นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2564 บูรณาการแผนงาน เงิน คน เชื่อมโยงนโยบายสู่ภาคปฏิบัติ (Top Down and Bottom Up Policy)
นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2564 แก่หัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ย้ำบูรณาการแผนงาน เงิน คน เชื่อมโยงนโยบายสู่ภาคปฏิบัติ (Top Down and Bottom Up Policy)
ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพค ฟอรั่ม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดและมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ได้รับทราบนโยบาย และแนวทางในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศในระยะยาวตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ . 2561 – พ.ศ. 2580) ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว สำหรับสถานการณ์คลังไทย ยังคงมีเกินดุลติดต่อกันเป็นปีที่ 5 และระดับสัดส่วนหนี้สาธารณะเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 40 ของ GDP ทำให้บริษัท S&P Global Rating ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทยจากระดับมีเสถียรภาพเป็นเชิงบวก เพิ่มความน่าเชื่อถือเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี นับตั้งแต่ปี 2553 และกลับมาอยู่ในมุมมองเชิงบวกในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่ปี 2546 โดยปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ภาคการคลังที่แข็งแกร่งและระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่อยู่ในระดับต่ำ ฐานะการเงินระหว่างประเทศและสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง การมียุทธศาสตร์ชาติระยะยาว ประกอบกับการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งจะช่วยตอบสนองความต้องการของประชาชน ในอนาคตรัฐบาลยังเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐภาคเอกชน (PPP) ต่อไป เพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแนวทางการดำเนินการงบประมาณปี พ.ศ.2563 ว่า สืบเนื่องจากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จะมีผลบังคับใช้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ทำให้ในปัจจุบัน ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ต้องใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ไปพลางก่อน ดังนั้น เพื่อให้มีการใช้จ่ายงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยเร็ว เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีผลบังคับใช้ ขอให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ เร่งรัดการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เช่นเดียวกับเงินนอกงบประมาณ เช่น เงินรายได้ เงินสะสมคงเหลือ และการใช้เงินกู้ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
ในส่วนแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จะมีความต่อเนื่องจากงบประมาณปี พ.ศ. 2563 ยังคงนโยบายงบประมาณขาดดุลในจำนวนที่ไม่ส่งผลกระทบต่อวินัยและความยั่งยืนทางการคลัง เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามแนวทางการพัฒนาของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งระยะสั้น กลาง และระยะยาว มีเสถียรภาพ และกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึง เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชน โดยย้ำว่าในการจัดทำงบประมาณบูรณาการ ทั้งระหว่างหน่วยงานภายในกระทรวงเดียวกัน และหน่วยงานระหว่างกระทรวง รวมทั้งการบูรณาการระหว่างมิติหน่วยงาน (Function) และมิติยุทธศาสตร์ (Agenda) กับมิติพื้นที่ (Area) โดยเป็นการบูรณการทั้งแผนงาน แผนคน และแผนเงินอย่างเป็นระบบและสอดคล้องกัน มีการกำหนดตัวชี้วัดของแผนที่เป็นไปตามหลักสากล อาทิดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการจัดทำคำของบประมาณปี พ.ศ. 2564 ให้เสนอคำขอรับการจัดสรรงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มาที่สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ 24 มกราคม 2563 ภายใต้เป้าหมาย 6 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคง สร้างความปลอดภัย และความมั่นคงให้กับประชาชน ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การพัฒนาภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ คนไทยทุกช่วงวัยให้มีคุณภาพ ส่งเสริมการเรียนรู้ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายว่า เพราะสิ่งสำคัญของการจัดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของรัฐบาล ต้องให้คำนึงถึงความต้องการและประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
นายกรัฐมนตรี ส่งเสริมเยาวชนเข้าถึงการท่องเที่ยวแบบสร้างสรรค์ ตามรอยพระราชา สร้างคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ 1) ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล 2) โครงการ Thailand Street Food Festival 2020 3) ส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 10 และ 4) โครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 9 เส้นทาง เดินตามรอยพระราชา โดยมีรายละเอียดดังนี้
นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำคณะผู้บริหารเข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์ ของขวัญปีใหม่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สำหรับประชาชน ปี 2563 ได้แก่ โครงการคลอดปั๊บ..รับ 600 บาทต่อเดือน ถึง 6 ขวบ ในครัวเรือนยากจน โครงการบ้านเช่าราคาพิเศษ โครงการบ้านพอเพียงชนบท สำหรับปรับปรุงหรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัยให้ผู้ที่มีรายได้น้อยในชนบท ได้เข้าถึงสวัสดิการที่อยู่อาศัย และโครงการปรับปรุงหรือซ่อมแซมห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการให้มีความปลอดภัย โดยนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความห่วงใยและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับราวระเบียงบ้านให้ดำเนินการปรับให้เหมาะสมกับผู้อยู่อาศัย
จากนั้น นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำคณะผู้บริหารเข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ Thailand Street Food Festival 2020 เพื่อส่งเสริมศักยภาพของประเทศไทยในฐานะ Street Food อันดับ 1 ของโลก อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศให้แข่งแกร่งยิ่งขึ้น โดยโครงการดังกล่าวจะจัดขึ้น จำนวน 6 ครั้ง ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่ บริเวณถนนสีลม วันที่ 1 – 2 กุมภาพันธ์ 2563 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 29 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2563 จังหวัดชลบุรี วันที่ 3 – 6 เมษายน 2563 จังหวัดเชียงใหม่ 25 – 26 เมษายน 2563 จังหวัดขอนแก่น 1 – 3 พฤษภาคม 2563 และจังหวัดภูเก็ต วันที่ 30 – 31 พฤษภาคม 2563
ต่อจากนั้น นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นำคณะผู้บริหารเข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์การส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 เพื่อต้องการสร้างความสมดุลปาล์มน้ำมันของประเทศและเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน โดยมีแนวทางที่จะกำหนดให้น้ำมันดีเซล B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศ ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างความสมดุลปาล์มน้ำมันทั้งระบบแล้ว จากผลการศึกษายังพบว่าการใช้น้ำมันดีเซล B10 ยังช่วยลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้อีกด้วย
อนึ่ง นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นำคณะผู้บริหารเข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 9 เส้นทาง เดินตามรอยพระราชา เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนเข้าใจและเข้าถึงศาสตร์ของพระราชาจากประสบการณ์จริงผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต อีกทั้งเพื่อพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ศูนย์เรียนรู้เป็นวิทยากรกระบวนการ ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบสร้างสรรค์ตามรอยพระบาท โดยมูลนิธิชัยพัฒนาได้คัดเลือกแหล่งเรียนรู้ที่มีความพร้อมในการจัดกิจกรรม จำนวน 9 เส้นทาง 81 แหล่งเรียนรู้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกิจกรรมการทำอาหารสตรีทฟู้ด “ผัดไทยสูตร World Record ร่วมกับเชฟชุมพล แจ้งไพร เชฟมิชินลินสตาร์ และนำผัดไทยที่ปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้วใส่ในปิ่นโต โดยกล่าวว่าการใช้ปิ่นโตใส่อาหารเป็นการช่วยลดการใช้ถุงพลาสติก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ต้องการแก้ปัญหาขยะจากถุงพลาสติกให้น้อยลงและเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งแนะนำผู้ประกอบการร้านอาหารให้คำนึงถึงรสชาติที่เหมาะสมไม่ควรหวานหรือเค็มจนเกินไป และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมบูธน้ำมันดีเซล B10 โดยแนะส่งเสริมให้พัฒนาควบคู่กันไป ทั้งด้านเทคโนโลยีและราคาด้านการเกษตร ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงโครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 9 เส้นทาง โดยให้บอกถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการที่จัดขึ้นให้ชัดเจน ย้ำสร้างการเรียนรู้ให้แก่เด็กและเยาวชน พร้อมทั้งให้ช่วยส่งเสริมเรื่องของจิตสำนึกและการเป็นคนดี มีคุณธรรม และจริยธรรมให้แก่เด็กและเยาวชน ด้วย
นายกฯ หนุนใช้ดีเซล B10 ช่วยชาวสวนปาล์ม-ลดฝุ่น PM2.5
นายกฯ ผนึกก.พลังงาน หนุนประชาชนใช้ดีเซล B10 หวังช่วยเกษตรกรสวนปาล์ม-ลดฝุ่น PM2.5 ตั้งเป้ามียอดใช้ทะลุ 50 ล้านลิตรต่อวันกลางปี 63
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขอให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันดีเซล บี10 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนปาล์ม นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ด้วย โดยเบื้องต้น ตั้งเป้ายอดการใช้ทะลุ 50 ล้านลิตรต่อวันในกลางปี 2563
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า มาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล B10 เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงพลังงาน ที่ต้องการสร้างสมดุลปาล์มน้ำมันทั้งระบบของประเทศให้มีความยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันไม่ให้ราคาผลผลิตตกต่ำ โดยมีแนวทางที่จะกำหนดให้น้ำมันดีเซล B10 ให้เป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศ ส่วนน้ำมันดีเซล B7 เป็นน้ำมันดีเซลทางเลือกสำหรับรถยุโรป และรถยนต์รุ่นเก่า ที่ไม่สามารถใช้ B10 ได้ และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 เป็นน้ำมันทางเลือก สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่
ขณะเดียวกัน กระทรวงพลังงานได้มีมาตรการด้านราคาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภค หันมาใช้น้ำมันดีเซล B10 เพิ่มขึ้น โดยกำหนดราคาให้ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B7 ที่ 1 บาทต่อลิตร เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา และได้เพิ่มส่วนต่างให้ถูกกว่าดีเซล B7 เป็น 2 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาด้วย ซึ่งช่วยให้ตัวเลขการใช้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า ปริมาณดีเซล B10 จะเพิ่มขึ้นเป็น วันละ 50 ล้านลิตรต่อวัน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2563 ซึ่งจะส่งผลให้การใช้ไบโอดีเซล (B100) ประมาณ 7 ล้านลิตรต่อวันด้วย
“กระทรวงพลังงานตั้งเป้าที่จะส่งเสริมให้ใช้ดีเซล B10 ให้ถึง 57 ล้านลิตรต่อวัน ดีเซล B7 ที่ 5 ล้านลิตรต่อวัน และดีเซล B20 ที่ 5 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งจะสามารถดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ หรือ CPO ในภาคพลังงาน ให้ได้ประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั้งหมดของประเทศในปัจจุบัน หรือประมาณ 2.2 ล้านตันต่อปี ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวจะช่วยสร้างสมดุลปาล์มน้ำมันได้ทั้งระบบ”นายสนธิรัตน์ กล่าว
สำหรับ ปัจจุบัน มีจำนวนรถยนต์ที่ใชน้ำมันดีเซลทั้งหมด 10.5 ล้านคัน ซึ่งมีรถยนต์ที่ค่ายให้การรับรองว่าใช้ดีเซล B10 ได้ 5.3 ล้านคัน หรือ 50% ส่วนที่เหลืออีก 50% จะเป็นรถยุโรป และรถยนต์รุ่นเก่าที่หมดการรับประกันจากค่ายรถแล้ว ดังนั้นหากยังมีนโยบายสร้างส่วนต่างราคาระหว่างดีเซล B10 และ B7 เชื่อว่าผู้ใช้รถยนต์รุ่นเก่าเหล่านี้ยังมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนใจมาใช้ดีเซล B10 เพิ่มขึ้นในอนาคต จนบรรลุเป้าหมายในที่สุด
ด้านผู้ค้าน้ำมันที่ผ่านมาได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล B10 โดยในวันที่ 1 มกราคม 2563 คลังน้ำมันทุกแห่งจะมีน้ำมันดีเซล B10 จำหน่าย และจะมีน้ำมันดีเซล B10 จำหน่ายในทุกสถานีบริการน้ำมันจำหน่ายในวันดังกล่าวด้วย สำหรับปัจจุบันมีสถานีบริการน้ำมันดีเซล B10 แล้ว 450 แห่ง
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
นายกรัฐมนตรี ห่วงใยประชาชน คำนึงถึงความปลอดภัย ขับขี่โดยไม่ประมาท ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้
นายกรัฐมนตรี ย้ำ 'ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย' ยึดหลัก 3 ร. คือ 'รักตัวเอง รักครอบครัว รักคนอื่น' เพื่อให้ทุกคนกลับบ้านปลอดภัยเทศกาลปีใหม่นี้
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ 'ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย' โดยมีนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้บริหารเข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมรณรงค์ “ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย” โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ และเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง ร่วมสร้างความตระหนักในเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ให้มีความรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมทางด้วยการดื่มไม่ขับ คาดเข็มขัด สวมหมวกนิรภัย และขับขี่ด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีฝากถึงประชาชนทุกคนให้คำนึงถึงความปลอดภัย สร้างความตระหนักในการใช้รถใช้ถนนโดยการขับขี่ที่ไม่ประมาท ไม่ใจร้อน และเคารพวินัยจราจร ย้ำต้องเริ่มจากตัวเราเอง เพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งของตนเองและผู้อื่น โดยให้ยึดหลัก 3 ร. คือ รักตัวเอง รักครอบครัว รักคนอื่น'
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
ไทยเน้นย้ำส่งเสริมความร่วมมือด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงยุทธศาสตร์
ณ ห้อง Sapphire 205-206 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) ครั้งที่ 14 ภายหลังเสร็จสิ้น ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) ครั้งที่ 14 จัดขึ้นเพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางและทบทวนความร่วมมือและบทบาทของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) ในการส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรือง และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน โดยมีประเทศที่เข้าร่วมใน EAS จำนวน 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี นิวซีแลนด์ รัสเซีย และสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 14 พร้อมกล่าวว่า EAS เป็นเสาหลักของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของภูมิภาคและโลก และอยู่ในจุดสูงสุดของโครงสร้างสถาปัตยกรรมภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลาง ทำให้ EAS มีความสำคัญและมีบทบาทในการส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ไทยได้ให้ความสำคัญกับ EAS ในการส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับมือกับความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อสันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การส่งเสริมความมั่นคงและการพัฒนาที่ยั่งยืน โลกาภิวัฒน์และการเชื่อมโยงกันในมิติต่าง ๆ นำมาซึ่งโอกาสทางด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงในรูปแบบต่างๆ ที่พร้อมกับความเชื่อมโยง และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีขอบคุณและขอความร่วมมือผู้นำทุกคน ในการขับเคลื่อน EAS เพื่อเพิ่มพูนความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงยุทธศาสตร์ และแก้ไขปัญหาความท้าทายต่าง ๆ เพื่อให้ ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ (win-win solution) และสนับสนุนความเชื่อมโยงระหว่าง EAS กับกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีอยู่ในภูมิภาค เพื่อให้เกิดการสอดประสานระหว่างกัน (synergy) มากที่สุด
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
ไทยพร้อมกระชับความร่วมมือกับมิตรประเทศลุ่มน้ำโขง และญี่ปุ่น
ณ ห้อง Sapphire 202 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นครั้งที่ 11 ร่วมกับนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ภายหลังเสร็จสิ้น ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นครั้งที่ 11 และแสดงความยินดีในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะแห่งญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา
การประชุมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ร่วมกันทบทวนความคืบหน้าของการดำเนินโครงการความร่วมมือภายใต้ยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 รวมทั้งร่วมกันหารือแนวทางในการขับเคลื่อนความร่วมมือในอนาคต และประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ เพื่อให้ลุ่มน้ำโขงเป็นอนุภูมิภาคที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ปี 2019 ได้ถูกกำหนดให้เป็น “ปีแห่งการแลกเปลี่ยนระหว่างลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น 2019” (Mekong – Japan Exchange Year 2019) เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 10 ปี ของกรอบความร่วมมือ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา อนุภูมิภาคมีพัฒนาการเชิงบวกต่าง ๆ เกิดขึ้น เป็นผลมาจากความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในอุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรมใหม่ ๆ การยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายและ EEC ของไทย ซึ่งพัฒนาการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นเป็นกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคที่ทันสมัยที่สุด
โดยจากการที่ญี่ปุ่นเข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาของ ACMECS นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในศักยภาพและความเชี่ยวชาญของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จะสามารถช่วยขับเคลื่อนโครงการภายใต้แผนแม่บท ACMECS ให้ประสบผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีขอบคุณนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่ร่วมเป็นประธานการประชุมครั้งนี้ พร้อมชื่นชมญี่ปุ่นที่แสดงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับประเทศลุ่มน้ำโขงในการส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด