นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ประกาศเคอร์ฟิวทัวปท. ห้ามออกจากบ้าน 4 ทุ่ม-ตี 4
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้อำนวยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ดังนี้
กำลังหลักของเราต้องต่อสู้ภายใต้ความขาดแคลนไม่ได้อย่างเด็ดขาด และต้องมีขวัญ กำลังใจที่เข้มแข็งอยู่เสมอ เพื่อมีพลังเอาชนะวิกฤตครั้งนี้ให้ได้
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า มียาที่จำเป็นในการรักษาอย่างเพียงพอ และมีแผนการจัดหาเพิ่มเติมจากต่างประเทศเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่อาจลุกลามได้ในอนาคต นอกจากนั้น ยังมีความพร้อมเรื่องเตียงสำหรับผู้ป่วย โดยสามารถเพิ่มศักยภาพจากโรงพยาบาลทุกสังกัด หอพัก และโรงแรม ให้พร้อมรองรับผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้น ขอให้เชื่อมั่นว่า“ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด” ทุกคนจะมีเตียงและยาในการดูแลรักษาอาการป่วยตามมาตรฐานสากลทุกประการ นอกจากนี้ ผู้ป่วยด้วยโรคนี้ รัฐบาลถือว่าเป็น “ผู้ป่วยฉุกเฉิน” ดังนั้น จะมี 3 กองทุน คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนรักษาพยาบาลประกันสังคมและกองทุนรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้
ด้านป้องกันและช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งการรักษาความมั่นคง ยึดหลัก 'สุขภาพนำเสรีภาพ' โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ จำกัดการเดินทาง การเคลื่อนย้ายคนและจำกัดการรวมตัวกันของคนจำนวนมากในพื้นที่เสี่ยงการแพร่ระบาดต่างๆ โดยแต่ละพื้นที่จะออกมาตรการที่เข้มงวด สอดคล้องตามสถานการณ์และคำแนะนำทางการแพทย์ ปัจจุบัน บางจังหวัดได้ยกระดับมาตรการทางการปกครอง เช่น การกำหนดเวลาเปิด-ปิดร้านค้าและเวลาออกจากบ้านเพิ่มเติมแล้ว เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดให้ได้ ได้แก่ จังหวัดชายแดนภาคใต้และภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งจะต้องเอาจริงเอาจัง เราอาจจะรู้สึกไม่สะดวกสบายเหมือนปกติบ้าง แต่เราทุกคนต้อง “ปรับตัว...เพื่อความอยู่รอด” ต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม จึงจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาดและลดการสัญจรของพี่น้องประชาชน ผมจะประกาศข้อกำหนด ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถานหรือ “เคอร์ฟิว” ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่ม ถึงตี 4 ทั่วราชอาณาจักร โดยเว้นผู้ที่มีเหตุจำเป็นหรือผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ การธนาคาร การขนส่งสินค้าที่จำเป็นเพื่ออุปโภคบริโภค ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เชื้อเพลิง รวมถึงการเดินทางของประชาชนเพื่อเข้าออกเวรทำงานหรือไปท่าอากาศยาน
ทั้งนี้ ให้ขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ในเขตพื้นที่นั้นๆ โดยจะเริ่มในวันศุกร์ที่ 3 เมษายน ซึ่งต้องขอให้พี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนก และไม่ต้องกักตุนสินค้า เพราะท่านยังสามารถออกมาซื้อข้าวของในช่วงกลางวันได้ตามปกติ แต่ต้องเคร่งครัดในเรื่อง “ระยะห่างทางสังคม”
ด้านการควบคุมสินค้า นายกรัฐมนตรีสั่งการให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการกระจายหน้ากากและเวชภัณฑ์สำหรับประชาชนและศูนย์ปฏิบัติการควบคุมสินค้า โดยย้ำว่าจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดกักตุนหรือฉวยโอกาสหรือแสวงหาผลประโยชน์ ซ้ำเติมความทุกข์ยากของคนไทยด้วยกันในยามนี้ ที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และเจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบสวนหาต้นตอของปัญหา ตลอดสายการผลิตตั้งแต่ต้นทาง - กลางทาง - ปลายทาง โดยสามารถจับกุมและเอาผิดผู้กระทำผิดไปแล้วหลายราย ซึ่งจะต้องรับโทษอย่างรุนแรง ทั้งนี้ การกักตุนสินค้ามีอัตราโทษสูง จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนพบเห็นสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ “สายด่วน บก.ปคบ. 1135”
ด้านการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ออกมาตรการอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาระและบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นสำหรับประชาชนทุกกลุ่มและผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ อาทิ เงินช่วยเหลือ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน สำหรับลูกจ้างรายวัน - อาชีพอิสระ - แรงงานนอกระบบ 9 ล้านคน การคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าและการใช้น้ำ รวมทั้งลดค่าน้ำ – ค่าไฟ 3 เดือน สำหรับทุกครัวเรือน ซึ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเงินผ่อนบ้าน – ผ่อนรถ ขยายเวลาชำระตั๋วจำนำ และลดอัตราขั้นต่ำจ่ายหนี้บัตรเครดิต สำหรับประชาชนทั่วไป รวมทั้งแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมด้วย ที่ลดการจ่ายเงินสมทบเหลือ 1% และขยายเวลาให้ 3 เดือน ส่วนผู้ประกอบการและ SME รัฐบาลก็จะช่วยคืนสภาพคล่อง ลดภาระค่าใช้จ่าย บริหารหนี้เดิมไม่ให้เป็น NPL ด้วยมาตรการด้านภาษีและการเงินอีกหลายมาตรการ เพื่อทำให้ทุกคน ทุกฝ่าย มั่นใจได้ว่า “เราไม่ทิ้งกัน”
ด้านการต่างประเทศ ศบค. ได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อดำเนินมาตรการเดินทางเข้า-ออกประเทศ และการดูแลคนไทยในต่างประเทศ โดยมีการยกระดับการคัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศอย่างเข้มงวด ไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เติมเข้ามาอีก ตั้งแต่ที่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปแล้ว มีเพียงชาวต่างชาติที่ได้รับการยกเว้นตามข้อกำหนด เช่น คณะทูต หรือผู้ที่มีใบอนุญาตทำงานในไทย หรือลูกเรือเท่านั้น ที่เดินทางเข้ามาได้ สำหรับคนไทยในต่างแดนก็จะไม่ทอดทิ้งลูกหลาน ญาติพี่น้องเหล่านั้น ซึ่งได้หาทางแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดในโลก จะได้รับการดูแล และหากต้องการกลับเมืองไทย ก็จะต้องผ่านกระบวนการคัดกรอง การกักตัวและการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ต้องขอความร่วมมือให้ชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 เมษายน เพื่อรักษาสุขภาพทั้งคนไทยในประเทศและท่านที่จะเดินทางกลับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่จัดระเบียบเตรียมการให้เหมาะสม หากมีความจำเป็นขอให้ไปพบเจ้าหน้าที่สถานทูตหรือสถานกงสุลโดยทันที
สิ่งสำคัญอีกประการ คือ ด้านการสื่อสารในสภาวะวิกฤตเพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจและผู้ปฏิบัติงานมีความชัดเจน ไม่สับสนหรือสร้างความขัดแย้ง ศบค.จัดให้มีระบบการสื่อสารที่เป็น “เอกภาพ” ไปในทิศทางเดียวกัน หรือ Single Voice โดยจะมีการแถลงข่าวที่ถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ ในทุกช่องทางเป็นประจำทุกวัน หลังการประชุมในช่วงเช้า โดยโฆษกศูนย์และผู้รับผิดชอบโดยตรง “เท่านั้น” งดเว้นและหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ของผู้ที่ไม่ได้รับมอบหมายหรือเกี่ยวข้องกับมาตรการต่างๆ ของศูนย์ฯ นายกรัฐมนตรีขอให้สื่อมวลชนทุกสำนัก รวมถึงสื่อโซเชียล ใช้ความระมัดระวังในการสื่อสาร โดยขอให้ใช้ข้อมูลจากศูนย์ฯ นี้ เท่านั้น ห้ามการสื่อสารที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง ความเข้าใจผิด หรือบิดเบือนข้อมูล รวมถึงผู้ที่สร้างข่าวปลอม หรือ Fake News และการส่งต่อข่าวปลอม ทั้งที่ไม่เจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่มีผลต่อความมั่นคงก็จะมีโทษตามพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้อย่างหนัก ดังนั้น จะต้องงดการส่งต่อข้อมูลที่ไม่ทราบแหล่งที่มา หรือไม่มั่นใจ ควรส่งต่อข้อมูลที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ อาทิ ตัวอย่างการปฏิบัติตนตามนโยบายของภาครัฐ กิจกรรมจิตอาสา เป็นต้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความประทับใจท่ามกลางวิกฤตนี้ว่า รัฐบาลได้ระดมผู้มีความสามารถ คนเก่งจิตอาสาจากวงการต่างๆ ทั้งด้านสาธารณสุข เทคโนโลยี การสื่อสาร และภาคธุรกิจอื่นๆ มาร่วมหารือเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาอย่างรอบด้าน ขอขอบคุณ “จิตอาสา” ทุกท่าน ที่ไม่นิ่งดูดาย รวมพลังความรัก-ความสามัคคี ร่วมกันทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมบริจาคเงิน สิ่งของ อาหาร หรือการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หลายคนเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่น การเขียนข้อความ ทำคลิป หรือทำป้าย ให้กำลังใจกันและกัน “น้ำใจไทย” เช่นนี้เอง จะช่วยให้ประเทศไทยของเรา รอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้
ทั้งนี้ ผลของการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ข้างต้นอย่างเคร่งครัด ทำให้สถานการณ์ขณะนี้อยู่ในระดับที่ยังสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ ไม่สูงถึงระดับของประเทศที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนัก ทั้งนี้ เป้าหมายร่วมกันของเรา คือ การขจัดโรคภัยและเชื้อร้ายนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด และทุกคนปลอดภัย ดังนั้น เราจะต้องไม่ประมาท เราจะต้องไม่ปล่อยให้มี “ผู้ป่วย-ผู้ติดเชื้อรายใหม่” และทำให้ตัวเลขลดลงจนเป็น “ศูนย์” ให้ได้ในเร็ววัน เราจะต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างไม่ลดละ ต้องบังคับใช้มาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด อย่างต่อเนื่องเหมาะสม หากจำเป็นก็จะต้องยกระดับใน “บางพื้นที่” ตามเหตุผลทางการแพทย์ นายกรัฐมนตรียังขอให้ประชาชนทุกคนร่วมมือปฏิบัติตนตามมาตรการแยกตัวอยู่บ้าน เพื่อลดภาระของทีมแพทย์และพยาบาลที่เสียสละต่อสู้กันมานานหลายเดือน หาก “แนวหน้าเข้มแข็ง” และ “แนวหลังเข้มงวด” ประเทศไทยก็จะชนะศึกครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
สุดท้ายนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนและทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านทั่วประเทศ ที่อดทน เสียสละ ทุ่มเทแรงกาย-แรงใจ ในการดูแล ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ด้วยความเสี่ยงภัยและความยากลำบาก ขอให้รับรู้ว่าเจ้าหน้าที่ พลเรือน ตำรวจ ทหาร ทุกท่านเป็นบุคคลสำคัญในใจผมและคนไทยทุกคน และขอให้ทุกคนมั่นใจว่า จะทำทุกทางเพื่อที่จะนำพาประเทศของเรา ก้าวข้ามเวลา กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมกันเปิดเผยถึงมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 โดยเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ขยายวงกว้างขึ้น
โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 การสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว เช่น ห้างสรรพสินค้า การระงับการให้บริการของสถานบริการต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และในอีกหลายพื้นที่ การงดกิจกรรม อาทิ การแข่งขันกีฬา งานบันเทิง งานอบรมสัมมนา การแสดงสินค้า เป็นต้น ซึ่งส่งผลกับการดำเนินชีวิตของประชาชน คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงการคลังจัดทำมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไปได้
กระทรวงการคลังรับผิดชอบดูแลเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ตระหนัก รับทราบ และเข้าใจถึงความยากลำบากของประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วนและไม่นิ่งดูดาย จึงได้ออกมาตรการดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งประชาชนและผู้ประกอบการอย่างเร่งด่วน โดยยึดหลักการเดิม ‘ทันการณ์ ตรงเป้าหมาย และชั่วคราวตามจำเป็น’ เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน รวมถึงบรรเทาผลกระทบและเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ สามารถผ่านพ้นวิกฤตความยากลำบากไปได้ และเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เรื่อง มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.มาตรการดูแลและเยียวยา 'แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม' ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ประกอบด้วย 8 มาตรการ ดังนี้
1..1 มาตรการชดเชยรายได้แก่แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) เพื่อช่วยเหลือเยียวยาให้กับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดประกอบกิจการของสถานประกอบการที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีคนแออัด เบียดเสียด ง่ายต่อการแพร่เชื้อ เช่น สนามมวย สนามกีฬา ผับ สถานบันเทิง โรงมหรสพ นวดแผนโบราณ สปา ฟิตเนส สถานบริการอื่นๆ เป็นต้น หรือผู้ได้รับผลกระทบอื่นๆ
ทั้งนี้ ไม่รวมผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไขการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม ไม่รวมข้าราชการและข้าราชการบำนาญ และไม่รวมเกษตรกร (กลุ่มเกษตรกรได้รับความช่วยเหลืออื่นๆ จากรัฐบาลอยู่แล้ว) ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ เป้าหมายรวมทั้งสิ้น 3 ล้านคน
โดยการสนับสนุนเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563) ผ่านการลงทะเบียนแสดงความจำนงตรวจสอบคุณสมบัติและการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น พร้อมเพย์ตามเลขบัตรประจำตัวประชาชน โอนเข้าบัญชีธนาคาร กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ส่วนวิธีการขอรับความช่วยเหลือจะเป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงการคลังกำหนด
1.2 โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักประกัน โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 40,000 ล้านบาท (ธนาคารออมสิน 20,000 ล้านบาท และ
ธ.ก.ส. 20,000 ล้านบาท) วงเงินต่อรายไม่เกิน 10,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.10 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 2 ปี 6 เดือน ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนรับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563
1.3 โครงการสินเชื่อพิเศษเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตแก่ประชาชนที่มีรายได้ประจำ โดยมีหลักประกัน โดยธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563
1.4 โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับสำนักงานธนานุเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของไวรัส COVID-19 เพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 โดยธนาคารออมสินสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในนามของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.10 ต่อปี และ สธค. คิดดอกเบี้ยจากประชาชนในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.125 ต่อเดือน ระยะเวลา 2 ปี
1.5 มาตรการเสริมความรู้ พิจารณาดำเนินการจัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะ เสริมอาชีพ เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 หรือผู้ที่สนใจ พร้อมทั้งจัดทำกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR)
1.6 มาตรการเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม 2563 เพื่อบรรเทาภาระให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น
1.7 มาตรการเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ โดยเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพจากเดิมตามจ่ายจริงไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับการหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันชีวิตและเงินฝากประเภทสงเคราะห์ชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีภาษี 2563 เป็นต้นไป เพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นและมีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพลดลง และรัฐสามารถนำรายจ่ายด้านสาธารณสุขที่ลดลงจากการทำประกันสุขภาพของประชาชนไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั้งในด้านสาธารณสุขและด้านอื่น ๆ ได้มากขึ้น
1.8 มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าตอบแทนในการเสี่ยงภัยของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับ (1) ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยในการเฝ้าระวัง สอบสวน ป้องกัน ควบคุม และรักษาผู้ป่วยจากไวรัส COVID-19 (2) ค่าตอบแทนบุคคลที่มิใช่ข้าราชการหรือข้าราชการที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษี 2563 เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ไม่มีภาระภาษีสำหรับค่าตอบแทนพิเศษจากการปฏิบัติงานดังกล่าวและมีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น
2.1 โครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 ได้แก่ ธุรกิจทัวร์ ธุรกิจสปา ธุรกิจขนส่งที่เกี่ยวเนื่อง (รถทัวร์ รถบัส รถตู้ รถแท็กซี่ เรือนำเที่ยว รถเช่า) บริษัทนำเที่ยว โรงแรม ห้องพัก และร้านอาหาร โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 สำหรับ 2 ปีแรก ระยะเวลาการกู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 5 ปี รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563
สำหรับ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ภายใต้มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัส COVID -19 ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงทางอ้อม ระยะที่ 1 นั้น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการ คณะรัฐมนตรีจึงได้มอบหมายให้ธนาคารออมสินเป็นผู้นำหลักในการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว เพื่อประคองให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดในภาวะเช่นนี้
2.2 มาตรการเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนี้
(1) รอบระยะเวลาบัญชีปี 2562 (ภ.ง.ด. 50) สำหรับกรณีที่จะต้องยื่นรายการชำระภาษีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2563 ออกไปเป็นภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2563
(2) รอบระยะเวลาบัญชีปี 2563 (ภ.ง.ด. 51) สำหรับกรณีที่จะต้องยื่นรายการชำระภาษีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 29 กันยายน 2563 ออกไปเป็นภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 เพื่อให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นจากการเลื่อนชำระภาษีตาม ภ.ง.ด. 50 ประมาณ 120,000 ล้านบาท และจากการเลื่อนชำระภาษีตาม ภ.ง.ด. 51 ประมาณ 30,000 ล้านบาท
2.3 มาตรการเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นำส่ง และชำระภาษี โดยเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นำส่ง และชำระภาษีทุกประเภทที่กรมสรรพากรจัดเก็บ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นต้น ให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้แก่ (1) ผู้ประกอบการที่ต้องปิดสถานประกอบการตามคำสั่งของทางราชการ เช่น กระทรวงมหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น (2) ผู้ประกอบการอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เฉพาะที่มีเหตุอันสมควรให้เลื่อนเวลาออกไป โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาเป็นรายกรณี เพื่อเป็นการลดภาระในการจัดทำเอกสารและการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว
2.4 มาตรการขยายเวลาการชำระภาษีให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน เพื่อบรรเทาภาระภาษีแก่ผู้เสียภาษีที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากการแพร่ระบาดไวรัส COVID กรมสรรพสามิตให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันจากเดิมยื่นขอชำระภาษีภายใน 10 วันเป็นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่นำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บน โดยให้ดำเนินการดังกล่าวเป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563)
2.5 มาตรการขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับชำระภาษีของการประกอบกิจการสถานบริการที่จัดเป็นบริการตามบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อบรรเทาภาระภาษีแก่ผู้ประกอบกิจการสถานบันเทิงที่ได้รับผลกระทบจากการให้ปิดสถานที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดที่มีคนแออัด เบียดเสียด ง่ายต่อการแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 เป็นการชั่วคราว กรมสรรพสามิตขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับชำระภาษีของการประกอบกิจการสถานบริการ ได้แก่ ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์
โดยรวมถึงสถานที่ที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยจัดให้มีการแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทำการหลังเวลา 24.00 นาฬิกา และสถานอาบน้ำหรืออบตัว และนวด ตลอดจนกิจการเสี่ยงโชคประเภทสนามแข่งม้า และสนามกอล์ฟ ให้ยื่นแบบรายการและชำระภาษีภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2563
2.6 มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าของที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดยยกเว้นอากรขาเข้าของที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตามรายการที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด ตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลังมีผลบังคับใช้ จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงการรักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้มากขึ้น
2.7 มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของเจ้าหนี้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด เช่าซื้อ ลีสซิ่ง และเจ้าหนี้อื่นที่ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกับสถาบันการเงิน)
2.7.1 (1) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ลูกหนี้สำหรับเงินได้ที่ได้จากการปลดหนี้ของเจ้าหนี้ (2) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้และเจ้าหนี้สำหรับเงินได้ที่ได้จากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (3) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้สำหรับเงินได้ที่ได้จากการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่จำนองเป็นประกันหนี้ของเจ้าหนี้ให้แก่ผู้อื่นซึ่งมิใช่เจ้าหนี้และการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการโอนอสังหาริมทรัพย์ ดังกล่าว
โดยลูกหนี้ต้องนำเงินนั้นไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชำระหรือมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันหนี้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด และ (4) ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ สำหรับหนี้ที่เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ โดยไม่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ปกติ ทั้งนี้ สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
2.7.2 ลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และห้องชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามกรณีที่กำหนด ซึ่งกรมที่ดินจะดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังกล่าว ร้อยละ 0.01 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
ทั้งนี้ การดำเนินการข้างต้นเป็นการขยายหลักเกณฑ์จากมาตรการภาษีอากรและค่าธรรมเนียมภายใต้มาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 เพื่อให้ครอบคลุมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและสามารถฟื้นฟูฐานะและกิจการแล้วประกอบอาชีพและธุรกิจต่อไปได้ และเจ้าหนี้และระบบสถาบันการเงินในภาพรวมมีต้นทุนลดลงและสามารถให้สินเชื่อแก่ประชาชนและธุรกิจต่างๆ เพิ่มเติมได้
กระทรวงการคลังขอให้คำมั่นว่าจะดูแลประชาชนทุกคนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังโดยมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนาต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 จะช่วยบรรเทาความยากลำบากของประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 โดยกระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมเพื่อดูแลเศรษฐกิจไทยอย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
o มาตรการข้อ 1.1 1.5 โทร 0 2273 9020 ต่อ 3558
o มาตรการข้อ 1.2 – 1.4 และ 2.1 โทร 0 2273 9020 ต่อ 3235
o มาตรการข้อ 1.6 – 1.8 และ 2.2 2.3 2.6 2.7 โทร 0 2273 9020 ต่อ 3697 3529 3512
o มาตรการข้อ 2.4 – 2.5 โทร 0 2241 5600
มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนาต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงทางอ้อม ระยะที่ 1
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
นายกฯ ขอให้ประชาชนมั่นใจแนวทางการรับมือโรคโควิด-19 ของรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นแนวทางการจัดการโรคโควิด–19 ของประเทศไทยมาถูกทาง มีความพร้อมทั้งการดูแลรักษา เตียง ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันตนเอง
ที่กระทรวงสาธารณสุข พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมการบริหารจัดการควบคุมป้องกันโรคโควิด-19 ของประเทศไทย โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหาร คณะที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พลเอก ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับสถานการณ์และการแก้ปัญหาโรคโควิด–19 ของประเทศไทย ได้ร่วมรับฟังความคิดเห็นจากคณะที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสาธารณสุข จากทุกภาคส่วน ทั้งการเมือง รัฐ เอกชน และผู้เชี่ยวชาญ ทำให้มีความเชื่อมั่นว่ากระบวนการแก้ปัญหาเป็นไปตามขั้นตอน และปรับตามสถานการณ์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินงานมาถูกทิศทางแล้ว การที่พบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเท่ากับเรามีการคัดกรอง ติดตามได้อย่างครอบคลุม และพบต้นตอการแพร่เชื้อ มีการติดตามผู้ที่มีความเสี่ยงทุกคนให้ครบ นอกจากนี้ รัฐบาลได้ออกประกาศมาตรการต่างๆ รองรับ มอบอำนาจให้ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด และกรุงเทพมหานคร สามารถกำหนดมาตรการเพิ่มเติม เช่น ขยายระยะเวลาปิดสถานที่มีความเสี่ยง และมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ต้องดำเนินงานอย่างเด็ดขาดและรายงานผลทุกวัน ตั้งแต่การคัดกรองที่สนามบิน ด่านต่างๆ ไปจนถึงศูนย์เฝ้าระวังที่รัฐบาลตั้งขึ้น (State quarantine) และการกักกันตัวเองที่บ้าน (Home quarantine)
ด้านมาตรการป้องกันคนภายนอกนำเชื้อเข้าประเทศ ได้เพิ่มให้ผู้เดินทางจากประเทศที่เป็นพื้นที่ระบาดต่อเนื่องต้องมีใบรับรองแพทย์ ทำประกันสุขภาพทุกคน เพื่อสกัดกั้นการนำเชื้อเข้าประเทศให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งมีการติดตามตัวด้วยแอปพลิเคชันระหว่างอยู่ในประเทศไทย หากไม่มีจะไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ
ด้านนายอนุทินกล่าวว่า วันนี้ นายกรัฐมนตรีได้มารับฟังแผนการบริหารจัดการ และพร้อมให้การสนับสนุนทุกอย่างตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ยังได้รับข่าวดีจากประเทศจีนในการสั่งซื้อวัตถุดิบผลิตยา หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดป้องกันตนเอง (PPE) ผ่านองค์การเภสัชกรรม และประเทศไทยมีผู้ผลิตชุด PPE อยู่ระหว่างการรับรองของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอย. นอกจากนี้ ได้เตรียมเตียง ยา เวชภัณฑ์ สำหรับผู้ป่วยอย่างเพียงพอ
“เราถือว่า ชีวิตสุขภาพคนไทยสำคัญ เราให้การดูแลตามมาตรฐาน มีความพร้อม ทั้งยา เวชภัณฑ์ เตียง และหอผู้ป่วย สิ่งสำคัญคือประชาชนต้องงดกิจกรรมทางสังคม มาจากพื้นที่เสี่ยงต้องอยู่บ้าน ทำตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข เพราะโรคนี้เป็นโรคที่องค์การอนามัยโลกประกาศว่าเป็นโรคระบาด เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้ป่วย เมื่อพบแล้วต้องรักษาให้หาย” นายอนุทินกล่าว
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร กล่าวว่า ผมเห็นความมุ่งมั่นของกระทรวงสาธารณสุข ผลงานที่ผ่านมาน่าชื่นชม ผู้ปฏิบัติงานมีขวัญกำลังใจ มียาและเวชภัณฑ์ ยืนยันว่าเรามาถูกทาง ซึ่งระยะแรกเป็นเรื่องของการป้องกัน ระยะต่อไปคือความร่วมมือและการสนับสนุนของหน่วยงานด้านการรักษาพยาบาลที่เป็นรูปธรรม ประชาชนจะเป็นคนกั้นไม่ให้โรคระบาด ร่วมมือในการดูแลสุขภาพตนเอง ต้องมีวินัย เชื่อในสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ ผู้ที่มีหน้าที่ต้องทำอย่างจริงจัง เมื่อทุกคนร่วมมือกันจะก้าวข้ามผ่านสถานการณ์นี้ไปได้แน่นอน
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
ครม. เศรษฐกิจ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ และประชาชน ที่ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ชุดที่ 1
ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ-ประชาชนจากสถานการณ์โควิด-19 ประกอบด้วย 4 มาตรการการเงิน 4 มาตรการภาษีสำหรับผู้ประกอบการ-สนับสนุนเงินสำหรับการใช้จ่ายแก่ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เตรียมเสนอ ครม.พิจารณา
ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม. เศรษฐกิจ) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฯ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีความรุนแรงมากและยังไม่ถึงจุดสูงสุด
ขณะนี้ ส่งผลกระทบรุนแรงทั่วโลก ในทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่ภาคการท่องเที่ยวเท่านั้น ยังกระทบไปถึงภาคการผลิตและบริการ ซึ่งกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้ที่เกี่ยวข้องได้หารือร่วมกันและติดตามสถานการณ์นี้โดยตลอด โดยคิดว่าถึงเวลาที่ควรจะมีมาตรการออกมาเป็นชุดที่หนึ่งออกมา แล้วจะมีการประเมินว่ายังขาดตรงไหน ตรงไหนมีประสิทธิผลมากกว่า และจะมีมาตรการตามออกมาเรื่อยๆ ซึ่งจะมีการใช้เงินอย่างระมัดระวัง และให้ครอบคลุมหลายๆ ส่วน
สิ่งที่สำคัญมากในขณะนี้ คือผู้ประกอบการทั้งหลายกำลังได้รับผลกระทบค่อนข้างมากโดยเฉพาะ SME เมื่อภาคการผลิตและการบริการได้รับผลกระทบ ก็ส่งผลถึงการจ้างงานถึงประชาชนทั่วไป ฉะนั้น ครม.เศรษฐกิจในวันนี้จึงได้พิจารณาในหลักการของมาตรการชุดที่หนึ่ง โดยการให้เงินช่วยเหลือเป็นแค่เพียงเสี้ยวเดียว ภาวะยามนี้เป็นภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญปัญหา วันนี้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และทุกฝ่ายมีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียวกัน วาระที่เข้า ครม.เศรษฐกิจวันนี้ผ่านการกลั่นกรองเรียบร้อยแล้ว และไม่ใช่ว่าออกมาแล้วจบ เป็นเพียงชุดที่หนึ่งในช่วงเวลานี้ วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นยังไม่สามารถยืนยันได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของโลก
ฉะนั้น พวกเราต้องช่วยกัน ทั้งนี้ สถานการณ์โลกขณะนี้ เราทำนายไม่ได้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่านี้อีก เพื่อความรอบคอบ กระทรวงการคลังจะหารือกับสำนักงบประมาณ ดูระเบียบกฎเกณฑ์ เพื่อจัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ช่วยเหลือผ่อนคลายภาระต่างๆ ที่จำเป็นในอนาคต เช่น กรณีมีคนตกงาน จะต้องมีการฝึกฝน อบรมเพื่อให้เขาสามารถอยู่รอดต่อไปได้ เป็นต้น
ด้านนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงว่า มาตรการที่นำเสนอวันนี้ เพื่อดูแลและเยียวยาให้ครอบคลุมที่สุด โดยร่วมกันคิดมาตรการที่ทันการณ์ ตรงเป้าหมาย มีน้ำหนัก โดยมาตรการชุดแรกเป็นมาตรการชั่วคราวเท่าที่จำเป็น ครอบคลุมกลุ่มผู้ประกอบการและประชาชน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระให้ประชาชน ซึ่งจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะเริ่มอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้ภายในเดือนเมษายน 2563 โดยมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการจะมีมาตรการ 2 ด้าน คือ มาตรการด้านการเงิน และมาตรการด้านภาษี โดยมาตรการด้านการเงิน
จะมี 4 เรื่อง ประกอบด้วย 1. สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟท์โลน ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของไวรัสโคโรนาและที่เกี่ยวเนื่อง โดยธนาคารออมสินจะปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงินอื่นๆ ในอัตราดอกเบี้ย 0.01% เพื่อให้นำไปปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% 2. มาตรการพักเงินต้น และพิจารณาการผ่อนภาระดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สถาบันการเงินของรัฐ 3. การปรับโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้ที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) และลูกหนี้ที่เริ่มเป็นเอ็นพีแอล หรือได้รับผลกระทบ
โดยจะให้มีการยืดเวลาชำระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย ขยายเวลาการกู้เงินให้เป็นระยะเวลายาวมากขึ้น รวมถึงลดค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมทั้งลูกหนี้ธุรกิจรายใหญ่ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสินเชื่อบุคคล โดยในส่วนเรื่องบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ให้ผ่อนขั้นต่ำน้อยกว่า 10% และสามารถแปลงหนี้ที่มีการหมุนโดยต่อเนื่องให้เป็นหนี้ระยะยาวได้ 4. มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยอัตราพิเศษของสำนักงานประกันสังคม โดยจะให้นายจ้างและลูกจ้างกู้ได้ เพื่อบรรเทาภาระและเป็นเงินทุนเวียน โดยหลังจากนี้สำนักงานประกันสังคมจะกลับไปพิจารณาหลักการดำเนินงาน
ส่วนมาตรการด้านภาษี ประกอบด้วย 4 เรื่อง ได้แก่ 1. มาตรการลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้กับผู้ประกอบการเป็นการชั่วคราว เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ 2. มาตรการภาษีเพื่อลดดอกเบี้ยจ่ายให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เขาร่วมโครงการสินเชื่อพิเศษซอฟท์โลน และผู้ประกอบการที่ทำบัญชีเดียว ให้สามารถนำภาระดอกเบี้ยเงินกู้มาคำนวณเป็นรายจ่ายหักลดหย่อนภาษีได้ 3. มาตรการส่งเสริมการจ้างงาน ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นำรายจ่ายค่าจ้างลูกจ้าง มาหักลดหย่อนภาษีได้ 3 เท่า ในช่วง 1 เมษายน - 31 กรกฎาคม 2563 เพื่อดูแลพนักงานลูกจ้าง และ 4. กระทรวงการคลังจะเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศให้เร็วขึ้น หากยื่นแบบผ่านระบบอินเทอร์เน็ต จะได้รับคืนภายใน 15 วัน ส่วนผู้ประกอบการที่ยื่นแบบปกติจะได้คืนภายในไม่เกิน 45 วัน
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่ารัฐบาลยังมีมาตรการอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ประกอบด้วย 1. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาลดค่าธรรมเนียม ค่าเช่า และค่าตอบแทนต่างๆ ที่เก็บจากภาคเอกชนที่เช่าพื้นที่ราชพัสดุ 2. ให้มีการบรรเทาภาระค่าน้ำ ค่าไฟ ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพลังงานจะพิจารณารายละเอียดการดำเนินการที่เหมาะสม 3. ลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบจะพิจารณาการดำเนินการตามความเหมาะสม 4. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563
โดยกระทรวงคลังจะปรับปรุงขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะการเร่งดำเนินการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เร็วขึ้น และ 5. มาตรการสร้างความเชื่อมั่นช่วยเหลือตลาดทุน โดยการขยายวงเงินการซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) วงเงินพิเศษ โดยวงเงินใหม่จะต้องซื้อภายในมิถุนายน 2563 และ SSF สามารถลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนได้มากกว่า 65% ระยะเวลาถือครอง 10 ปี นอกจากนี้ มีมาตรการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยสนับสนุนเงินให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และผู้ประกอบอาชีพอิสระ เดือนละ 1,000 บาท/ราย เป็นเวลาไม่เกิน 2 เดือน โดยใช้ระบบ e-Payment ที่มีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว
นอกจากนี้ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กรรมการและเลขานุการ ครม.เศรษฐกิจ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนมกราคม 63 เติบโตได้ต่ำกว่าปกติในหลายด้าน ทั้งเรื่องการลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ การท่องเที่ยว การส่งออกที่ยังติดลบ ส่งผลทำให้แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาส 1/63 เติบโตได้ต่ำกว่าคาดการณ์พอสมควร และจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งปี 63 ทั้งนี้ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ขยายความรุนแรงมากขึ้น จากเดิมประเมินว่าจะจบใน 3 เดือน และจะใช้เวลาฟื้นตัวอีก 3 เดือน แต่จากการประเมินใหม่คาดว่าสถานการณ์จะจบได้ภายใน 6 เดือน และกว่าจะสร้างความมั่นใจต้องใช้เวลาอีก 3 เดือน คาดว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปลายไตรมาส 3/63 ถึงต้นไตรมาส 4/63 แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
“วันนี้ ความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ไตรมาสที่ 1 มีผลกระทบงบประมาณไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ใจผมคิดว่า ไตรมาส 1 คงออกมาต่ำคงต่อเนื่องจากไตรมาส 4 เมื่อปีที่แล้ว ตัวเลขเบื้องต้นเดือนมกราคมจะต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 อยากให้ทุกคนทำใจ รัฐบาลก็ทำใจ ตัวเลขไตรมาสที่ 1 ปีนี้ไม่ดี หลังจากนั้นก็หวังว่าไตรมาส 2 ตัวเลขการใช้จ่ายภาครัฐจะกลับคืนมา แต่ว่าท่องเที่ยวเราคิดว่าจะแย่ต่อเนื่องระยะเวลาหนึ่ง วันนี้ตัวเลขท่องเที่ยวหายไป 50%” นายกอบศักดิ์ กล่าว
นายกอบศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า ที่ประชุมได้มีการหารือมาตรการบรรเทาผลกระทบสายการบินต่าง ๆ ทั้งเรื่องการลดค่าใช้จ่ายสายการบิน เช่น การปรับลดค่าบริการสนามบิน มาตรการลดค่าบริการการเดินอากาศ การปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบิน ที่อยากจะขอเพิ่มถึงกลางปีนี้ เป็นต้น ซึ่งมาตรการทั้งหมดจะเสนอ ครม.พิจารณาต่อไป
นายกฯ ประชุมครม.เศรษฐกิจ พิจารณามาตรการช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยืนยันพร้อมนำพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตให้ได้
นายกรัฐมนตรีประชุม ครม.เศรษฐกิจ พิจารณามาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ออกมาตรการระยะสั้นให้เงินช่วยเหลือ 2 เดือน ยืนยันพร้อมนำพาคนไทยผ่านพ้นจากวิฤตการณ์ต่าง ๆ ในเวลานี้ไปให้ได้
ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.) เศรษฐกิจ ซึ่งภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีเผยว่า การประชุม ครม.เศรษฐกิจวันนี้ หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้นำเสนอมาตรการต่าง ๆ โดยสิ่งแรกคือขออย่านำประเด็นเรื่องการให้เงินช่วยเหลือเป็นการชั่วคราวในระยะเวลาเพียงแค่ 2 เดือนมาเป็นประเด็นสำคัญ เพราะมีประเด็นอื่นอีกหลายประเด็นทั้งในภาคประชาชน ผู้ประกอบการ SME มาตรการทางภาษี การเงินการคลังต่าง ๆ หลายมาตรการ
อย่างไรก็ตาม ได้มีการเตรียมความพร้อมไว้ วันนี้ต้องแยกแยะให้ออกว่าอะไรคือมาตรการเร่งด่วนชั่วคราว 2 เดือน ซึ่งบางส่วนอยู่ในการทำงานของรัฐบาลอยู่แล้วในเรื่องการบริหารแผนงานโครงการต่าง ๆ ที่จะนำมาเสริม มาตรการวันนี้คือมาตรการบรรเทาลดผลกระทบจากโควิด-19 นอกจากนั้น รัฐบาลยังจะมีมาตรการรองรับปัญหาภัยแล้ง อะไรที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมก็ต้องพิจารณาโดยรวมทั้งหมด โดยในส่วนของการให้เงินประชาชน ถ้าดูในต่างประเทศเขาก็ทำ แต่ของเราไม่ได้ทำจำนวนมากขนาดนั้น สิ่งที่เราทำวันนี้ไม่ใช่แค่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะต้องมีการขึ้นบัญชีขึ้นทะเบียนใหม่ ให้รวมถึงประชาชนกลุ่มอื่นๆ ด้วย จึงขอให้เข้าใจให้ครบถ้วน มากบ้างน้อยบ้างก็ต้องยอมรับ เพราะในช่วง 2 เดือนนี้คือปัญหา
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องการท่องเที่ยวว่า วันนี้มีข้อมูลมากพอสมควร อะไรที่ลดลงไปก็ต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการบ้าง เช่น การช่วยเหลือเรื่องการจัดการประชุมตามโรงแรมต่าง ๆ ที่มีรายได้ลดลง การกู้เงิน Soft Loan ทั้งนี้ ขอให้แยกแยะให้ออก ถ้าจะโจมตีกันทุกเรื่องก็จะไปไม่ได้ เป็นมาตรการระยะสั้น 2 เดือน ไม่ได้แจกเรื่อยเปื่อย ไม่ใช่ว่ารัฐบาลนี้ดีแต่แจกเงิน ต้องเห็นใจคนผู้มีรายได้น้อยที่เขาไม่มีรายได้ ผู้ประกอบการค้าขาย ขายอาหารร้านเล็ก ๆ ต้องดูทั้งหมด ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งนอกเหนือจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ขึ้นทะเบียนไว้ วันนี้ต้องมาดูผลกระทบด้วยคนที่ไม่ได้อยู่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็ต้องให้อีกทางหนึ่ง ขณะนี้กำลังหาข้อมูลตัวเลขประชาชนอยู่ แต่สรุปว่าจะให้เงินคนละ 1,000 บาทต่อเดือน เรื่องนี้ไม่ใช่ง่าย ไม่ใช่ว่ารัฐบาลทำอะไรไม่เป็นนอกจากแจกเงิน ให้ไปถามประชาชนที่เดือดร้อนบ้าง เมื่อวานตนก็ได้พบปะกับประชาชนหลายภาคส่วน ทั้งผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ประชาชนทั่วไป ธุรกิจท่องเที่ยวต่าง ๆ มาตรการโดยรวมจึงออกมาตรงนี้ก่อน ถ้าอีก 2 เดือนยังมีปัญหาอีก ก็ต้องว่ากันต่อไปเป็นระยะ ๆ ขอให้ไว้ใจกันบ้าง โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมจะนำพาประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตเหล่านี้ให้ได้
“ผมยืนยันอย่างแท้จริงว่าผมและคณะรัฐมนตรีทุกคนพร้อมที่จะนำพาพวกเราผ่านพ้นจากวิฤตการณ์ต่างๆ ในประเทศไทยเวลานี้ไปให้จงได้ ขอให้ทุกคนช่วยกัน ร่วมมือกัน เมื่อวานนี้มีเรื่องหนึ่งคือประชาชนที่มาพบผม เขาขอให้สื่อที่ลงพาดหัวอะไรที่ร้ายแรงข้างหน้า ขอให้ลดลงหน่อย เพราะเขาก็ห่อเหี่ยวไปเหมือนกัน และทำให้คนไม่ไปซื้อของเขา เขาขอร้องผมมาให้ช่วยบอกกับพวกเราหน่อย” นายกรัฐมนตรีกล่าว
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
สปน.แจงเงินบริจาคแก้ปัญหาโควิด-19 จะเตรียมไว้สนับสนุน จนท.-บุคลากร ทางการแพทย์ และอุปกรณ์เวชภัณฑ์ในส่วนที่เบิกจ่ายจากทางราชการไม่ได้ ไม่ได้นำไปแจกให้ประชาชนทั่วไป
วันที่ 7 มีนาคม 2563 นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาจากการระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 และการแก้ไขปัญหาบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นทางเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบในภาพรวม โดยเฉพาะเกี่ยวกับการป้องกันการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 รัฐบาลมีนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหา ดังนี้
สำหรับ เรื่องแนวทางการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่มีข่าวออกมานั้น เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการรับบริจาค ซึ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางเศรษฐกิจนั้น ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีก่อน
ช่วงนี้มีข่าวหลายประเด็นออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน ดังนั้น จึงขอความร่วมมือสื่อมวลชนทุกท่านทุกสาขาติดตามตรวจสอบประเด็นต่าง ๆ ในภาพรวม เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด