ไทย-มาเลเซีย ให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธี
ณ ห้องแซฟไฟร์ 108 อาคารอิมแพค ฟอรั่ม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทวิภาคีกับตุน ดร. มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ภายหลังเสร็จสิ้น ศาตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีกับความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ใกล้ชิดในทุกมิติ และจากการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มีผลการหารือที่นำไปสู่ความร่วมมือที่เกิดผลเป็นรูปธรรมหลายประการ พร้อมขอบคุณมาเลเซียที่สนับสนุนการเป็นประธานอาเซียนของไทย
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวยินดีกับความสำเร็จการเป็นประธานอาเซียนของไทย ทั้งนี้ ไทยและมาเลเซียในฐานะสมาชิกอาเซียนต่างมีพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เข้มแข็ง และร่วมสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยอาเซียนเป็นการรวมกลุ่มระดับภูมิภาคที่มีพัฒนาการและการเติบโตไปด้วยกัน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียที่ได้เชิญหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้ไปพบปะหารือ และสนับสนุนความพยายามของไทยในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวย้ำถึงการสนับสนุนการแก้ปัญหาของไทยและเห็นพ้องว่าแบ่งแยกดินแดนจะต้องไม่เกิดขึ้นหรือแบ่งแยกได้
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องเร่งเสริมสร้างความเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานชายแดน พร้อมผลักดันการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งสินค้าทางถนนข้าม พรมแดนได้ในเร็ววัน ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าอย่างไร้รอยต่อระหว่าง กรุงเทพฯ ถึงท่าเรือปีนัง ยะโฮร์บารู และต่อไปยังสิงคโปร์ รวมทั้ง ถนนเชื่อมด่านฯที่จะเร่งดำเนินการเพื่อก่อสร้างถนนได้ในโอกาสอันใกล้ หากทั้งสองฝ่ายเร่งหาข้อสรุปโดยนายกรัฐมนตรีหวังว่า มาเลเซียจะสนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในภาคใต้ของไทย และเป็นปัจจัยสนับสนุนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ของไทยในมิติด้านเศรษฐกิจอีกด้วย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการร่วมมือแก้ปัญหาการลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมายตามแนวชายแดน และปัญหาการจัดเก็บภาษี เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ
******************************************
กด L Ike - แบ่งปัน เพจเวลา Corehoon-Powerเพื่อติดตามเคล็ดลับข่าวสารเทรนด์และ บทวิเคราะห์ดีๆอัพเดตทุกวันคัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
คลิกบริจาคเว็บสนับสนุน
ไทย-อินเดีย ร่วมผลักดันการค้าการลงทุน โดยเฉพาะในเขต EEC
ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พบปะหารือกับนายนเรนทร โมที (H.E.Mr.Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ภายหลังเสร็จสิ้น ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่ตอบรับเชิญเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ และมุ่งหวังว่าจะมีโอกาสต้อนรับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการในปี 2563 พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ไทยอินเดีย และความสัมพันธ์อาเซียนอินเดียที่มีการพัฒนามากขึ้น
นายกรัฐมนตรีอินเดีย ชื่นชมความสำร็จการเป็นประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ โดยยืนยันว่าอินเดียให้ความสำคัญกับอาเซียนและภูมิภาค ในโอกาสนี้ อินเดียขอให้ไทยเป็นสื่อกลางช่วยให้อินเดียได้ยกระดับการฝึกร่วมทางทหาร Cobra Gold จากการเข้าร่วมการฝึกแบบจำกัดกิจกรรมเป็นสมาชิก Full Participant และนายกรัฐมนตรีอินเดียได้เชิญนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมงาน Expo ด้านการป้องกันประเทศ (DEFEXPO 2020) ที่ประเทศอินเดีย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ขับเคลื่อนและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในทุกด้าน โดยทั้งสองฝ่ายควรใช้ประโยชน์จากโอกาส และลู่ทางที่ยังมีอยู่อีกมาก ทั้งนี้ เห็นว่าการจัดการประชุม JC ไทย-อินเดีย ครั้งที่ 8 จะเป็นโอกาสในการรักษาความร่วมมือโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้า โดยนายกรัฐมนตรีขอให้อินเดียพิจารณาลดภาษีนำเข้าสินค้ายางพารา น้ำมันปาล์ม และมันสำปะหลัง ซึ่งตลาดอินเดียมีความต้องการสูง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงระหว่างกัน ทั้งด้าน ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ
******************************************
กด L Ike - แบ่งปัน เพจเวลา Corehoon-Powerเพื่อติดตามเคล็ดลับข่าวสารเทรนด์และ บทวิเคราะห์ดีๆอัพเดตทุกวันคัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
คลิกบริจาคเว็บสนับสนุน
นายกรัฐมนตรี เปิดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 มุ่งสร้างอนาคต มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
ณ ห้อง Grand Diamond Ballroom ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานและกล่าวถ้อยแถลงในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 โดยมีผู้นำจากประเทศสมาชิกอาเซียน เลขาธิการอาเซียน เลขาธิการสหประชาชาติ กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ เข้าร่วม ภายหลังเสร็จสิ้น
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ภายใต้แนวคิดหลัก'ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน' (Advancing Partnership for Sustainability) โดยเป็นการประชุมในระดับผู้นำครั้งสุดท้ายของปี ภายใต้การดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทย โดยนอกจากผู้นำอาเซียนแล้ว ยังมีผู้นำประเทศคู่เจรจาของอาเซียนที่จะเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องได้แก่ จีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สาธารณรัฐเกาหลี และรัสเซีย
รวมทั้งเลขาธิการสหประชาชาติ ที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 10 นอกจากนี้ ยังมีผู้นำจากภาคีภายนอก และองค์การระหว่างประเทศที่ได้รับเชิญเป็นแขกของประธาน (Guest of the Chair) เข้าร่วมด้วย ได้แก่ กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF)
นายกรัฐมนตรียินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงเทพฯ และนนทบุรี ซึ่งเกิดจากความเป็นหุ้นส่วนและมิตรภาพกับประชาคมโลก อันจะช่วยยกระดับภูมิภาคอาเซียนให้ก้าวไปข้างหน้า
เมื่อพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเนื้อร้องเพลงดิอาเซียนเวย์ 'We dare to dream, we care to share'เพื่อเป็นการทบทวนความกล้าฝันจากรุ่นสู่รุ่น และหารือแนวทางร่วมกันในการสร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมองไปสู่อนาคต
ภายใต้แนวคิดหลัก 'ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน'ด้วยความร่วมมือครั้งนั้นนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมหลายประการ อาทิ การรับรองวิสัยทัศน์ผู้นำอาเซียนว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน และเอกสารมุมมองของอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก เพื่อสานต่อผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 นายกรัฐมนตรีขอกล่าวเนื้อร้องอีกท่อนหนึ่ง คือ 'ASEAN we are bonded as one. Looking out to the world.''อาเซียนเราผูกพันกันเป็นหนึ่ง มองออกไปสู่โลก'ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของอาเซียน ที่ไม่เพียงความร่วมมือร่วมใจเฉพาะในภูมิภาค
แต่ยังให้ความสำคัญกับหุ้นส่วนนอกภูมิภาค ซึ่งถือเป็น 'กัลยาณมิตร' ที่ช่วยสนับสนุนให้อาเซียนบรรลุเป้าหมายที่วาดฝันไว้ และขยายผลสู่นอกภูมิภาคอาเซียน
ในปัจจุบัน ภูมิภาคอาเซียนและโลกต่างเผชิญกับความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงมากขึ้น อาทิ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งในปีนี้มีแนวโน้มจะขยายตัวต่ำที่สุดในรอบสิบปีจากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)การแข่งขันทางภูมิยุทธศาสตร์ทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของความขัดแย้งทางการค้าและปัญหาอื่น ๆ ระหว่างบางประเทศ ความท้าทายต่อระบบพหุภาคีนิยม ปัญหาอาชญกรรมข้ามชาติ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว
ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และขยะทะเล ดังนั้น ความเป็นหุ้นส่วนและมิตรภาพ อันแน่นแฟ้นจึงมีความสำคัญที่จะทำให้ภูมิภาคอาเซียนครอบคลุมพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดียพร้อมรับมือ และก้าวผ่านความท้าท้ายเหล่านี้ไปได้
ในช่วงการประชุมระหว่างวันที่ 3 – 4 พฤศจิกายน 2562 นี้ ถือว่าเป็นวาระสำคัญที่จะสะท้อนถึงความเป็นหุ้นส่วนและมิตรภาพระหว่างภูมิภาคอาเซียนกับประชาคมโลก เพื่อร่วมมือร่วมใจ สานต่อผลลัพธ์จากการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 34 และวางแนวทางร่วมกันในการใช้ประโยชน์จากความเป็นแกนกลางและจุดเด่นของภูมิภาคอาเซียนที่เป็นมิตรกับทุกประเทศ และไม่เป็นศัตรูกับใคร เพื่อรับมือและแก้ไขปัญหาระดับภูมิภาคและระดับโลก และสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ
โดยดำเนินการในสองแนวทาง คือ การสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับสันติภาพและเสถียรภาพในระยะยาว ไปพร้อมกับการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีพลวัตและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งทั้งสองมิตินี้ถือว่าเป็น 'สองด้านของเหรียญเดียวกัน' ที่จะนำมาซึ่งภูมิภาคที่ยั่งยืน
ประการที่หนึ่ง การสร้างภูมิภาคที่มีเสถียรภาพ ต้องมุ่งสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในระดับยุทธศาสตร์บนพื้นฐานของหลักการ 3M คือ การเคารพซึ่งกันและกัน การไว้เนื้อเชื่อใจ และการมีผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อลดการเผชิญหน้าระหว่างกัน
นอกจากนี้ ต้องมุ่งวางรากฐานด้านกฎกติกา ด้วยการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือสำคัญที่ภูมิภาคอาเซียนมี ทั้งการนำหลักการสำคัญของสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) นำมาใช้ในบริบทที่กว้างมากกว่าภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่เราได้ต้อนรับอัครภาคีของสนธิสัญญาฯ เพิ่มเติม สะท้อนให้เห็นถึงการที่ประเทศต่าง ๆ ยอมรับในหลักการพื้นฐานและกฎกติกาของการดำเนินความสัมพันธ์ในภูมิภาค รวมไปถึงการมีกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน การมีโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาคที่เข้มแข็งและมีภูมิภาคอาเซียนเป็นแกนกลาง อาทิ การประชุมสุดยอดอาเซียนตะวันออก อาเซียนบวกสาม เออาร์เอฟ
และความร่วมมืออาเซียนกับประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ ตลอดจนความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการจัดทำประมวลการปฏิบัติ (COC) ในทะเลจีนใต้ระหว่างภูมิภาคอาเซียนกับจีน และการฝึกผสมทางทะเลระหว่างภูมิภาคอาเซียนกับสหรัฐ เป็นต้น
ประการที่สอง คือ การสร้างภูมิภาคที่มั่งคั่งและยั่งยืน ผ่านการผลักดันการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ดำเนินการให้เสร็จในปีนี้ เพื่อช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน รวมทั้งส่งเสริมระบบการค้าพหุภาคีภายใต้กรอบองค์การการค้าโลกไปพร้อมกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค ทั้งกรอบความร่วมมือ ACMECS และเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (GBA) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจให้กับภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคในอนาคต
นอกจากนี้ ยังต้องมุ่งส่งเสริมความเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อในภูมิภาคอาเซียนด้วยการสร้างความเกื้อกูลระหว่างยุทธศาสตร์ ความเชื่อมโยงต่าง ๆ ทั้งภายในอาเซียนและนอกภูมิภาค ตั้งแต่การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม ระหว่างประชาชน ทางการเงิน และด้านดิจิทัล รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมในยุค 4IR เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่ MSMEs เกษตรกร กลุ่มธุรกิจสตาร์ท-อัพ รวมถึงผู้ประกอบการท้องถิ่น ให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุน และปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมของอาเซียนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ภูมิภาคอาเซียนจำเป็นต้องมี 'กระบวนทัศน์' ใหม่สาหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีพลวัต มีความยั่งยืน และครอบคลุมทุกภาคส่วน ไม่ทิ้งใครข้างหลัง โดยต้องให้ความสำคัญกับ การพัฒนาทุนมนุษย์ และการรักษาสภาพแวดล้อมควบคู่ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาขยะทะเล ด้วยการดำเนินการตามกรอบการปฏิบัติงานอาเซียนว่าด้วยขยะทะเล ปัญหามลพิษทางอากาศ ด้วยการปฏิบัติตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และปัญหาประมง IUU ด้วยการพัฒนาเครือข่ายอาเซียนเพื่อแก้ไขปัญหาการประมง IUU ซึ่งทั้งหมดต้องพึ่งพาความร่วมมือกับหุ้นส่วนอาเซียนและมิตรประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความมั่นคงที่ยั่งยืนและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากทั้งภายในและภายนอกภูมิภาค ดังนั้น การสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างประชาชน ผ่านการส่งเสริมอัตลักษณ์ของภูมิภาคอาเซียนและสายใยทางวัฒนธรรมระหว่างกัน จึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับภาคีภายนอก
ตลอดปี 2562 ที่ผ่านมา ด้วยความร่วมมือร่วมใจของประเทศสมาชิกอาเซียนและประชาชนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราบรรลุเป้าหมายและร่วมสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมหลายประการ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ศูนย์อาเซียนทั้ง 7 แห่งในประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่จะได้ร่วมเปิดตัว 3 ศูนย์สุดท้าย จากทั้งหมด 7 ศูนย์ ให้เป็นมรดกของการลงทุนจากความร่วมมือร่วมใจเพื่อประโยชน์ต่อทุกคนในภูมิภาคอาเซียน เพื่อลูกหลานของพวกเรา และเพื่ออนาคตของภูมิภาค
นายกรัฐมนตรีขอเชิญชวนทุกคน ร่วมมือ ร่วมใจ และจับมือกับหุ้นส่วนให้แน่นขึ้น เพื่อร่วมกันสานต่อเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งอาเซียนที่จะสร้างภูมิภาคที่มีสันติภาพ มีเสถียรภาพ และมีความไพบูลย์ เพื่อวางรากฐานประชาคมอาเซียนที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนให้แก่คนรุ่นนี้และคนรุ่นหน้า โดยให้ประชาคมอาเซียนของพวกเราที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมองไปสู่อนาคต สามารถเป็นพลังสำคัญ ในการบรรลุความฝันนี้ โดยร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับภูมิภาคและประชาคมโลก เพื่อประโยชน์ต่อไป
******************************************
กด L Ike - แบ่งปัน เพจเวลา Corehoon-Powerเพื่อติดตามเคล็ดลับข่าวสารเทรนด์และ บทวิเคราะห์ดีๆอัพเดตทุกวันคัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
คลิกบริจาคเว็บสนับสนุน
ASEAN Summit : ขยายมิติเชิงรุกด้านค้า-ลงทุน นำพาอาเซียนฝ่ามรสุมสงครามการค้า
ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 35 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม-4 พฤศจิกายน 2562 นับเป็นภารกิจปิดท้ายการเป็นประธานและเจ้าภาพการประชุมอาเซียนของไทยตลอดทั้งปี 2562 ซึ่งกว่า 50 ปีที่ผ่านมาของอาเซียน กลไกความร่วมมือต่างๆ ภายใต้อาเซียนมีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกผ่านโอกาสทางการค้าและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นและเอาชนะคำท้าทายของแนวคิดที่ว่าการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีการผลิตสินค้าคล้ายกันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด โดยประเทศไทยเองก็ได้รับประโยชน์ในหลายมิติจากการเป็นสมาชิกอาเซียน
มิติด้านการค้า อาเซียนถือเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ของไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 113,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งหมดของไทย เช่นเดียวกับมิติด้านการลงทุน อาเซียนถือเป็นเป้าหมายการลงทุนในต่างประเทศที่สำคัญของนักลงทุนไทย โดยยอดคงค้างเงินลงทุนโดยตรงของไทยในอาเซียนอยู่ที่ราว 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 30 ของยอดคงค้างเงินลงทุนโดยตรงของไทยในต่างประเทศทั้งหมด ขณะที่มิติด้านการท่องเที่ยว อาเซียนเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของไทย ซึ่งในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากอาเซียนเดินทางมาไทยคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 25 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด
ทั้งนี้ ประเด็นความร่วมมือและการเจรจาในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 ที่มีความสำคัญและคาดว่าจะส่งผลต่อการค้า การลงทุนของไทย มีดังนี้
ASEAN Summit กับความสำเร็จในการเป็นกลไกสนับสนุนการค้า
การประชุมสุดยอดอาเซียนในครั้งนี้มีความร่วมมือด้านการค้าที่คาดว่าจะสามารถประกาศเป็นความสำเร็จของไทยในฐานะการเป็นประธานและเจ้าภาพอาเซียน คือ ข้อตกลงยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของยานยนต์และชิ้นส่วนอาเซียน (ASEAN Mutual Recognition Arrangements Pact on Automobiles and Parts) เพื่อใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์บางรายการ อาทิ ระบบเบรก เข็มขัดนิรภัย ที่นั่ง ยางรถยนต์ ระบบควบคุมรถยนต์ มาตรวัด และกระจกนิรภัย
ทั้งนี้ การที่แต่ละประเทศต่างกำหนดมาตรฐานสินค้าของตนเอง ทำให้ต้องมีการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าซ้ำเมื่อสินค้าส่งออกไปยังประเทศปลายทาง ถือเป็นต้นทุนที่ไม่จำเป็นของผู้ประกอบการทั้งด้านเวลาและค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่เชื่อมโยงเป็นห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน โดยปัจจุบันไทยส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนไปอาเซียนถึงราว 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนเกือบร้อยละ 30 ของมูลค่าส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนทั้งหมดของไทย จึงคาดว่าข้อตกลงยอมรับร่วมฯ ดังกล่าวจะมีส่วนสนับสนุนการส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนของไทย ดังนี้
ช่วยลดการสูญเสียเวลาที่ไม่จำเป็นระหว่างการผลิตและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากความเชื่อมโยงของห่วงโซ่การผลิตยานยนต์อาเซียนที่ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น ทำให้การส่งออกและนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จะใกล้เคียงกับการซื้อขายภายในประเทศมากขึ้น
เป็นต้นแบบในการขจัดอุปสรรคทางการค้าในอนาคต อาทิ กรณีเวียดนามบังคับใช้ระเบียบนำเข้ารถยนต์ Decree 116 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ส่งผลให้รถยนต์ของไทยที่ส่งออกไปเวียดนามถูกตรวจสอบซ้ำจนทำให้ยอดส่งออกรถยนต์ของไทยไปเวียดนามลดลงในช่วงดังกล่าว ทั้งนี้ แม้ข้อตกลงยอมรับร่วมฯ ดังกล่าวใช้เป็นมาตรฐานเฉพาะกับชิ้นส่วนยานยนต์ และอาจจะยังไม่ได้ช่วยแก้ปัญหากรณี Decree 116 ของเวียดนามได้โดยตรง แต่ก็ถือเป็นแนวทางที่สามารถนำไปใช้ในอนาคตสำหรับการกำหนดมาตรฐานรถยนต์ร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน นอกจากนี้ ยังนำไปเป็นแบบอย่างในการจัดทำข้อตกลงร่วมมาตรฐานในสินค้าอื่น ซึ่งต้องเข้มงวดด้านการตรวจสอบมาตรฐาน ในอนาคต อาทิ กลุ่มสินค้าเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น
ASEAN Summit กับการเป็นเวทีเจรจาต่อรองที่ต้องจับตา
การประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ 35 ไม่เพียงเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือกันระหว่างประเทศสมาชิก แต่ยังเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของอาเซียน อย่างจีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย เป็นต้น ผ่านการประชุมย่อยหลายประชุม นอกจากนี้ ยังเป็นเวทีการเจรจาเพื่อแก้ปัญหาการค้าระหว่างกัน โดยไฮไลต์การประชุมที่สำคัญ ได้แก่
การประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ 22 คาดว่าจะมีการหารือการเชื่อมโยงโครงการภายใต้ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน ซึ่งมีอาเซียนเป็น 1 ในเส้นทางหลักของ BRI ให้สอดรับกันกับ Master Plan on ASEAN Connectivity (MPAC) ซึ่งเป็นแผนแม่บทการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของอาเซียน ซึ่งต้องติดตามท่าทีของจีนว่าจะใช้ BRI ในการรุกอาเซียนเพิ่มขึ้นหรือไม่ เนื่องจากจีนเองกำลังเผชิญความผันผวนจากสงครามการค้า ดังนั้น การเชื่อมความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนในอาเซียนเพิ่มขึ้นอาจเป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า
การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ครั้งที่ 7 การที่ความสัมพันธ์ของจีนกับอาเซียนถือได้ว่าอยู่ในระดับค่อนข้างดี ส่งผลให้สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการใช้เวทีการประชุม ASEAN Summit ในการผูกสัมพันธ์กับอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพื่อถ่วงดุลอำนาจของจีนในภูมิภาคอาเซียน โดยประเด็นส่วนหนึ่งในการประชุมจะเป็นการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือการค้าออนไลน์ ตลอดจนการให้ความช่วยเหลืออาเซียนในเรื่องของการเชื่อมโยงระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window) ซึ่งก็จะมีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่าประเทศไทยอาจจะใช้โอกาสนี้เปิดการเจรจานอกรอบกับสหรัฐฯ ในประเด็นที่สหรัฐฯ ระงับการให้สิทธิ์ GSP กับสินค้าไทย 573 รายการ เพื่อหาทางออกร่วมกัน
การประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ครั้งที่ 3 (3rd RCEP Summit) ซึ่งเป็นเวทีที่ไทยในฐานะประธานอาเซียนมีความพยายามที่จะเร่งประสานการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อสรุป อย่างไรก็ตาม คาดว่าการเจรจาจะยังไม่สามารถจบได้ภายในปีนี้ เนื่องจากยังมีสมาชิกบางประเทศที่กังวลต่อการเปิดเสรีสินค้าในหมวดที่มีความอ่อนไหว โดยปัจจุบันการเจรจาในกรอบการเข้าสู่ตลาด (Market Access) สามารถหาข้อสรุปได้แล้วราวร้อยละ 80 ของรายการสินค้าและบริการ
บทสรุปของการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ 35 ทำให้มองเห็นถึงทิศทางการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ ดังนี้
ประการแรก อาเซียนจะยังคงเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยยังต้องดูแลรักษา นอกเหนือจากการที่ RCEP ยังอาจต้องใช้เวลาในการตกลงร่วมกัน ทำให้ความหวังที่จะได้ประโยชน์จากตลาดการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกของ RCEP ต้องทอดเวลาออกไป ขณะที่กลไกการพัฒนาของอาเซียนที่รุกคืบไปมากยังเอื้อให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากความร่วมมือในอาเซียนเป็นตัวช่วยรุกตลาด
ดังเช่นกรณีข้อตกลงยอมรับร่วมมาตรฐานสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนที่จะช่วยอำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างกันมากขึ้น หรือการใช้ความชำนาญด้าน Social Marketing ของผู้ประกอบการ รวมถึงความได้เปรียบด้านที่ตั้งในการรุกตลาด Social Commerce ของอาเซียนที่เติบโตกว่าร้อยละ 30 ในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการรุกตลาด CLMV ที่ยังมีความต้องการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งหลายประเทศยังจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก
ประการที่สอง การวางตัวของอาเซียนที่ค่อนข้างเป็นกลางระหว่างประเทศมหาอำนาจต่างๆ เอื้อให้อาเซียนจะยังคงเป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญของโลก โดยเฉพาะท่ามกลางสงครามการค้า ซึ่งการที่อาเซียนไม่ได้ฝักไฝ่ฝ่ายใดเป็นพิเศษ ทำให้อาเซียนเป็นตัวเลือกลงทุนที่ปลอดภัยสำหรับผู้ผลิตสินค้าที่ต้องการหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้า การที่ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียนที่นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุน
โดยเฉพาะใน EEC หรือในธุรกิจ S-Curve ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ นับเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทย โดยผู้ประกอบการที่จะได้รับประโยชน์ไม่ใช่เพียงผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ต้องการลงทุนใหม่ แต่หมายรวมถึงผู้ประกอบการที่พร้อมจะช่วยตอบโจทย์นักลงทุนต่างชาติได้ดีกว่าตัวเลือกอื่นในอาเซียน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร EXIM BANK สำนักงานใหญ่ โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1140-4
******************************************
กด L Ike - แบ่งปัน เพจเวลา Corehoon-Powerเพื่อติดตามเคล็ดลับข่าวสารเทรนด์และ บทวิเคราะห์ดีๆอัพเดตทุกวันคัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
คลิกบริจาคเว็บสนับสนุน
รองนายกฯ สมคิด สานสัมพันธ์ไทย-จีน เดินหน้าชักจูงการลงทุนมณฑลกวางตุ้งและฮ่องกง
บีโอไอ เผยรองนายกรัฐมนตรีนำคณะหน่วยงานด้านเศรษฐกิจเดินทางไปชักจูงการลงทุน ณ มณฑลกวางตุ้ง และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อพบหารือกับบริษัทชั้นนำในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีชีวภาพ อุปกรณ์เครือข่ายและโทรคมนาคม และการพัฒนาบุคลากร พร้อมจัดงานสัมมนาใหญ่ในหัวข้อ ‘Strategic Partnership through the Belt and Road Initiative and the EEC’
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม ถึง 25 ตุลาคม 2562 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลไทยนำหน่วยงานของภาครัฐไทยเดินทางไปชักจูงการลงทุน ณ มณฑลกวางตุ้ง และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยจะมีการพบหารือกับบริษัทชั้นนำของจีน เพื่อชักชวนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งร่วมพิธีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐไทยกับมณฑลกวางตุ้ง และบริษัท หัวเว่ย ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทที่จะพบหารือนั้นล้วนเป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีชีวภาพ อุปกรณ์เครือข่ายและโทรคมนาคม และการพัฒนาบุคลากร
นอกจากนี้ คณะจะเข้าพบเพื่อหารือกับผู้บริหารของบริษัท หัวเว่ย ณ เมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ที่มีศูนย์แสดงนวัตกรรม่วมจัดสัมมนาใหญ่ในงาน ญ่ในงาน นจากบีในของบริษัท และในวันที่ 23 ตุลาคม 2562 บีโอไอจะจัดสัมมนาใหญ่’Strategic Partnership through the Belt and Road Initiative and the EEC’ โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีจะกล่าวปาฐกถาพิเศษ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง จะบรรยายในหัวข้อ ‘Enhancing Thailand’s Competitiveness-Improving Ease of Doing Business in Thailand’ นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ จะบรรยายในหัวข้อ ‘Thailand Investment Year: Opportunities for Chinese Investors’นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จะร่วมบรรยายในหัวข้อ ‘Grand Strategy on the Belt and Road Initiative and the EEC’ และผู้บริหารระดับสูงของบริษัท หัวเว่ย ประเทศไทยจะร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำธุรกิจในประเทศไทยด้วย โดยงานสัมมนาจะจัดขึ้น ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่น เซินเจิ้น คาดว่า จะมีนักธุรกิจชั้นนำจากจีนเข้าร่วมประมาณ 500 ราย
“ประเทศไทยกับจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างยาวนาน ซึ่งไทยถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเป็นประตูสู่อาเซียน ที่สามารถเชื่อมโยงกับจีนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เหมาะสมกับการลงทุน นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังมีมาตรการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนผ่านสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของบีโอไออีกด้วย” นางสาวดวงใจกล่าว
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนของจีน ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปี 2561 มียอดรวมกว่า 1.12 แสนล้านบาท ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 นักลงทุนจากจีนมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้วกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2561 กว่า 5 เท่า
******************************************
กด L Ike - แบ่งปัน เพจเวลา Corehoon-Powerเพื่อติดตามเคล็ดลับข่าวสารเทรนด์และ บทวิเคราะห์ดีๆอัพเดตทุกวันคัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
คลิกบริจาคเว็บสนับสนุน
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด