้งโครงการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว คลอบคลุมเกษตรกรรม การประมง และปศุสัตว์ รวมทั้งการค้าขายปลีก ช่องทางการขาย การทำการตลาด การขนส่ง การท่องเที่ยวของไทยติดอันดับ 1 ของโลกและเป็นอันดับ 4 ของประเทศที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด ช่วง 10 ปี 2551 - 2561 นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจาก 14 ล้านคน เป็น 40 ล้านคน ซึ่งไทยต้องเฝ้าระวังผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะตามมา ทั้งการจัดการขยะ ความปลอดภัย การใช้ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
อินโฟเควสท์
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนธันวาคม และไตรมาสที่ 4 ปี 2561
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้ว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจประจำเดือน ธันวาคม 2561 จะมีสัญญาณชะลอตัวอยู่บ้าง ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกสินค้าที่หดตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลก ขณะที่การใช้จ่ายภายในประเทศยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของรายได้เกษตรกรในช่วงปลายปี 2561 บวกกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังขยายตัวเร่งขึ้นในไตรมาสสุดท้าย ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกยังอยู่ในเกณฑ์ดีและรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้”
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนธันวาคม และไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ว่า “เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้ว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจประจำเดือนธันวาคม 2561 จะมีสัญญาณชะลอตัวอยู่บ้าง ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกสินค้าที่หดตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลก ขณะที่การใช้จ่ายภายในประเทศยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของรายได้เกษตรกรในช่วงปลายปี 2561 บวกกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังขยายตัวเร่งขึ้นในไตรมาสสุดท้าย ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกยังอยู่ในเกณฑ์ดีและรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้” โดยมีรายละเอียดสรุป ได้ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชน ในเดือนธันวาคม และไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ในเดือนธันวาคม 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.8 ต่อปี ขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 เดือน โดยเป็นการขยายตัวจากในเขตภูมิภาคที่ขยายตัวร้อยละ 7.5 ต่อปี ขณะที่ในเขต กทม. หดตัวร้อยละ -3.5 ต่อปี และทำให้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่หดตัวร้อยละ -0.2 ต่อปี และภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 0.9 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ทำให้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ขยายตัวร้อยละ 5.8 ต่อปี ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง หดตัวร้อยละ -2.7 ต่อปี
อย่างไรก็ดี ภาพรวมในไตรมาสที่ 4 ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวร้อยละ 6.8 ต่อปี สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ระดับ 66.3 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยลบจากภาคการส่งออกที่หดตัว อย่างไรก็ดี ยังคงมีปัจจัยบวกได้แก่ ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐทั้ง ช็อปช่วยชาติ เที่ยวเพื่อชาติ และเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน ในเดือนธันวาคม 61 ขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร และการลงทุนในหมวดก่อสร้าง ทำให้ในไตรมาสที่ 4 ขยายตัวได้ดี โดยการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ขยายตัวชะลอลงจากเดือนก่อนเล็กน้อยที่ระดับร้อยละ 16.5 ต่อปี ทำให้ไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ปริมาณจำหน่วยรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 24.9 ต่อปี สอดคล้องกับยอดจำหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่ขยายตัวร้อยละ 16.4 ต่อปี สำหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้าง ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ หดตัวที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี นับเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 ทำให้ไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศขยายตัวที่ร้อยละ 5.6 ต่อปี
อย่างไรก็ดี ภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ยังคงขยายตัวที่ร้อยละ 10.5 ต่อปี ทำให้ในไตรมาสที่ 4 ภาษีธุรกรรมอสังหาฯ ขยายตัวร้อยละ 9.4 นอกจากนี้ สำหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง อยู่ที่ระดับ 107.2 คิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 0.5 ต่อปี จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดกระเบื้องสูงขึ้นร้อยละ 3.5 ต่อปี ทำให้ไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 1.0 ต่อปี
อุปสงค์จากต่างประเทศผ่านการส่งออกสินค้าในเดือนธันวาคม และไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ยังคงส่งสัญญาณชะลอตัว โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนธันวาคม 2561 มีมูลค่า 19.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัวที่ร้อยละ -1.72 ต่อปี อย่างไรก็ดี การส่งออกในตลาดสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และ อาเซียน ยังคงขยายตัว สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้ามีมูลค่า 18.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนธันวาคม 2561 กลับมาเกินดุลจำนวน 1,065 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 การส่งออกมีมูลค่า 62.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่อปี
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานในเดือนในเดือนธันวาคม 61 ได้รับแรงสนับสนุนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและสถานการณ์การท่องเที่ยวเป็นสำคัญ โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ขยายตัวร้อยละ 3.1 ต่อปี จากหมวดพืชผลสำคัญและหมวดประมงที่ขยายตัวร้อยละ 5.5 และ 2.0 ต่อปีตามลำดับ ส่งผลให้ไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรหดตัวเล็กน้อยที่ -0.1 ต่อปี นอกจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทย ในเดือน ธันวาคม 2561 มีจำนวน 3.8 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 7.7 ต่อปี ทำให้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 4.3 ต่อปี จากการขยายตัวของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย เป็นสำคัญ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวประเทศอื่นยังคงขยายตัวได้ดี ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวจีนที่กลับมาขยายตัวเป็นบวก ประกอบกับนักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์ และอินเดียยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สำหรับรายได้จากการท่องเที่ยวต่างประเทศในเดือนธันวาคม 2561 มีมูลค่า 204.0 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 8.3 ต่อปี
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) อยู่ที่ระดับ 93.2 เป็นการปรับลดลงโดยมีสาเหตุมาจากการเร่งผลิตสินค้าในเดือนพฤศจิกายนเพื่อชดเชยก่อนวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลปีใหม่ รวมถึงความกังวลของผู้ประกอบการต่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ส่งผลให้ ไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) อยู่ที่ระดับ 93.3
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2561 อยู่ที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ตามการลดลงของราคาพลังงาน และการชะลอตัวของราคาอาหารสด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี ทำให้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.8 และ 0.7 ตามลำดับ สำหรับ อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ โดยในเดือนธันวาคม 2561 อัตราว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกำลังแรงงานรวม ปรับตัวต่ำสุดในรอบ 24 เดือน หรือคิดเป็นผู้ว่างงาน 3.5 แสนคน และไตรมาสที่ 4 ปี 2561 อัตราว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกำลังแรงงานทั้งหมด ตามลำดับ
ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 41.8 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งเพดานไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ต่อ GDP ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ เดือนธันวาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 205.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3.2 เท่า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ แถลงผลงาน 4 ปี ชูศก.โต - ดันโครงสร้างพื้นฐาน - ลดเหลื่อมล้ำ
นายกฯ แถลงผลงานรัฐบาล ชู 4 ปีดันเศรษฐกิจโต ดันประเทศมีขีดความสามารถการแข่งขันสูงขึ้น พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน - โครงการใหญ่ ปราบทุจริต หนุนความสัมพันธ์ตปท. พร้อมลดความเหลื่อมล้ำ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานแถลงผลการดำเนินงานปีที่ 4 ของรัฐบาลว่า 4 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นจากโต 1.0% ในปี 57 เป็น 4.3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 61 และทั้งปี 61 คาดว่าจะขยายตัว 4.2% ส่วนปี 62 คาดว่าจะโต 4% อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำที่ 1.2% หนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 41.7% อยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ 60% และมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 201.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศปี 61 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 48 ดีขึ้นกว่าปี 25
โดยผลงานที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้ปัญหาเร่งด่วน ทั้งการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น เศรษฐกิจขยายตัว ดัชนีชี้วัดและการจัดอันดับต่างๆ ดีขึ้นอย่างชัดเจน มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างชัดเจน ส่วนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ได้เดินหน้าสร้างประเทศชาติให้มั่นคง ประชาชนมีความสุข ปลอดภัยและมีความสงบเรียบร้อย การควบคุมสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง โดยทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชนกลับมาเป็นปกติ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน(ICAO) ปลดใบเหลืองการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย(IUU)
ด้วยการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและคมนาคมทั้งทางบก ทางอากาศ และทางน้ำ วงเงินรวมกว่า 2.4 ล้านล้านบาท, การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ), ส่งเสริมการส่งออกซึ่งในปี 61 ขยายตัวถึง 7.3%, ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ อาทิ การจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง รวมทั้งสิ้น จำนวน 79,598 กองทุน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และมีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI วงเงินรวม 8,818.5 ล้านบาท,
การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีกระบวนการพูดคุยสันติสุข ที่ต้องทำให้สังคมโลกเห็นว่าเราทำตามมาตรฐานสากล ด้านการต่างประเทศช่วง 4 ปีที่ผ่านมาตนได้สร้างความภาคภูมิใจและสร้างการยอมรับมากขึ้น ซึ่งการเยือนต่างประเทศก็ได้ไปครบทุกภูมิภาค ไปถึง 64 ครั้ง รวมถึงประเทศที่เป็นประชาธิปไตยก็ตอบรับอย่างดี ประเทศไทยยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานการประชุมอาเซียนในปี 62 นี้ ณะที่ การท่องเที่ยวย้ำว่าคนเข้ามามากขึ้น
ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของคนไทย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14.5 ล้านคน แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ราว 1.2 ล้านคน โครงการบ้านประชารัฐต่างๆ ปัญหาหนี้สินเกษตรกรใช้การปรับโครงสร้างหนี้สินได้มากกว่า 36,000 ราย ลดภาระหนี้ได้ราว 10,200 ล้านบาท การจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ พัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การขับเคลื่อนระบบราชการ 4.0
การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ อาทิ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (iBank)บมจ. ทีโอที (ทีโอที) บมจ. การบินไทย (THAI) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สมคิด` มั่นใจจีดีพีไทยปีนี้โต 4% อานิสงส์การบริโภค ลงทุนรัฐ-เอกชนหนุน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมเร่งรัดการเบิกจ่ายหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในวันนี้ ว่า ยังมั่นใจว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ถึง 4% แน่นอน โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการบริโภค การลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ยังขยายตัวดี รวมถึงการเร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐและรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ในขณะที่การท่องเที่ยวมองว่าจะกลับมาขยายตัวได้ ด้านตัวเลขการส่งออกในเดือนตุลาคมที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศว่าขยายตัวได้ถึง 8.7% ส่วนใหญ่มาจากตลาดญี่ปุ่นที่เติบโตถึง 16% และกลุ่มอาเซียนที่ขยายตัว
ส่วนกรณีที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ซึ่งใช้งบประมาณจำนวนมาก ยืนยันว่า กระทรวงการคลังได้วางแผนการใช้งบประมาณอย่างรอบคอบ และโครงการที่เกี่ยวข้องกับประชารัฐ ก็ใช้เงินผ่านกองทุนประชารัฐ ซึ่งสำนักงบประมาณก็ได้เตรียมการไว้แล้ว
“ภาพรวมเศรษฐกิจไทยทั้งปีจะขยายตัวได้ 4% เป็นผลจากการเดินหน้าการลงทุนยังดีอยู่ และท่องเที่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัว และหากในช่วง 2 เดือนสุดท้าย การส่งออกขยายตัวได้ 7% ต่อเดือน จะมีส่วนช่วยทำให้จีดีพีโตถึง 4% ได้ ส่วนการเบิกจ่ายภาครัฐและรัฐวิสาหกิจนั้น ก็ได้มากำชับว่าจะต้องเป็นไปตามเป้าหมาย รวมถึงได้ฝากการบ้านว่า หากงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ยังมีโครงการที่น่าสนใจก็ให้คิดล่วงหน้าไว้ ซึ่งสามารถปรึกษากับทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย ที่มองว่ายังมีศักยภาพสูง ควรที่จะหามาตรการที่จะรองรับการขยายตัวของตลาดอีคอมเมิร์ส เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ ได้”นายสมคิด กล่าว
'สมคิด' คาด GDP ไทยปีนี้มีโอกาสโตได้ 4%
รองนายกฯ และหัวหน้าทีม ศก. คาด GDP ไทยปีนี้ มีโอกาสโตได้ 4% หลังเบิกจ่ายยังดี ท่องเที่ยวกลับมาฟื้น รอลุ้นส่งออกช่วง 2 เดือนที่เหลือ ต้องขยายตัวได้ 7% พร้อมกำชับให้การเบิกจ่ายภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี คาดว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยทั้งปีจะขยายตัวได้ 4% เป็นผลจากการเดินหน้าการลงทุนยังดีอยู่ และท่องเที่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัว และหากในช่วง 2 เดือนสุดท้าย การส่งออกขยายตัวได้ 7% ต่อเดือน จะมีส่วนช่วยทำให้จีดีพีโตถึง 4% ได้
สำหรับ การส่งออกในเดือน ต.ค. ที่ขยายตัว 8.7% นั้น นายสมคิด กล่าวว่า ในภาพรวมตลาดส่งออกไปญี่ปุ่นเติบโตได้ถึง 16% และตลาดจีนเติบโต 3-4% รวมถึงในตลาดกลุ่มอาเซียน ที่ยังเติบโตได้ดี ซึ่งหากในช่วง 2 เดือนที่เหลือ ส่งออกเติบโตได้เฉลี่ย 7% ก็มีโอกาสที่ภาพรวมเศรษฐกิจนปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมาย
“เรายังส่งออกถึง 70% ถ้าถูกฉุดลง โอกาสจีดีพีสูงๆ มันก็ยาก ถ้ายืนได้สูงเกิน 7% ได้จริงก็เชื่อว่า (เศรษฐกิจ) จะยืนอยู่ระดับ 4% ได้ตามเป้าหมาย”นายสมคิด กล่าว
ทั้งนี้ นายสมคิด ได้กำชับให้การเบิกจ่ายภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ รวมถึงการลงทุนในด้านต่างๆ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ให้สิทธิประโยชน์ต้องเป็นไปตามเป้าหมาย
นายสมคิด ได้ฝากการบ้านให้รัฐวิสาหกิจว่า หากงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ หากยังมีโครงการที่น่าสนใจก็ให้คิดล่วงหน้าไว้ ซึ่งสามารถปรึกษากับทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้ โดยยกตัวอย่าง บริษัทไปรณีย์ไทย ที่มองว่ายังมีศักยภาพสูง ควรที่จะหามาตรการที่จะรองรับการขยายตัวของตลาดอี-คอมเมิร์ซ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ ได้
ส่วนการที่ ครม. มีมติออกมาตราการช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อยวานนี้อาจต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก นายสมคิด กล่าวว่า ทางกระทรวงการคลังได้วางแผนการใช้งบประมาณอย่างรอบคอบแล้ว และโครงการที่เกี่ยวข้องกับประชารัฐก็ใช้เงินผ่านกองทุนประชารัฐ ซึ่งสำนักงบประมาณก็ได้เตรียมการไว้แล้ว
พร้อมกันนี้ นายสมคิด เปิดเผยว่า นอกจากการช่วยกลุ่มผู้สูงอายุ หลังจากนี้จะมีมาตรการช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียง และกลุ่มอื่นๆ ต่อไปด้วย ซึ่งมาตราการทั้งหมดได้ใช้เวลาเตรียมการมานานเป็นปี ไม่ใช่เพิ่งจะมาออกมาช่วงนี้
'ประยุทธ์' เชื่อ บีซีจี โมเดลมี ประโยชน์ อ้อนประชาคมวิจัยลงพื้นที่ ทำความเข้าใจประชาชน
ประชาคมวิจัยครึ่งพัน เข้าพบนายกฯ ยื่นข้อเสนอโมเดลเศรษฐกิจ 3 ฐานหลัก ชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว ใช้จุดแข็งความหลากหลายทางชีวภาพและเกษตรไทยพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ด้าน ‘ประยุทธ์’ ชี้หากทำสำเร็จไทยรวยแน่ เชื่อมีประโยชน์ วอนประชาคมวิจัยลงพื้นที่ช่วยรัฐบาล ทำความเข้าใจประชาชน ชมเปาะ ‘อีสานโมเดล’สุดยอด เชื่อลดจำนวนคนจนภาคอีสานเหลือไม่เกินร้อยละ 4 ภายใน 5 ปี สวทน. อาสาผลักดันสมุดปกขาว สู่ยุทธศาสตร์วิจัยของชาติ
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ได้นำประชาคมวิจัยทั้งภาครัฐเอกชน และมหาวิทยาลัย รวม 500 คน เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พร้อมนำเสนอและมอบสมุดปกขาว ‘BCG in Action: การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy)’
ผู้แทนประชาคมวิจัย ประกอบด้วย รศ.ดร.กิติกร จามรดุสิต รศ.ดร.สิรี ชัยเสรี ศ.ดร.สุวบุญ จิรชาญชัย ศ.ดร.ศันสนีย์ ไชยโรจน์ ผศ.ดร.ศิวฤทธิ์ พงศกรรังศิลป์ และ ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ให้ข้อมูลว่า BCG Model เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความยั่งยืนของฐานทรัพยากรธรรมชาติ ผ่านการนำองค์ความรู้มาต่อยอดฐานความเข้มแข็งภายในของประเทศไทย คือ ความหลากหลายทางชีวภาพและผลผลิตทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมกับปรับเปลี่ยนระบบการผลิตไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อรักษาความมั่นคงทางวัตถุดิบ ความสมดุลของสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
นอกจากนี้ โมเดลดังกล่าว ยังเป็นการบูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งแนวคิดนี้ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติอย่างน้อย 5 เป้าหมาย ได้แก่ การผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ความหลากหลาย ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน อีกทั้งยังสอดรับกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินการดังกล่าวบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ บีซีจี ที่ครอบคลุม 4 เป้าหมาย ได้แก่ เกษตรและอาหาร พลังงานและเคมีชีวภาพ การแพทย์และสุขภาพ
รวมถึงการท่องเที่ยว โดยมีเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่ต้องถูกนำไปใช้กับทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งจะเน้นเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าใน 3 เรื่อง คือ การใช้งานผลิตภัณฑ์เต็มวงจร การแปรสภาพเพื่อกลับมาใช้ใหม่ สุดท้ายคือการออกแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดของเสียน้อยที่สุด ทั้งนี้ เมื่อเกิดการบูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพและเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ จะส่งผลให้ประเทศไทยเกิดการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเศรษฐกิจสีเขียวที่สมบูรณ์ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูง มีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมไว้ได้อย่างยั่งยืน
รศ.ดร.พีระพงศ์ ทีฆสกุล กล่าวเสริมในฐานะผู้แทนประชาคมวิจัยว่า ประชาคมวิจัยได้ร่วมขับเคลื่อน BCG Model ผ่านโครงการ Inno Hub โดยในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาได้สนับสนุน SMEs และ Startups พัฒนาสินค้าและบริการนวัตกรรมทางด้านเกษตรและอาหาร สังคมผู้สูงอายุ พลังงานชีวภาพ เมืองอัจฉริยะ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ข้อเสนอ BCG in Action จะต่อยอดการดำเนินงานของ Inno Hub ให้ขยายผลได้กว้างขึ้น
ด้าน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ข้อเสนอ BCG in Action ที่ประชาคมวิจัยร่วมกันจัดทำมานี้ จะส่งเสริมการนำ วทน. ไปยกระดับผลิตภาพของผู้ผลิตส่วนฐานของปิระมิด คือ ผู้ประกอบการในระบบการผลิตเดิมซึ่งใช้เทคโนโลยีไม่สูง แต่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากและเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรรายย่อย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหรือชุมชน เพื่อยกระดับการพัฒนาประเทศทั้งระบบให้สูงขึ้น ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อนและนวัตกรรมการจัดการที่จะนำไปสู่การลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมผู้ประกอบการส่วนยอดปิระมิด ที่มีความพร้อมผู้ประกอบการที่มีความพร้อมสูง มีกำลังลงทุนในเทคโนโลยี พร้อมรับความเสี่ยง แม้มีจำนวนน้อยแต่สร้างมูลค่าเพิ่มได้สูง และจะเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ให้สามารถผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมสูงขึ้นหรือเป็นผู้สร้างนวัตกรรม มุ่งเป้าสู่การเป็นผู้ส่งออกเทคโนโลยีและนวัตกรรม แทนการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตเกษตร 3 - 5 เท่า รวมถึงจะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจชีวภาพจากมูลค่า 3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21 ของ จีดีพี ในปี 2559 และเพิ่มเป็น 4.3 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 25 ของจีดีพีในปี 2566
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ประชาคมวิจัยทั้งรุ่นเก่าใหม่เดินทางเข้าพบ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานงานวิจัยทั้งเก่าใหม่แบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตนได้ศึกษาบีซีจีโมเดล ตั้งแต่ช่วงวันหยุด อ่านทุกหน้าอย่างละเอียด และเห็นว่าถ้าทำได้ตามที่ท่านเสนอประเทศชาติรวยแน่ อย่างไรก็ตาม การเรียกร้องเพื่อให้ปรับปรุงระบบ ระเบียบงบประมาณเพื่อความคล่องตัวในการทำงานนั้น รัฐบาลได้เขียนไว้แล้วยุทธศาสตร์ชาติ อยากให้พวกท่านไปศึกษาให้ครอบคลุม แล้วดูว่าจะร่วมกันต่อยอดอย่างไร เนื่องจากเรารต้องทำงานร่วมกันในรูปแบบประชารัฐ
“ตามที่ท่านเสนอมาในรูป บีซีจี โมเดลนั้น รัฐบาลได้ทำไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังติดขัดที่ประชาชนไม่เอา ทำให้หลายโครงการเดินหน้าไม่ได้ พวกท่านต้องช่วยรัฐบาลโดยการลงพื้นที่ทำความเข้าใจ ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นและประโยชน์ทีจะได้รับ นักวิจัยคนไทยไม่ได้ด้อยกว่าใคร ท่านต้องช่วยผม อาจารย์ในมหาวิทยาลัยต้องให้การศึกษา สื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ ทุกภาคส่วนต้องสร้างเครือข่ายของตัวเอง ไม่แยกกันทำ นอกจากนี้ยังขอให้วางโรดแมปการปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมภายใน 1-3 ปี รัฐบาลจะได้ซอยงบประมาณ และนำบรรจุในแผนแม่บทต่อไป”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี ยังแสดงความห่วงใย ถึงเกษตรกรระดับฐานราก โดยบอกว่า การแก้ปัญหาต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ยกตัวอย่าง การเลี้ยงจิ้งหรีด หรือการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัรฑ์ ตอนนี้เราอย่าคิดแต่ว่าจะเพิ่มราคาสินค้าให้ได้ราคาสูง เนื่องจากประเทศทั่วโลก คำนึงถึงความมั่นคงทางอาหาร จึงทำการเกษตรในประเทศของตัวเอง หรือจ้างปลูกในประเทศที่ค่าแรงถูก ดังนั้นสิ่งที่ต้องคิดควบคู่กันไป คือ คำนึงถึงความต้องการของตลาด รวมถึงงานวิจัยที่คิดมานั้นต้องรองรับทั้งตลาดบน ตลาดกลาง และตลาดล่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมนิทรรศการอีสานที่ 4.0 ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และเครือข่าย มาจัดแสดง โดยหยิบยกงานวิจัยเด่น เช่น ไก่ไร้เกาต์ อีสานวากิว ซึ่งเป็นการพัฒนาเนื้อโคขุนให้นุ่มน่ารับประทาน ข้าวเปลือกเพาะงอก โปรตีนจิ้งหรีดแปรรูปเพื่อสุขภาพ น้ำนมคุณภาพสูงเอ็มมิลค์ โดยได้แสดงความชื่นชม และย้ำว่า ขอให้พัฒนาและขยายเครือข่ายไปสู่เกษตรกรในวงกว้างเพื่อลดพื้นที่เพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรที่ราคาตกต่ำเนื่องจากผลิตออกมาล้นตลาด พร้อมตั้งเป้าจะลดจำนวนคนจนไม่เกินร้อยละ 4 ของจำนวนประชากรในภาคอีสาน ภายใน 5 ปี
ด้าน ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ เลขาธิการ สวทน. กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อเสนอ บีซีจี โมเดล จะเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และผู้ประกอบการที่ยังอยู่ในระบบการผลิตที่ยังไม่มีการใช้เทคโนโลยีมากนัก ให้มีขีดความสามารถสูงขึ้น ไปพร้อมกับการพัฒนาผู้ประกอบการที่มีขีดความสามารถอยู่แล้ว ให้มีศักยภาพในระดับโลก โดย สวทน. จะผลักดันสมุดปกขาว บีซีจีโมเดล นี้ ให้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์หลักด้านการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศต่อไป
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด