เกรซ-หมอก้อง นำทีม ช่วยนายกฯประยุทธ์-จุรินทร์ รณรงค์หน้ากากผ้า หน้ากากทางเลือก
ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับศิลปินดารา เช่น เกรท วรินทร หมอก้อง สรวิชญ์ หมิง จิรกิติยา และเบน สันติราษฏร์ ร่วมรณรงค์การใช้หน้ากากผ้าหน้ากากทางเลือกพร้อมด้วยผู้นำชุมชน จากหมู่บ้านที่ทำมาค้าขายและตลาดในความส่งเสริมของกรมการค้าภายใน ประชาสัมพันธ์ผู้บริโภคยุคใหม่'ฉลาดซื้อ ประหยัดใช้' รณรงค์ใช้หน้ากากผ้าและหน้ากากทางเลือก ทดแทนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ให้เพียงพอต่อบุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วย ผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย ได้ใช้เป็นลำดับแรก
ทั้งนี้ ได้นำผลิตภัณฑ์หน้ากากผ้าฝีมือการตัดเย็บจากเครือข่ายกรมการค้าภายใน กลุ่มวิสาหกิจชุมชน หมู่บ้านทำมาค้าขาย กลุ่มโอทอปและผลิตภัณฑ์จากศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ(องค์การมหาชน) มาประชาสัมพันธ์แก่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีอีกด้วย
“หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตโดยโรงงานในปัจจุบัน 30 กว่าโรงงานในประเทศไทยยังคุมราคาอยู่ที่ไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท จากการตรวจสอบที่ผ่านมาราคาเฉลี่ยยังไม่เกิน 2.50 บาท ถ้ามีกรณีที่ขายเกินราคาหรือไม่ติดป้ายก็จะมีการดำเนินคดีทันที และจะมีการจับกุมดำเนินคดีหากขายเกินสมควรหรือค้ากำไรเกินควร” รมว.พาณิชย์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ส่วนหน้ากากผ้าสามารถขายได้ตามกลไกตลาด และรัฐบาลส่งเสริมให้มีการผลิตเพื่อประชาชนจะได้ใช้ได้ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ให้การรับรองแล้วว่าสามารถป้องกันได้และใช้สำหรับผู้ที่ไม่ป่วยและคนปกติ ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยงจึงใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ยังสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้หน้ากากผ้าจากฝีมือคนไทย ซึ่งเป็นการนำเศษผ้าจากการตัดเย็บผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกาย อย่างผ้าฝ้ายพื้นบ้านย้อมสีธรรมชาติ ผ้าไหมพื้นบ้านย้อมสีธรรมชาติ หรือการใช้ผ้าพื้นถิ่นของชุมชนต่างๆมาออกแบบหน้ากากผ้า ซึ่งนอกจากจะใช้ทดแทนหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคไวรัสโคโรนา2019 แล้วยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ให้มีความมั่นคงและเข้มแข็งเป็นโอกาสของชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนั้น นายจุรินทร์ได้มอบหมายให้พาณิชย์ทุกจังหวัดออกตรวจตลาด-ร้านค้า ที่มีการจำหน่ายทั้งสินค้าหน้ากากและสินค้าอุปโภคบริโภคพร้อมรายงานความเคลื่อนไหวโดยให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ติคตามดูแลทั้งปริมาณและราคาทั้งนี้เพื่อช่วยประชาชนอย่างทั่วถึง และป้องกันการทำผิดกฎหมายขายเกินราคารวมทั้งการเข้มงวดกับทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีการจัดจำหน่ายด้วยเช่นกัน และหากประชาชนพบเห็นการขายเกินราคาให้ประสานงานที่สายด่วน 1569 กรมการค้าภายใน
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
โค้งสุดท้ายรับสมัครเพื่อเป็นข้าราชการรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนพัฒนาระบบราชการ
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ ก.พ.ร. ได้ดำเนินโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่หรือ นปร. เพื่อสร้างข้าราชการรุ่นใหม่ที่มีสมรรถนะครบครันป้อนเข้าสู่ระบบราชการ โดยผ่านการเสริมศักยภาพทั้งทางด้านวิชาการ และด้านปฏิบัติ เป็นระยะเวลาในการฝึกอบรม 22 เดือน จากนั้นจึงโอนย้ายถ่ายเทไปยังหน่วยงานที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
ซึ่ง นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ ก.พ.ร. ได้กล่าวในการสัมมนาเครือข่ายข้าราชการในโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่หรือ นปร. ว่า
“ราชการเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนประเทศ ในวันนี้ และวันข้างหน้า นปร.คือกำลังคนคุณภาพที่จะทำให้ราชการมีความเข้มแข็ง ในการเดินไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมายชัดเจน มีเป้าหมายร่วมกันในการดูแลประเทศโดยใช้กลไกราชการ”
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ได้เห็นความสำคัญของข้าราชการในโครงการ นปร. จึงได้ให้แนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้ในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการครั้งที่ 3/2563 ที่ผ่านมา
โดยในปีนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. ได้เปิดรับสมัครบุคคลทั่วไปและข้าราชการที่มีคุณสมบัติเบื้องต้น จบปริญญาโท อายุไม่เกิน 30 ปี หรือจบปริญญาเอก อายุไม่เกิน 35 ปี เพื่อคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ นปร. รุ่นที่ 15 โดยไม่ต้องผ่านการสอบภาค ก. ซึ่งได้เปิดรับสมัครมาตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 และจะสิ้นสุดการรับสมัครในวันที่ 15 มกราคม 2564 ที่จะถึงนี้เท่านั้น
ทั้งนี้สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 02 356 9999 ต่อ 8928 หรือ โทร 02 141 9017-18 หรือ www.opdc.go.th และ www.igpthai.org หรือ Facebook Fanpage : นักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ และสมัครออนไลน์เท่านั้นที่ https://opdc.thaijobjob.com ชมคลิปแนะนำโครงการที่ https://www.youtube.com/watch?v=nzz2j2Z5FI0
A1185
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ครม. เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2565 จำนวน 3.1 ล้านล้านบาท ภายใต้กรอบจีดีพี ปี 65 โต 3-4% เงินเฟ้อ 0.7-1.7%
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 65 จำนวน 3,100,000 ล้านบาท ลดลง 5.66% หรือ 185,962.5 ล้านบาท จากปีงบประมาณ 64 ภายใต้สมมติฐานเศรษฐกิจไทยปี 65 ขยายตัว 3-4% อัตราเงินเฟ้อ อยู่ในช่วง 0.7-1.7%
ทั้งนี้ โครงสร้างงบประมาณรายจ่าย ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ 2,354,403.3 ล้านบาท สัดส่วน 75.95% ของวงเงินงบประมาณ รายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลัง 596.7 ล้านบาท สัดส่วน 0.02% ของวงเงินงบประมาณ
รายจ่ายเพื่อชดเชยเงินทุนสำรองจ่าย 25,000 ล้านบาท สัดส่วน 0.81% ของวงเงินงบประมาณ รายจ่ายลงทุน จำนวน 620,000 ล้านบาท สัดส่วน 20% ของวงเงินงบประมาณ รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 100,000 ล้านบาท สัดส่วน 3.22% ของวงเงินงบประมาณ
นายอนุชา กล่าวว่า แม้รายจ่ายเพื่อการลงทุนปี 65 จำนวน 620,000 ล้านบาท จะมีจำนวนเงินลดลงจาก ปี 64 ที่ 29,310.2 ล้านบาท แต่สัดส่วนเพิ่มขึ้น 20%ของวงเงินงบประมาณ 65 ซึ่งครม. ยังมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ พิจารณาการลงทุนให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งจากเงินงบประมาณของรัฐ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) การลงทุนของรัฐวิสาหกิจ และการลงทุนโดยใช้เงินจากกองทุน เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFF) และการลงทุนจากต่างประเทศ
ขณะเดียวกันกำชับการใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 เช่น การให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่ากับผู้ถูกเลิกจ้างหรืออยู่ระหว่างหางานทำ ต้องเน้นฝึกอบรมทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจ เพื่อเตรียมความพร้อมในการหางานทำต่อไป รวมทั้งชะลอรายจ่ายประจำที่สามารถดำเนินการได้เน้นการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนมากขึ้น เพื่อให้การใช้ง่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและความเห็นของที่ประชุม 4 หน่วยงาน เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
สาระสำคัญ
สมมติฐานทางเศรษฐกิจ
- อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (Real GDP) ร้อยละ 3.0 – 4.0
- อัตราเงินเฟ้อ (GDP Deflator) ร้อยละ 0.7 – 1.7
วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
1) งบประมาณรายจ่าย จำนวน 3,100,000 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 185,962.5 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 5.66 ประกอบด้วยประมาณการรายจ่าย ดังต่อไปนี้
(1) รายจ่ายประจำ จำนวน 2,354,403.3 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 183,249 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 7.22 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.95 ของวงเงินงบประมาณ
(2) รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 596.7 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.02 ของวงเงินงบประมาณ
(3) รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย จำนวน 25,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.81 ของวงเงินงบประมาณ
(4) รายจ่ายลงทุน จำนวน 620,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.00 ของวงเงินงบประมาณ
(5) รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 100,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 1,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.01 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.22 ของวงเงินงบประมาณ
2) รายได้สุทธิ จำนวน 2,400,000 ล้านบาท ลดลงจากประมาณการรายได้สุทธิปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามเอกสารงบประมาณ จำนวน 277,000 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 10.35
3) งบประมาณขาดดุล จำนวน 700,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 91,037.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.95 คิดเป็นร้อยละ 4.04 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
1) การลงทุนของประเทศในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ควรพิจารณาให้ครอบคลุมการลงทุนจากทุกแหล่งเงิน ประกอบด้วย การลงทุนจากเงินงบประมาณของภาครัฐ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership : PPP) การลงทุนของรัฐวิสาหกิจ และการลงทุนโดยใช้เงินจากกองทุน เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFF) และการลงทุนจากต่างประเทศ
2) ควรมีการกำหนดเงื่อนไขของการใช้ง่ายเงินงบประมาณ โดยเฉพาะการใช้จ่ายที่มีลักษณะเป็นการโอนเงินให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เช่น การให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่ากับผู้ถูกเลิกจ้างหรือผู้ที่อยู่ระหว่างหางานทำ ควรมีการกำหนดเงื่อนไขให้มีการฝึกอบรมทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ถูกเลิกจ้างในการหางานทำต่อไป และทำให้การใช้ง่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3) เพื่อเป็นการสร้างศักยภาพของประเทศและความยั่งยืนในระยะต่อไปตามแผนการคลังระยะปานกลาง จึงเห็นควรให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการลงทุนมากขึ้น และชะลอรายจ่ายประจำที่สามารถดำเนินการได้
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
นายกรัฐมนตรีเผยให้สามารถนั่งทานอาหารที่ร้านได้จนถึง 21.00 น. ย้ำต้องมีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด เดินหน้าเตรียมความพร้อมวัคซีนระยะแรกจำนวน 2 ล้านโดส
นายกรัฐมนตรีเผยให้สามารถนั่งทานอาหารที่ร้านได้จนถึง 21.00 น. ย้ำต้องมีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด เดินหน้าเตรียมความพร้อมวัคซีนระยะแรกจำนวน 2 ล้านโดส
ณ บริเวณทางเชื่อมตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) นายกรัฐมนตรีเผยว่า รัฐบาลกำลังเร่งตรวจสอบคัดกรองในหลายพื้นที่ โดยให้ความสำคัญกับการควบคุมผู้ป่วยติดเชื้อให้อยู่ในสถานที่ที่สามารถควบคุมได้ เพื่อนำเข้าสู่ระบบการตรวจสอบคัดกรองได้มากยิ่งขึ้น จำนวนตัวเลขผู้ป่วยแม้จะสูงขึ้น แต่แสดงให้เห็นว่ามาตรการในการควบคุมป้องกันอยู่ในระดับดีมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม อาจส่งผลกระทบต่อความยากลำบากในการเดินทางของพี่น้องประชาชนบ้าง จึงขออภัยในความไม่สะดวกและขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือแก่เจ้าหน้าที่ด้วย
นายกรัฐมนตรีเผยจากการรับฟังข้อเสนอจากสมาคมภัตตาคารไทยที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากคำสั่งยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 จึงได้ขอให้ยกเลิกคำสั่งของกทม. ไปก่อนและให้ขยายระยะเวลานั่งรับประทานอาหารที่ร้านอาหารได้จนถึง 21.00 น. แต่ต้องมีมาตรการเข้มงวดทั้งการกำหนดจำนวนคน เว้นระยะห่าง ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากไม่สามารถดำเนินการได้ อาจให้ปิดบริการ โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่าเข้าใจถึงสถานการณ์และไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อภาคธุรกิจ ทั้งนี้ รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว ทั้งมาตรการและการจัดหางบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเตรียมการรับสถานการณ์ต่อไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเผยถึงความคืบหน้าในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ซึ่งได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนไปบ้างแล้วในบางประเทศ ขณะที่ประเทศไทยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก ต้องผ่านมาตรฐานการรองรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ไม่มีผลข้างเคียง ซึ่งมอบหมายให้กรมควบคุมโรคและสถาบันวัคซีนแห่งชาติทำงานร่วมกัน เบื้องต้น คาดว่าจะได้รับจากวัคซีนเบื้องต้นเป็นจำนวน 2 ล้านโดส ในระยะเวลา 3 เดือน โดยจะจัดลำดับการฉีดวัคซีนตามความเร่งด่วน และวัคซีนอีก 26 ล้านโดสจะเข้ามาในระยะต่อไป และจะมีเพิ่มเติมอีก 35 ล้านโดส ซึ่งคาดว่าจะทำให้สามารถฉีดวัคซีนแก่คนไทยส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดได้ ทั้งนี้ ก็จะมีการพิจารณาหากมีความจำเป็นที่ต้องฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนทั้งประเทศ ก็มีความพร้อมในการผลิต
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังเตือนให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เช่นกัน ยืนยันว่า รัฐบาลทั้งนายกรัฐมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกหน่วยงาน บูรณาการการทำงานบนพื้นฐานข้อมูลเดียวกันที่ผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ขอให้ประชาชนมั่นใจรัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ราชกิจจานุเบกษา ประกาศคำสั่ง ศบค. กำหนดพื้นที่ควบคุมสูงสุดใน 28 จังหวัด เป็นเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีผลตั้งแต่วันนี้ (4 ม.ค. 64) เป็นต้นไป
ราชกิจจานุเษกษา เผยแพร่ประกาศคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (โควิด-19) ที่ 1/2564 เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ลงนามโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ระบุว่า
คําสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 1/2564 เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กําหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปี 48
ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.63 และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไป เป็นคราวที่ 8 จนถึงวันที่ 15 ม.ค.4 นั้น
เพื่อให้การบริหารจัดการและเตรียมความพร้อมในการป้องกันการระบาดระลอกใหม่ ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามแนวทางการจัดเขตพื้นที่สถานการณ์ตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปี 48 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอํานาจตามความในข้อ 4(2) ของคําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2563 เรื่อง แต่งตั้งผู้กํากับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ลงวันที่ 25 มี.ค.63 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อํานวยการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยคําแนะนําของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์ และสาธารณสุขและศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงมหาดไทย จึงมีคําสั่งให้หัวหน้า ผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรการ ตามข้อกําหนดฯ สําหรับเขตพื้นที่สถานการณ์ที่กําหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ตามบัญชีรายชื่อจังหวัด แนบท้ายคําสั่งนี้
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.64 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างอื่น
โดย 28 จังหวัดที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ประกอบด้วย
1. กรุงเทพมหานคร
2. จังหวัดกาญจนบุรี
3. จังหวัดจันทบุรี
4. จังหวัดฉะเชิงเทรา
5. จังหวัดชุมพร
6. จังหวัดชลบุรี
7. จังหวัดตราด
8. จังหวัดตาก
9. จังหวัดนครนายก
10. จังหวัดนครปฐม
11. จังหวัดนนทบุรี
12. จังหวัดปทุมธานี
13. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
14. จังหวัดปราจีนบุรี
15. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
16. จังหวัดเพชรบุรี
17. จังหวัดราชบุรี
18. จังหวัดระนอง
19. จังหวัดระยอง
20. จังหวัดลพบุรี
21. จังหวัดสิงห์บุรี
22. จังหวัดสมุทรปราการ
23. จังหวัดสมุทรสงคราม
24. จังหวัดสมุทรสาคร
25. จังหวัดสุพรรณบุรี
26. จังหวัดสระแก้ว
27. จังหวัดสระบุรี
28. จังหวัดอ่างทอง
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด