นายกฯ ลงนามยกเลิกข้อกำหนดห้ามเสนอข่าวอันอาจสร้างความหวาดกลัวแล้ว มีผลตั้งแต่ 9 ส.ค. หลังศาลสั่งศาลคุ้มครองชั่วคราว
ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 31 ) ซึ่งลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีรายละเอียดระบุว่า ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2563 และต่อมkได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไป เป็นคราวที่ 13 จนถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2564 นั้น
โดยที่ได้มีการออกข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 29 ) ลงวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 แต่ต่อมาศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้ระงับการบังคับใช้ข้อกำหนดดังกล่าวเป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ศบค.) เห็นว่า แม้จะเป็นคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามคำขอในเหตุฉุกเฉิน ซึ่งศาลยังไม่ได้กำหนดวันนัดเพื่อส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้คู่ความ เพราะอยู่ระหว่างการแพร่ระบาดของโรคซึ่งทวีความรุนแรงขึ้น และคู่ความอาจยื่นคำขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งนั้นได้ตามมาตรา 267 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่เมื่อปรากฎว่าในทางปฏิบัติยังไม่ได้บังคับใช้ข้อกำหนดนั้นแก่กรณีใดและเจ้าหน้าที่อาจนำมาตรการทางกฎหมายอื่นมาบังคับใช้ได้ตามที่ศาลกล่าวถึง
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกำหนดให้ยกเลิกข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ 29 ) ลงวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/185/T_0001.PDF
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
นายกฯ ยืนยันจัดสรรงบฯ ตามความจำเป็นเร่งด่วน เป็นธรรมและทั่วถึง ย้ำบริหารสถานการณ์โควิด-19 ภายใต้ ศบค. ยืนยันให้เกียรติทุกพรรคทุกคนในการทำงาน
ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ยืนยันให้เกียรติรัฐมนตรีทุกคนและทุกพรรค และสามารถพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีได้ทุกโอกาส ที่ผ่านมาได้มีพูดคุยกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาโดยตลอด เพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งการควบคุมการแพร่ระบาด การจัดหาและการกระจายวัคซีน ภายใต้การทำงานร่วมกันในศบค. ด้วยการบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสาธารณสุข พลเรือน ตำรวจ ทหาร รับฟังข้อเสนอแนะของบุคลาทางการแพทย์และสาธารณสุขเป็นหลักเพื่อนำมติที่เห็นชอบร่วมกันไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันการกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายโอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวกรณีกฎหมาย 31 ฉบับนั้น เป็นไปเพื่อประสิทธิภาพในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เพราะกฎหมาย พ.ร.บ.โรคติดต่อร้ายแรงอันตรายให้กรอบอำนาจเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกระทรวงสาธาณสุขไม่สามารถที่จะไปสั่งการหน่วยงานอื่นได้ ทั้งตำรวจ ทหาร หรือกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น และการเข้ามาดูแลการบริหารงบประมาณและวัคซีน ก็เพื่อหาแนวทางจัดหางบประมาณมาให้เพียงพอต่อการจัดหาวัคซีน ทั้งงบวงเงินกู้ 4 หมื่นกว่าล้านบาท และงบกลาง
โดยพิจารณาตามความจำเป็นเร่งด่วนเป็นสำคัญ นายกรัฐมนตรียืนยันการใช้จ่ายงบกลางเป็นไปตามกลไลที่มีการตรวจสอบคัดกรองแผนงานโครงการต่างๆ ก่อนดำเนินการทั้งสิ้น เพื่อให้คุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุด โดยให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นหลักครอบคลุมทุกภาค ทุกจังหวัด และทุกกลุ่มจังหวัด รวมถึงการแก้ปัญหาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและภัยพิบัติต่างๆ ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง ตลอดจนการดูแลการปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่และปริมาณน้ำ เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันว่า โครงการที่เสนอมามาจากความต้องการของพื้นที่จากผู้ว่าราชการจังหวัที่เห็นว่าเกิดประโยชน์ต่อประชาชน รัฐบาลก็พร้อมจัดสรรและสนับสนุนงบประมาณให้เกิดความทั่วถึงและเป็นธรรม สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ส่วนโครงการที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอมา รัฐบาลก็มีการจัดสรรงบประมาณให้ตามความจำเป็นเร่งด่วนโดยเป็นโครงการที่รายละเอียดชัดเจนครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย นายกรัฐมตรียังให้การสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจในการจัดสั่งซื้อและจัดสั่งจองทั้งหมดตั้งแต่ที่มีการเริ่มดำเนินการของวัคซีน ซึ่งเมื่อมีการรับรองก็มีการทยอยนำเข้ามาบางส่วนแล้วตามกำหนดและจะเร่งแจกจ่ายต่อไปในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ได้วางแผนไว้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด -19 ที่เกิดขึ้น
นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในกรุงเทพมหานคร ที่พบในแคมป์คนงาน ตลาดสดว่า เป็นเรื่องของความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งอาจจะมีคัสเตอร์ที่อยู่ในพื้นที่แออัด ซึ่งเมื่อมีคนแออัดมากก็ต้องระมัดระวังมากขึ้นที่สุด ดังนั้น รัฐบาลกำลังหามาตรการที่เหมาะสมในการควบคุม คัดกรอง แยกคน แต่ยังสามารถควบคุมในพื้นที่จำกัดได้ โดยเฉพาะคลัสเสตอร์กลุ่มเสี่ยง 39 คลัสเตอร์ รวมถึงการหาแนวทางในการดูแล กรมราชทัณฑ์ และในแต่ละจังหวัด
นายกรัฐมนตรียังย้ำวัคซีนใช้สำหรับคนที่ยังไม่เป็นโรคโควิด 19 แต่หากนำวัคซีนไปให้กับผู้ที่ติดโรคโควิด 19 อาจทำให้อาการแย่ลงได้ ขณะนี้ได้มีการนำพืชสมุนไพรของไทยซึ่งจะเป็นรายได้ของประเทศต่อไปในอนาคต เช่น “ฟ้าทะลายโจร” มาใช้ควบคู่กับยาฟาวิพิราเวียร์ในการรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการในเรื่องดังกล่าวทั้งหมดทุกขั้นตอน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ย้ำขอให้ทุกคนอย่าสร้างความเกลียดชัง วันนี้ประเทศไทยต้องการความเป็นหนึ่งเดียว
นายกรัฐมนตรีชี้แจงการตั้งงบประมาณกระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข การใช้เงินเพื่อเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งได้พิจารณาจัดสรรอย่างเหมาะสม
นายกรัฐมนตรีชี้แจงการตั้งงบประมาณกระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข การใช้เงินเพื่อเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งได้พิจารณาจัดสรรอย่างเหมาะสม รวมทั้งได้วางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาประเทศมาโดยตลอด
ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดย นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงถึงงบประมาณกระทรวงกลาโหม ในปี 2565 ซึ่งถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563-2564 ตามเหตุผลและความจำเป็น ขณะที่งบประมาณกระทรวงสาธารณสุขที่รวมถึงกองทุนหลักประกันสุขภาพ กองทุนแพทย์ฉุกเฉิน กองทุนภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย ซึ่งสูงกว่างบประมาณของกระทรวงกลาโหม และค่าใช้จ่ายที่ถูกปรับลดลงเพียงร้อยละ 1.97 ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ต้องการให้กระทบต่อการให้บริการประชาชน
ด้านงบประมาณทางสังคม การเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณอุดหนุนเด็กแรกเกิดสูงขึ้นทุกปี ในปี 2565 มีเด็กกว่าสองล้านคนได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยลดความสำคัญกับงบประมาณด้านการศึกษาเลย แต่เนื่องจากจำนวนนักเรียนลดลง จากอัตราการเกิดลดลง รัฐบาลมีโครงการสนับสนุนอาหารเสริม สำหรับนักเรียน 6.87 ล้านคน และสนับสนุนอาหารกลางวันให้นักเรียน 5.88 ล้านคน เป็นงบประมาณรวมทั้งสิ้นกว่า 25,400 ล้านบาท มีโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งมีการเพิ่มงบประมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมให้แก่ผู้ใช้แรงงาน
การจ่ายค่าตอบแทนให้ อสม. ซึ่งมีการพิจารณาสบทบเพิ่มเติมอีก มีงบประมาณเบี้ยผู้พิการ มีงบประมาณบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ งบประมาณสามหมื่นล้านบาท มีการช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการในสังคม มีการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยทั้งในเมืองในชนบท เบี้ยยังชีพผู้สูงอาชีพ 11 ล้านคน อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้ให้ลำดับความสำคัญเกี่ยวกับการบริหารสถานการณ์โควิดกว่า 117,862 ล้านบาท รัฐบาลได้จัดงบประมาณและเงินกู้ที่มีความสำคัญกับการแพทย์และการสาธารณสุข ทั้งค่าตอบแทนแพทย์และ อสม การจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์ ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด ค่าใช้จ่ายวัคซีน และการจัดซื้อจัดหานำมาใช้ในประเทศ รวมถึงการป้องกันการแพ้วัคซีน การจัดตั้งสถานกักตัวของรัฐ SQ การเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุข และสถานการณ์ฉุกเฉิน
นอกจากนี้ ยังมีเงินกู้จำนวนสามหมื่นล้านบาท จะเห็นว่ารัฐบาลเห็นถึงความสำคัญเร่งด่วนและเป็นการวางแผนล่วงหน้าเพื่อการแก้ไขสถานการณ์โควิด พรบ.เงินกู้จะใช้ได้เร็วกว่า ทันต่อสถานการณ์กว่า แต่ได้คำนึงถึงข้อจำกัดที่เกิดขึ้น และจัดการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งประกอบไปด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งของการพัฒนาศักยภาพในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐาน และการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ ในส่วนของการจัดซื้ออาวุธ เราไม่ได้ซื้อเฉพาะยุทธโธปกรณ์อย่างเดียว ได้แบ่งเป็นงบประมาณเพื่อการฝึกอบรม และซ่อมบำรุง ประเทศไทยอยู่ใจกลางของอาเซียน จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนายุทธโธปกรณ์ ซึ่งไม่ได้หวังถึงประโยชน์ส่วนตัวคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเท่านั้น
ในค่าใช้จ่ายวัคซีน มีการจัดสรรงบประมาณจากหลายส่วน ซึ่งได้ดำเนินการใช้งบประมาณอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ต้องขออนุมัติ และมีการตรวจสอบตามกฎระเบียบ ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาวัคซีนเพื่อใช้ประโยชน์ในประเทศด้วย และได้ทำความร่วมมือวิจัยกับต่างประเทศด้วย
ด้านการจัดลำดับความน่าเชื่อถือในระดับสากล นายกฯ เผยว่า ประเทศไทยเป็นเพียงไม่กี่ไม่ประเทศในโลกที่ได้รับการประเมินความน่าเชื่อถือทางการเงินและการคลังในลำดับเท่าเดิม แม้อยู่ในสถานการณ์โควิด-19 โดยบริษัท S&P Global Ratings บริษัท Moody’s Investors Serviceและบริษัท Fitch Ratings ได้คงอันดับของไทยไว้ที่ BBB+ และคงอันดับความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ จาก Japan credit rating Agency และ Rating and Investment Information ประเมินระดับความน่าเชื่อถือไทยในระดับ A- และให้มุมมองความน่าเชื่อถือไทยอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยมีภาคการเงินและการคลังที่แข็งแกร่ง มีการปรับกฎเกณฑ์และกติกาเพื่อความเหมาะสมในตลอดหลายปีผ่านมานี้
และในส่วนเงินกู้ที่รัฐบาลกู้มาตั้งแต่ปี 2557 ถึง 2564 รัฐบาลชำระหนี้เงินกู้ไปแล้ว 2.53 ล้านล้านบาท ซึ่งเงินที่รัฐบาลกู้มา ได้นำไปใช้เพื่อประโยชน์ โดยใช้ในการดูแลด้านสาธารณสุขเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีน การคัดกรอง การรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด การเฝ้าระวัง การควบคุม การป้องกัน การค้นหา การตรวจคัดกรองโรค การจัดหาครุภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และ อสม.
นอกจากนี้ เงินกู้ดังกล่าว ยังถูกจัดนำใช้กับการดูแลพี่น้องประชาชน และผู้ประกอบการผ่านโครงการต่างๆ ไม่วาจะ โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการม. 33 เรารักกัน โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มมากกว่า 50 ล้านคน ซึ่งท่านรองนายกรัฐมนตรีจะได้มาชี้แจงเพิ่มเติมเป็นการต่อไป
สำหรับ เงินกู้ตั้งแต่ปี 2559 ถึง ปัจจุบัน รัฐบาลได้นำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไปกว่า 2.1 ล้านล้านบาท จำนวน 162 โครงการ ซึ่งกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เป็นการกู้เพื่อการลงทุนวงเงินงบประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างการเจริญเติบโตของประเทศ การจ้างงานและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน อาทิ การมีรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่พักอาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยทั้งเช่า เช่าซื้อและซื้อ ต่างอยู่ในแผนงานโครงการทั้งสิ้น ระบบประปา ไฟฟ้า พลังงานที่จะต้องกระจายความเจริญไปในภูมิภาคต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.การคมนาคม ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสีต่างๆ ใน กทม. และปริมณฑล โครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ทั่วประเทศ การปรับปรุงรางรถไฟทั่วประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสนามบิน ตลอดจน รถเมล์ NGV ส่วนในเรื่องถนน ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ขยายและซ่อมแซมเส้นทางเก่า และมอบหมายให้สร้างถนนสายใหม่ที่ไม่ผ่านแหล่งชุมชุม เพื่อสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่ กระจายความเจริญและให้ผู้คนเข้าถึงมากขึ้น
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า รัฐบาลยืนยันในการนำงบประมาณที่ใช้เป็นไปตามกฎหมาย มีการจัดลำดับความสำคัญ และแผนการรับรอง อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณสมาชิกรัฐสภาทั้งฝ่ายค้ายและฝ่ายรัฐบาลที่ช่วยนำเสนอ โดยรัฐบาลพร้อมรับฟัง สนับสนุน และร่วมมือกับทุกฝ่าย จึงหวังว่าทุกคนจะร่วมมือกันเพื่อเดินหน้าต่อสู้กับสงครามเชื้อโรค สงครามไซเบอร์ และข่าวปลอม สำหรับเรื่องการศึกษา จะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการชี้แจงรายละเอียดในวันต่อไป พร้อมยืนยันว่าได้มีการสั่งการให้ปรับปรุงหลักสูตรและกฎระเบียบเพื่อความเหมาะสมแล้ว
นายกฯ ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญในการจัดการและการจัดหาวัคซีนโรคโควิด-19 และใช้อำนาจ ศบค. ภายใต้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดย นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่า รัฐบาลได้ไตร่ตรองร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2565 ที่ได้เสนอไปอย่างถี่ถ้วน ซึ่งจะชี้แจงภาพรวมงบประมาณอีกครั้ง ในส่วนตัวเลขสถานการณ์ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ประมาณ 5 แสนราย ผู้ป่วยยืนยันทั่วโลก 170 ล้านราย รักษาหายป่วยแล้ว 152 ล้านราย เสียชีวิต 3 ล้าน 5 แสนราย
ประเทศใหญ่ๆ เช่น สหรัฐ อินเดีย บราซิล ฝรั่งเศส ก็ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนสูง ส่วนสถานการณ์ในประเทศสมาชิกอาเซียนไทยได้นำข้อมูลของทุกประเทศมาวิเคราะห์ว่าจะบริหารวัคซีนอย่างไร ส่วนยอดในประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ลดลง มีจำนวนคลัสเตอร์ที่รัฐบาลพยายามบริหารจำนวนเตียงผู้ป่วย โรงพยาบาลสนาม เพิ่มเตียงรักษาพยาบาล ปรับเรื่องการฉีดวัคซีน สถานที่ และจำนวนวัคซีน ซึ่งจะได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงต่อไป
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้พิจารณาจำนวนวัคซีน และช่วงเวลาจนถึงเดือนธันวาคม 2564 รัฐบาลพยายามหาวัคซีนทางเลือกอื่น ๆ ให้ได้จำนวนเพิ่มเติม ทั้งจากเดิมที่มีสองชนิดคือ Sinovac และ Astrazeneca ซึ่งจะได้จำนวนเพิ่มเติมในเดือนมิถุนายนนี้ คิดว่าจะเป็นไปตามแผน และในส่วนของวัคซีนจากบริษัทอื่น Sinopharm ซึ่งจะมีเพิ่มมาอีก ส่วน Pfizer จะมาในไตรมาสที่สามหรือสี่ อย่างไรก็ตาม การส่งออกวัคซีนต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลต้นทาง และได้ผ่านกระบวนการการนำเข้าทาง อย. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับงบประมาณในการจัดหาวัคซีน ได้ใช้งบพิเศษเพิ่มเติมทั้งพระราชกำหนดเงินกู้เเละงบกลาง จึงไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ พร้อมทั้งในส่วนของการใช้อำนาจผ่าน ศบค. ไม่ได้ให้อำนาจแก่ นรม. ผู้เดียว มีการหารือกับทุกภาคส่วนทั้งจากแพทย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอยืนยันในขีดความสามารถของวัคซีนที่มีอยู่ ทั้ง Sinovac Astrazeneca และ Sinopharm ซึ่งมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน
แต่มีข้อจำกัดของวัคซีนแตกต่างกันไป ซึ่งทุกอย่างปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ในไทย และสถานการณ์โลก การแพร่ระบาดในสถานการณ์โลก ไทยพยายามทำอย่างดีที่สุดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ และงบประมาณของวัคซีนมีไม่จำกัด ในส่วนของหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลมีภาระในการใช้จ่ายหลายส่วน อาทิ หนี้จำนำข้าว ซึ่งรัฐบาลได้ใช้จ่ายไปเจ็ดแสนห้าพันล้านแล้ว
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
นายกรัฐมนตรีชี้แจง 6 ยุทธศาสตร์หลักในการจัดทำงบประมาณ วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท เพื่อประโยชน์สูงสุด เน้นใช้จ่ายที่คุ้มค่า ยึด รัฐธรรมนูญไทย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
นายกรัฐมนตรีชี้แจง 6 ยุทธศาสตร์หลักในการจัดทำงบประมาณ วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท เพื่อประโยชน์สูงสุด เน้นใช้จ่ายที่คุ้มค่า ยึด รัฐธรรมนูญไทย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 เป็นพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรถึงเป้าหมายและแนวทางร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมทั้งขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยยึดบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงสาระสำคัญงบประมาณรายจ่าย 2565 จำนวน 3,100,000 ล้านบาท เป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล กำหนดรายได้สุทธิจำนวน 2,400,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 700,000 ล้านบาท รวมเป็นรายรับทั้งสิ้น 3,100,000 ล้านบาท จำแนกยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
ยุทธศาสตร์ที่ 1 : ด้านความมั่นคง จำนวน 387,909.6 ล้านบาท ร้อยละ 12.5 ของวงเงินงบประมาณ ด้วยการเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ รักษาความสงบภายในประเทศ พัฒนาและเสริมสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ การป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง และพัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศเพื่อพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ พัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติและระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ พัฒนากลไกการบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม รวมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน จำนวน 338,547.6 ล้านบาท ร้อยละ 10.9 ของวงเงินงบประมาณ โดยมีเป้าหมายกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมในทุกภูมิภาคของประเทศ ดังนี้ การพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ เพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการโลจิสติกส์ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น พัฒนาพื้นที่ให้เป็นเมืองอัจฉริยะน่าอยู่ การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม รองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว กระจายรายได้จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การพัฒนาผู้ประกอบการและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสู่สากล โดยมีเป้าหมายให้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี การพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต การเกษตรสร้างมูลค่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร การพัฒนาพื้นที่และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ การพัฒนาความมั่นคงทางพลังงาน ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล เพิ่มมูลค่าของธุรกิจดิจิทัลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล/อินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมอย่างมีคุณภาพและทั่วถึง การพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
ยุทธศาสตร์ที่ 3 : ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ จำนวน 548,185.7 ล้านบาท ร้อนละ 17.7 ด้วยการเสริมสร้างให้คนมีสุขภาวะที่ดี พัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต พัฒนาคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ เสริมสร้างศักยภาพการกีฬา ปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม มีความรักและความภูมิใจในความเป็นไทย น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำรงชีวิต เพื่อให้สังคมไทยมีความสุข สนับสนุนด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เพื่อพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัย
ยุทธศาสตร์ที่ 4 : ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จำนวน 733,749.6 ล้านบาท ร้อยละ 23.7 เพื่อสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม กระจายศูนย์กลางความเจริญให้ทั่วถึง เพิ่มโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ ด้วยการเสริมสร้างพลังทางสังคม ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมเพิ่มขึ้น กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย พัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก สร้างหลักประกันทางสังคมและความเสมอภาคทางการศึกษา รวมทั้งมาตรการแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม เพื่อเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานของรัฐและโอกาสทางสังคมได้อย่างเท่าเทียมกันและปลอดภัย
ยุทธศาสตร์ที่ 5 : ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จำนวนเงิน 119,600.3 ล้านบาท ร้อยละ 3.9 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อพัฒนาและอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล สร้างการเติบโตบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง หมอกควันและไฟป่า ปัญหามลพิษและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้ประเทศมีความมั่นคงด้านน้ำเพิ่มขึ้น การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน อนุรักษ์ ฟื้นฟู และป้องกันการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจ จัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ มลพิษและสิ่งแวดล้อม ยกระดับกระบวนทัศน์เพื่อกำหนดอนาคตประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์ที่ 6 : ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ จำนวน 559,300.5 ล้านบาท ร้อยละ 18.0 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้ระบบการบริหารราชการมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยมีแผนงานเน้นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ลดปัญหาการทุจริตในสังคมไทยให้ค่าดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perception Index : CPI) อยู่ในอันดับ 1 ใน 54 และ/หรือได้คะแนนสูงกว่า 50 คะแนน ภายใต้รัฐบาลดิจิทัล พัฒนาการให้บริการภาครัฐผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้อย่างคุ้มค่า พัฒนาบริการประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ พัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา ปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รวดเร็ว โปร่งใส มีขนาดที่เล็กลง พร้อมปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า งบประมาณเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันนโยบายและให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจภายในประเทศและผลกระทบจากภายนอก รวมทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งในปี 2565 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 4.0 – 5.0 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก แนวโน้มขยายตัวทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.7 – 1.7 ซึ่งเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในปี 2565 ยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ดี
นายกรัฐมนตรี ยันยันจัดสรรงบประมาณเพียงพอในรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 พร้อมมั่นใจการบริหารจัดการวัคซีนในเดือนมิถุนายน ยังคงเป็นไปตามแผน
นายกรัฐมนตรียันยันจัดสรรงบประมาณเพียงพอในรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 พร้อมมั่นใจการบริหารจัดการวัคซีนในเดือนมิถุนายน ยังคงเป็นไปตามแผน
ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ให้ความมั่นใจมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทั้งจากงบประมาณประจำและงบประมาณพ.ร.บ. เงินกู้ต่างๆ ยืนยันไม่มีปัญหาอย่างแน่นอนและรัฐบาลทำอย่างเต็มที่ด้วยความโปร่งใส สำหรับการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ในเดือนมิถุนายน ยังคงเป็นตามแผนทั้ง
นายกรัฐมนตรี ยืนยันถึงการบริหารจัดการวัคซีนว่า รัฐบาลมีคณะกรรมการดำเนินอย่างต่อเนื่องทั้งการจัดหา การนำเข้าแบบรัฐ-รัฐ รวมทั้งวัคซีนทางเลือก โดยมีทั้งแผนหลัก แผนรองและแผนฉุกเฉินในบริหารจัดการวัคซีน ขณะที่โลกยังคงมีความต้องการวัคซีนที่มากขึ้นในหลายประเทศซึ่งต้องมีการบริหารจัดการวัคซีนของบริษัทผู้ผลิตด้วย ขณะเดียวกันไทยก็จะได้รับการถ่ายทอดการผลิตวัคซีนจากหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 ด้วย ซึ่งคาดว่าในช่วงเวลาที่กำหนดไปแล้วจะไม่ปัญหาเรื่องการบริหารจัดการวัคซีนทั้งวัคซีนที่จัดหาโดยรัฐและวัคซีนทางเลือกที่ดำเนินการได้แล้วในขณะนี้ อย่างไรก็ตามการนำเข้ายังต้องผ่านช่องทางรัฐ-รัฐ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีปฏิเสธข้อกล่าวหางบประมาณกระทรวงสกลามโหมมากกว่ากระทรวงสาธารณสุข โดยชี้แจงว่างบประมาณด้านสาธารณสุข ประกอบด้วยงบประมาณของกระทรวงสาธารสุข ยังมีกองทุนภายใต้สังกัดกระทรวงสาธารณสุขอีก 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย มีจำนวน 141,741 ล้านบาท และงบประมาณ 153,940.47 รวมงบประมาณด้านสาธารณสุขทั้งสิ้น 295,681 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 ลดลงเพียงแค่ 5,930 ล้านบาทร้อยละ 1.7 งบประมาณขณะที่ 2 ปีที่ผ่านมาได้มีการปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหมกว่า 10,000 ล้านบาท แต่ยังคงมีงบประมาณผูกพันที่ต้องดำเนินการต่อในปีงบประมาณ 2565
นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลบริหารจัดการวัคซีนทั้งการกระจายวัคซีนและการให้บริการฉีดวัคซีน ด้วยความโปร่งใส ทั่วถึงและเป็นธรรม ยืนยันในเดือนมิถุนายน จะมีวัคซีนเข้ามาอย่างเพียงพอทั้งวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาและวัคซีนทางเลือก ซึ่งการนำเข้ายังต้องติดต่อผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยต้องบริษัทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้แทนบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่ถูกต้อง เพื่อรับรองมาตรฐานก่อนนำเข้า ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลได้การบริหารงบประมาณด้วยการพิจารณาอย่างเข้มงวด รัดกุม พร้อมรับฟังทุกข้อมูล“วันนี้ไม่มีการทุจริตในรัฐบาลผม”นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
นายกฯ ประชุมหารือแนวทางความร่วมมือ การจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและเอกชน เห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีน 4 ด้าน ภาคเอกชนเผยพร้อมสนับสนุนการทำงานภาครัฐ
นายกฯ ประชุมหารือแนวทางความร่วมมือ การจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและเอกชน เห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีน 4 ด้าน ภาคเอกชนเผยพร้อมสนับสนุนการทำงานภาครัฐ กระจายวัคซีน-จัดสถานที่ฉีดวัคซีน ให้ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคนตามเป้าหมาย
ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมด้วย นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ร่วมกันแถลงข่าวผลการประชุมหารือแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยว่า ที่ประชุมหารือถึงแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่จะมีวัคซีนเข้ามาเพิ่มเติมตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป โดยภาคเอกชนจะมีส่วนในการช่วยเหลือภาครัฐกระจายวัคซีนและจัดสถานที่สำหรับฉีดวัคซีนเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่จะฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคน โดยที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน 4 ด้าน ด้านที่ 1 คือ ด้านการกระจายและฉีดวัคซีน โดยใช้กลไกการทำงานของภาคเอกชนในการจัดสถานที่ฉีดวัคซีนและกระจายวัคซีนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
และสำหรับพื้นที่ต่างจังหวัดจะดำเนินการผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) จังหวัดและกลุ่มจังหวัด พร้อมร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยสำหรับการจัดเตรียมสถานที่และกระจายวัคซีน รวมถึงอุปกรณ์และบุคลากรที่จะเข้ามาช่วยปฏิบัติงานในจุดต่างๆ ด้านที่ 2 คือ ด้านการสร้างความเชื่อมั่นและประชาสัมพันธ์ โดยภาคเอกชนจะมีส่วนช่วยในการประชาสัมพันธ์เรื่องการจัดหาและบริหารวัคซีน และสร้างความรับรู้แก่ประชาชนเรื่องการฉีดวัคซีนเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ด้านที่ 3 คือ ด้านการสนับสนุนระบบอำนวยความสะดวกระบบงานต่างๆ
โดยแอปพลิเคชันลงทะเบียนการฉีดวัคซีน ‘หมอพร้อม’ ภาคเอกชนจะมีส่วนในการสนับสนุนระบบเพิ่มเติมระหว่างการลงทะเบียนและการฉีดวัคซีน และด้านที่ 4 คือ ด้านการจัดหาวัดซีนเพิ่มเติม ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และองค์การเภสัชกรรมพิจารณาแนวทางการผ่อนคลายกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ใช้วัคซีนสำหรับกลุ่มเป้าหมาย ที่อยู่ระหว่างประเมินข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนเป็นกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use Authority : EVA) เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบในการประสานงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อจัดทำแผนการกระจายวัคซีนและเตรียมความพร้อมสถานที่ฉีดวัคซีน และประสานงานในรายละเอียดให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในวันนี้ภาคเอกชนได้มีการเสนอ ในเรื่องต่างๆ 4 เรื่อง ได้แก่ 1) ด้านการกระจายและฉีดวัคซีน 2) ด้านการสร้างความเชื่อมั่นและประชาสัมพันธ์ 3) ด้านการสนับสนุนระบบอำนวยความสะดวกระบบงานต่าง ๆ และ 4) ด้านการกระจายวัคซีน โดยข้อเสนอในเรื่องของการกระจายวัคซีน ในด้านสถานที่ ทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและกรุงเทพมหานครได้จัดเตรียมสถานที่จำนวนหลายแห่งไว้รองรับการฉีดวัคซีนให้ประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับต่างจังหวัดจะผ่านกลไกของ กรอ. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และภาคเอกชน
ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาเร่งรัดจัดทำแผนการจัดหาและการกระจายวัคซีน และร่วมกันในการจัดหาสถานที่กรณีจำเป็น ในด้านการประชาสัมพันธ์ ทางสภาหอการค้าไทยได้ร่วมกับ Google Facebook และหน่วยงานประชาสัมพันธ์ต่างๆ ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และการประชาสัมพันธ์โครงการต่างๆ ส่วนด้านการสนับสนุนระบบอำนวยความสะดวก ทางภาคเอกชนมีความยินดีที่จะช่วยเหลือ เรื่องอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ โดยเฉพาะการเข้าร่วมในระบบหมอพร้อม ซึ่งเป็นระบบที่มีความจำเป็นสำหรับการลงทะเบียนการฉีดวัคซีน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับภาคประชาชนและภาคธุรกิจในอนาคต พร้อมย้ำว่า สถาบันวัคซีนแห่งชาติไม่ได้ปิดกั้นในการนำเข้าวัคซีนของเอกชน โดยเอกชนภาคส่วนใดที่ต้องการนำเข้าวัคซีนก็มีความยินดี และทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติก็ได้ให้ข้อมูลอย่างชัดเจนว่าจะสามารถนำเข้าในกรณีเป็น Distribution หรือกรณีเจ้าของวัคซีนเองก็ได้ จะเป็นการเพิ่มความสะดวกและคลายกังวลให้กับภาคเอกชนและประชาชนได้
พร้อมกันนี้ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ยังกล่าวว่า นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันภายในปีนี้ ประชาชนคนไทย ผู้ที่มาปฏิบัติงานหรืออาศัยอยู่ในประเทศไทย จะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน ขณะนี้รัฐบาลสามารถจัดหาวัคซีนได้ถึง 1 ล้านโดส ที่จะครอบคลุม 70% ของจำนวนประชากร ขณะเดียวกันภาคเอกชนมีความตั้งใจที่จะสนับสนุนการทำงานร่วมภาครัฐบาล ถือป็นนิมิตหมายที่ดี โดยความร่วมมือเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ รวมถึง Phuket Sandbox Model ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถเปิดประเทศได้ในต้นปีหน้า
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด