วันที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8562 ข่าวสดรายวัน
ไม่สุญญากาศ ปูพ้นนายก แต่รบ.ยังอยู่ ศาลรธน.ฟัน 9 รมต.ด้วย ยกคำร้องตั้ง'คนกลาง''นิวัฒน์ธำรง'รักษาการ สื่อนอกตีข่าว-ชนวนแรง ลุ้นดาบสอง-ปปช.วันนี้ ชงสว.ถอด-ตัดสิทธิ์ 5 ปี
พ้นนายกฯ - น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปิดแถลงอำลาตำแหน่ง หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพนายกรัฐมนตรี โดยประกาศว่าภูมิใจที่ได้เป็นนายกฯ จากการเลือกตั้ง ที่สนง.ปลัดกลาโหม |
'ปู'แถลงอำลาเก้าอี้นายกฯ หลัง ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ให้สิ้นสุดสภาพความเป็นรัฐมนตรี จากกรณีโยกย้าย'ถวิล เปลี่ยนศรี'พ่วง 9 รัฐมนตรีที่ร่วมลงมติ ทั้ง'ปึ้ง-เฉลิม-กิตติรัตน์' ต้องพ้นตำแหน่งตามไปด้วย 'ยิ่งลักษณ์'ขอบคุณทุกกำลังใจ บอกภูมิใจที่ได้เป็นนายกฯ มาจากการเลือกตั้ง เพื่อไทยออกแถลงการณ์ 7 ข้อ ชี้เป็นการวินิจฉัยนอกรธน. จี้รัฐบาล-กกต.เร่งออกพ.ร.ฎ.เลือกตั้งใหม่โดยเร็ว ปชป.เดินหน้าเรียกร้องครม.ลาออกทั้งคณะ ประธานกกต.ระบุนายกฯ สิ้นสภาพ ไม่กระทบจัดเลือกตั้ง สื่อนอกตีข่าวหวั่นเป็นชนวนความรุนแรงรอบใหม่
ศาลรธน.อ่านคำวินิจฉัย
เวลา 09.00 น. วันที่ 7 พ.ค. ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการฯ เริ่มประชุมเป็นการภายในเพื่อแถลงด้วยวาจาก่อนลงมติและยกร่างคำวินิจฉัยกลางในคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กับคณะ ขอให้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ว่าจะสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบมาตรา 268 หรือไม่ กรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) โดยมิชอบ ก่อนออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยกลางในเวลา 12.00 น.
จากนั้นเวลา 12.20 น. คณะตุลาการ ทั้ง 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย นายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการฯ กล่าวว่า กรณีขอให้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ ว่าจะสิ้นสุดลงตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบมาตรา 268 หรือไม่นั้น แม้ผู้ร้องจะระบุว่าความเป็นนายกฯ ได้สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อมีการยุบสภา ตามมาตรา 180(2) แต่มาตรา 181 ระบุให้ครม.ยังทำหน้าที่ต่อจนกว่าจะมีรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่
ดังนั้น ความเป็นนายกฯ ยังไม่สิ้นสุดลงจนกว่าครม.ชุดใหม่เข้ามา นายกฯ ยังไม่พ้นจากตำแหน่งโดยเด็ดขาด ซึ่งแตกต่างจากกรณีอื่นเช่น คดีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกปลดออกจากราชการทหารเพราะผู้ถูกร้องไม่ได้ดำรงตำแหน่งส.ส.แล้ว แต่กรณีนี้นายกฯ ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ ดังนั้น ศาลจึงมีอำนาจรับกรณีนี้ไว้พิจารณา
ย้าย'ถวิล'เร่งรีบรวบรัด
นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการฯ กล่าวว่า การโอนย้ายนายถวิลใช้เวลาเพียง 4 วัน แสดงให้เห็นว่าเร่งรีบ ผิดสังเกต รวบรัด ปราศจากเหตุผลอันสมควรที่ต้องรวดเร็ว ทั้งยังปรากฏการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ให้เห็นเป็นพิรุธจากภาพถ่ายเอกสารราชการสำคัญ ได้แก่ บันทึกข้อความจากสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการนายกฯ ที่นร.0401.2/8303 ที่ศาลมีคำสั่งเรียกมาจากสำนักเลขาธิการนายกฯ ระบุวันที่ทำหนังสือเป็น วันที่ 5 ก.ย.54 แต่ภาพถ่ายบันทึกข้อความฉบับเดียวกันที่ได้จากนายถวิล ก่อนหน้านั้นระบุเป็นวันที่ 4 ก.ย.54 แสดงว่าต้องมีการแก้ไขวันที่ ทำให้เอกสารผิดเท็จไปจากความจริงโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพื่อปกปิดความจริงที่ขัดแย้งกันในกระบวนการขอความเห็นชอบนี้ ส่อแสดงให้เห็นถึงความไม่ปกติในการดำเนินการ เป็นการพิรุธโจ่งแจ้ง ดำเนินการ มิชอบด้วยกฎหมาย
นายอุดมศักดิ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ เมื่อการกระทำดังกล่าวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีตผบ.ตร. ซึ่งเป็นญาติผู้ถูกร้องมีโอกาสขึ้นดำรงตำแหน่งผบ.ตร. การกระทำผู้ถูกร้องจึงมีการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อน มีวาระซ่อนเร้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรม
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาเหตุผลการโอนย้ายนายถวิลไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ โดยเหตุผลของผู้ถูกร้องไม่อาจรับฟังได้ว่าการโอนย้ายนายถวิลเป็นไปตามประโยชน์ราชการที่แถลงต่อรัฐสภาและดำเนินการเร่งรีบ มีเหตุควรเชื่อได้ว่าปัจจัยโอนย้ายนี้เป็นความประสงค์ให้ตำแหน่งเลขาธิการสมช.ว่างลงเพื่อให้พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.มาดำรงตำแหน่งแทน ทำให้ตำแหน่งผบ.ตร.ว่างลงและสามารถแต่งตั้งเครือญาติผู้ถูกร้องมาเป็นผบ.ตร.แทน
ชี้สถานะรัฐมนตรี"ปู"สิ้นสุด
นายอุดมศักดิ์ อ่านต่อว่า เมื่อพิจารณาเอกสารหลักฐานเห็นว่าการโยกย้ายนายถวิลจึงเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเดียวกัน เชื่อมโยงกับการแต่งตั้งพล.ต.อ.เพรียวพันธ์เป็นผบ.ตร. โดยผู้ถูกร้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในหลายขั้นตอน แม้จะปฏิเสธว่าไม่ใช่เป็นผู้ริเริ่มก็ตาม จึงเป็นเหตุให้เชื่อได้ว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทำเพื่อประโยชน์ของตนเองและเครือญาติ ก้าวก่ายแทรกแซงข้าราชการประจำ มิได้ทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นการกระทำที่มีเจตนาอำพรางแอบแฝงเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง ขาดจริยธรรมคุณธรรมถูกต้องชอบธรรมในการใช้อำนาจหน้าที่ภายใต้วัตถุประสงค์ของพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551
นายอุดมศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องไม่ส่งเอกสารหลักฐานปรากฏว่านายถวิลทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลข้างต้นศาลจึงมีมติว่าผู้ถูกร้องใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นนายกฯ เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซง เป็นการกระทำต้องห้ามมาตรา 266 (2) (3) ประกอบมาตรา 268 อันมีผลทำให้ความเป็นรัฐมนตรีผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวรัฐธรรมนูญตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7)
รมต.ร่วมลงมติต้องพ้นไปด้วย
นายจรูญ อินทจาร ประธานศาลรัฐธรรม นูญอ่านคำวินิจฉัยว่า เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวแล้ว ผู้ถูกร้องไม่สามารถอยู่ปฏิบัติหน้าที่ได้อีกต่อไป นอกจากนี้ เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของผู้ร้องถูกร้องสิ้นสุดลง แต่ครม.ยังต้องอยู่เพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีครม.ชุดใหม่เข้ารับหน้าที่ เหมือนกรณีนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ฉะนั้น เมื่อความเป็นรัฐมนตรีผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ย่อมทำให้ครม.ที่เหลืออยู่ที่ไม่ขาดคุณสมบัติต้องห้ามของความเป็นรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าครม.ชุดใหม่จะเข้ามา
นายจรูญ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม หากรัฐมนตรีคนใดได้กระทำการให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัว ย่อมมีผลให้รัฐมนตรีคนนั้นไม่อาจอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในคดีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำระดับสูงจะต้องได้รับการอนุมัติจากครม.ก่อน
"ดังนั้น ในคดีนี้หากรัฐมนตรีคนใดมีส่วนร่วมลงมติโอนย้าย หรือแทรกแซงข้าราชการประจำในการโอนย้ายนายถวิล ย่อมเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของบุคคลนั้นสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวตามไปด้วย และไม่อาจอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าครม.ชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่" นายจรูญกล่าว
ชี้ขัดมาตรา 266, 268
นายจรูญ กล่าวต่อว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนว่าการโยกย้ายนายถวิล ให้พ้นจากเลขาฯ สมช. เข้าสู่การพิจารณาของครม.เพื่อขออนุมัติอย่างเร่งรีบ รวบรัด ในลักษณะไม่เป็นไปตามปกติเป็นวาระเพื่อทราบจรในวันที่ 6 ก.ย.54 ซึ่งครม.มีมติเอกฉันท์อนุมัติโยกย้ายให้ข้าราชการประจำพ้นจากตำแหน่งโดย ไม่ชอบด้วยกฎหมายภายในวันเดียวกันนั้น รัฐมนตรีทุกคนที่ร่วมประชุมและลงมติในวันนั้นจึงมีส่วนร่วมโดยทางอ้อมในการก้าวก่ายแทรกแซง กระทำต้องห้ามตามมาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (2) (3) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีเหล่านั้นสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ไปด้วย
"อาศัยเหตุผลที่กล่าวมา ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์จึงวินิจฉัยว่าผู้ถูกร้องใช้สถานะในตำแหน่งการเป็นนายกฯ เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ตัวเองและผู้อื่น ในเรื่องการบรรจุแต่งตั้ง โยกย้าย โอนหรือการพ้นจากตำแหน่งของข้าราชการ จึงต้องด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 266 (2) (3) และมาตรา 268 อันมีผลทำให้ความเป็นรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวตาม 182 (7) และรัฐมนตรีที่ร่วมลงมติประชุมครม.เมื่อ 6 ก.ย.54 ที่มีส่วนร่วมก้าวก่าย แทรกแซงข้าราชการประจำอันต้องห้ามตาม 268 จึงทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดเป็นการเฉพาะตัวด้วย" ประธานศาลรัฐธรรมนูญกล่าว
นายจรูญ กล่าวว่า ประเด็นที่ผู้ร้องขอให้วินิจฉัยให้ดำเนินการแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ตามมาตรา 172 และ 173 นั้นไม่อยู่ในขอบเขตการเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในคดีนี้ ศาลจึงไม่วินิจฉัยและยกคำร้อง ทั้งนี้ ให้คัดสำเนาคำวินิจฉัยได้เมื่อพ้น 15 วันหลังจากมีคำวินิจฉัย
สั่งจนท.กลับบ้าน-เสียงปืนดัง
ภายหลังคณะตุลาการฯ อ่านคำวินิจฉัยเสร็จ สำนักงานได้ประกาศเสียงตามสายให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานศาลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเดินทางกลับบ้านก่อนเวลาเลิกงาน เพื่อจะได้ดูแลความปลอดภัยของบุคคลและสถานที่ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดหากมีเหตุไม่ปกติ นอกจากนี้ พบว่ามีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัดบริเวณฝั่งตรงข้ามด้านหน้าสำนักงานศาลและมีกระแสข่าวกลุ่ม กวป.เดินทางมาขอคืนพื้นที่ชุมนุมที่พุทธอิสระ แกนนำกปปส.เวทีแจ้งวัฒนะชุมนุมอยู่ในวันที่ 8 พ.ค. โดยนัดรวมตัวเวลา 09.00 น. ที่วงเวียนอนุสาวรีย์ปราบกบฏ บางเขน และจะเคลื่อนขบวนในเวลา 11.00 น. เพื่อขอคืนพื้นที่ถนนแจ้งวัฒนะและคืนความสุขให้กับประชาชน
นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรม นูญเผยหลังอ่านคำวินิจฉัยว่า เมื่อศาลวินิจฉัยให้น.ส.ยิ่งลักษณ์สิ้นสภาพความเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) กระบวนการหลังจากนี้เป็นเรื่องฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปจัดการเรื่องให้รองนายกฯ รักษาการนายกฯ เพราะกระบวนการพิจารณาของศาลถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว ส่วนที่มีข้อสังเกตว่าความเป็นรัฐมนตรีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะรมว.กลาโหม ต้องสิ้นสุดลงด้วยหรือไม่นั้น เป็นประเด็นที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณา เพราะศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามกฎหมายที่ปรากฏอยู่ในคำร้อง
ชี้รมต.ย้ายกระทรวงก็พ้นหน้าที่
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่หลังมีคำวินิจฉัยแล้วศาลจะเป็นคู่กรณีทางการเมือง นายจรัญ กล่าวว่า ในเมื่อปฏิบัติหน้าที่ในฐานะข้าราชการจะมีความเกรงกลัวไม่ได้ เพราะเราปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เมื่อตอนเรารับเงินเดือนยังไม่มีความกลัว แล้วตอนปฏิบัติหน้าที่จะกลัวได้อย่างไร เราไม่ได้แสดงความอหังการหรือพูดตอบโต้คนที่ไม่เห็นด้วย มันไม่ใช่หน้าที่
แหล่งข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า คำวินิจฉัยของศาลที่ให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวนั้น มีผลทันที ส่วนต้องพ้นจากรมว.กลาโหมหรือไม่ การโยกย้ายนายถวิลเป็นความผิดของบุคคลซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นเหตุให้ต้องพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ดังนั้น ไม่ว่าบุคคลนั้น จะดำรงตำแหน่งใดในครม.ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งนั้นไปด้วย เช่น บุคคลนั้นขณะเป็นผู้จัดการแล้วไปทำร้ายผู้อื่น แต่ต่อมาบุคคล ดังกล่าวเปลี่ยนหน้าที่เป็นเจ้าของบริษัท ความผิดในการทำร้ายผู้อื่นยังคงอยู่ ต้องได้รับการลงโทษเช่นเดียวกับรัฐมนตรีที่ร่วมลงมติเห็นชอบกับการย้ายนายถวิล แม้ปัจจุบันจะเปลี่ยนไปดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอื่น แต่เมื่อศาลชี้ว่าเป็นความผิดก็ต้องพ้นจากตำแหน่งความเป็นรัฐมนตรีในปัจจุบัน
ไม่ต้องเว้นวรรค
แหล่งข่าวกล่าวว่า ความผิดดังกล่าวรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้ผู้ที่ศาลวินิจฉัยให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีต้องเว้นวรรคการเมือง ดังนั้น เมื่อศาลมีคำวินิจฉัยแล้วสามารถได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีใหม่ได้ทันที เพียงแต่การจะแต่งตั้งรัฐมนตรีเป็นอำนาจเฉพาะของนายกฯ ซึ่งขณะนี้ความเป็นนายกฯ ของน.ส.ยิ่งลักษณ์สิ้นสุดลงล้ว แม้จะมีรักษาการนายกฯก็ไม่อาจแต่งตั้งรัฐมนตรีได้เพราะถือว่าการแต่งตั้งรัฐมนตรีเป็นอำนาจเฉพาะตัวของนายกฯ เท่านั้น หากตอนนี้มีสภาผู้แทนราษฎรเหมือนสมัยที่นายสมัครพ้นจากตำแหน่งนายกฯ สามารถสรรหานายกฯ ในสภาใหม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่มีสภา การดำเนินการดังกล่าวจึงไม่สามารถทำได้ ส่วนการทูลเกล้าฯ หรือรับสนองพระบรมราชโองการกรณีแต่งตั้งประธานวุฒิสภาหรือร่างพ.ร.ฎ. แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งนั้น รักษาการนายกฯสามารถทำได้
เมื่อเวลา 17.30 น. ภายหลังคณะตุลาการฯ อ่านคำวินิจฉัยที่ด้านหน้าสำนักงาน มีเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะต่อเนื่องกันกว่า 10 นัด ทางสำนักงานจึงนำประกาศที่ลงนามโดยนาย เชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการสำนักงานศาลไปติดที่ประตูทางเข้า ประกาศให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญหยุดทำการในวันที่ 8 พ.ค.เพื่อความปลอดภัย โดยข้าราชการสามารถนำงานไปปฏิบัตินอกที่ทำการได้เพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ
ลุ้นผล- มวลชนเสื้อแดงรวมตัวกันที่ชั้น 5 ห้างอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว ติดตามการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ บางคนถึงกับร้องไห้โฮทันทีที่รู้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 7 พ.ค. |
'ปู'ถกครม.นัดพิเศษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนที่ศาลจะแถลง คำวินิจฉัยเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานี น.ส. ยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ และรมว.กลาโหม ได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ หารือถึงเอกสารร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดวันเลือกตั้งที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ส่งให้ครม.พิจารณา เพื่อนัดหารือถึงการเลือกตั้งรอบใหม่กรณีความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกากับกกต. ไม่ตรงกัน เกี่ยวกับการให้อำนาจ กกต.เลื่อนการเลือกตั้งได้ หากมีเหตุการณ์ความวุ่นวายในวันเลือกตั้งเกิดขึ้น รวมถึงหารือถึงสถานการณ์การเมืองหลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินกรณีการโยกย้ายนายถวิล มีการติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดการถ่ายทอดคำตัดสินของ ศาลมาให้ครม.ติดตาม พร้อมสั่งอาหารกลางวันมารับประทานร่วมกัน จากเดิมที่นายกฯ จะไปลุ้นการตัดสินที่พรรคเพื่อไทย
ขณะที่บรรยากาศโดยรอบสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เจ้าหน้าที่ทหารดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เนื่องจากมีรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ประจำกระทรวงต่างๆ ทยอย เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
'นิวัฒน์ธำรง'ทำหน้าที่แทน
ภายหลังศาลแถลงคำวินิจฉัย ในส่วนของรัฐบาลซึ่งหารือกันก่อนหน้านี้เห็นว่าไม่ได้ผิดจากที่คาดหมายแม้จะส่งผลลบต่อพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะตัวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งได้หารือกันต่อว่าจะดำเนินการอย่างไร
รายงานข่าวจากที่ประชุมครม.นัดพิเศษเผยว่า ภายหลังศาลแถลงคำวินิจฉัย นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการครม. นำขั้นตอนระเบียบข้อกฎหมายมาอ่านและทำความเข้าใจให้กับที่ประชุมรับทราบ รวมทั้งนำรายชื่อของบุคคลที่ต้องพ้นจากตำแหน่งมาแจ้งให้ทราบ ซึ่งมีรัฐมนตรีบางคนตั้งข้อสังเกตว่าในส่วนที่ปรับเปลี่ยนจากตำแหน่งแล้วจะเข้าในข้อกฎหมายด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียง รมว.ต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม เมื่อที่ประชุม ครม.รับทราบขั้นตอนรายละเอียดข้อกฎหมายแล้วได้หารือกันเพื่อเสนอชื่อบุคคลที่จะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ซึ่งต้องเป็นชื่อที่มาจากตำแหน่ง รองนายกฯ เบื้องต้นมีการพูดถึงชื่อของนาย พงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ และนายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกฯ จากพรรคชาติไทยพัฒนา ส่วนใหญ่เห็นว่านายยุคลมีความ เหมาะสม แต่บางคนเห็นว่าน่าจะเป็นนาย พงศ์เทพมากกว่าเพราะเป็นรองนายกฯ ที่มาจากพรรคเพื่อไทย ขณะที่นายยุคลปฏิเสธโดยแสดงความเห็นว่าควรจะเป็นรองนายกฯ ที่มาจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคแกนนำในรัฐบาลมากกว่า นายพงศ์เทพจึงเสนอชื่อนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิบัติหน้าที่รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ เพราะเป็นรอง นายกฯ ที่มีความอาวุโสต่อจากนายสุรพงษ์และมีความเหมาะสมมากที่สุด ที่ประชุมจึงเห็นพ้องต้องกันให้นายนิวัฒน์ธำรงปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ โดยจะเรียกประชุม ครม.อีกครั้งเพื่อรับทราบอย่างเป็นทางการและดำเนินการแบ่งงานเวลา 10.00 น. วันที่ 8 พ.ค.
เผย 9 รมต.หลุดด้วย
สำหรับ คณะรัฐมนตรีที่ต้องพ้นตำแหน่งพร้อมน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีด้วยกัน 9 ราย เพราะมีส่วนร่วมพิจารณาโยกย้ายนายถวิล ประกอบด้วย 1.นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รอง นายกฯ และรมว.ต่างประเทศ 2.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ 3.นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯ 4.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรมว.การคลัง 5.นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 6.พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม 7.นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ 8.น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) 9.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ทั้งนี้ ครม.ชุดปัจจุบันที่ไม่ต้องพ้นตำแหน่ง 25 คน
'ปู'ลั่น'เราไม่ได้แพ้'
คนใกล้ชิดนายกฯ เผยว่า ช่วงหนึ่งของการพูดคุยกับแกนนำในครม.มีการสอบถามน.ส. ยิ่งลักษณ์ว่าเสียใจหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "รู้สึกสบายใจ ที่ผ่านมาตลอด 6 เดือนดีใจที่เราสามารถผ่านจุดนี้ซึ่งเป็นจุดวิกฤตมาได้ ยืนยันว่าที่ผ่านมาปูทำงานเพื่อประชาชนและเราไม่ได้แพ้ เราถูกตัดสิทธิ์แต่เราภูมิใจที่ได้ทำงานตามระบอบประชาธิปไตยและทำตามขั้นตอน เราไม่ได้แพ้ เขาไม่ได้ทำร้ายปู แต่เขาทำร้ายประชาชน"
รายงานข่าวแจ้งว่า ส่วนตำแหน่งรมว.กลาโหมของน.ส.ยิ่งลักษณ์ จากการหารือกันภายในของแกนนำรัฐบาลและทีมกฎหมาย ยังไม่ชัดเจนว่าจะสิ้นสภาพไปด้วยหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในถ้อยคำการแถลงของศาลรัฐธรรมนูญ จึงต้องรอเอกสารอย่างเป็นทางการอีกครั้ง แต่ที่ยังไม่ได้ยื่นเรื่องสอบถามศาลเพราะอยากรอเอกสารอย่างเป็นทางการของศาลออกมาก่อน คาดว่าอาจใช้เวลา 2-3 วัน หรือ 1-2 สัปดาห์ หากยังไม่ชัดเจนจะมีหนังสือสอบถามไปเพื่อให้เกิดความกระจ่าง และที่ต้องทำหนังสือไปนั้นไม่ใช่เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์ อยากอยู่ในตำแหน่งแต่ต้องการความชัดเจนซึ่งเกี่ยวโยงถึงตำแหน่งอื่นด้วย นอกจากนี้ จะต้องไปดูการทำงานของศอ.รส.เพราะยึดโยงกับตำแหน่งรัฐมนตรีที่ไปทำหน้าที่ในสายบริหารของศอ.รส.ด้วย
ถามศาลปมรมต.พ้นตำแหน่งเก่า
เวลา 15.00 น. นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ปฏิบัติหน้าที่รองนายกฯ และนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมแถลงข่าว โดยนายพงศ์เทพกล่าวว่า ครม.ติดตามคำวินิจฉัยมีประเด็นติดใจที่ศาลระบุว่ารัฐมนตรีที่มีส่วนร่วมลงมติแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล ประมาณ 10 คนต้องพ้นไปด้วยนั้น พบว่ารัฐมนตรีบางคนเคยพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีจากการถูกปรับออกและย้ายตำแหน่ง บางคนพ้นไปเกือบ 1 ปี และมาดำรงตำแหน่งใหม่ต่างจากที่มีมติเรื่องการย้ายนายถวิล เช่น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ขณะนั้น และพ้นไปเกือบ 9 เดือน และกลับมาเป็นรมช.กลาโหม ที่ประชุมครม. จึง มอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวบรวมประเด็นและทำหนังสือสอบถามศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตีความหมายของคำวินิจฉัยให้ชัดเจน โดยอาศัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งถูกนำมาใช้ในศาลรัฐธรรมนูญกรณีคำวินิจฉัยไม่ชัดเจน คู่ความสามารถร้องขอให้ศาลชี้แจงได้
นายพงศ์เทพ กล่าวว่า เมื่อศาลวินิจฉัย ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลง ครม.จึงมีมติโดยอาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 10 ให้นาย นิวัฒน์ธำรง ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ส่วนการแบ่งงานรัฐมนตรีที่เหลืออยู่จะหารือในการประชุมครม.วันที่ 8 พ.ค. เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
เดินหน้าเลือกตั้ง
นายพงศ์เทพ กล่าวว่า ตนโทรศัพท์ถึง นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต.เพื่อนัดหารือในวันที่ 8 พ.ค. ได้รับแจ้งว่าประธานกกต.มีภารกิจ จึงขอนัดเป็นบ่ายวันศุกร์ที่ 9 พ.ค. อยู่ระหว่างรอคำตอบจากกกต. เพื่อให้การจัดการเลือกตั้งเป็นไปกรอบเวลาที่กำหนดในวันที่ 20 ก.ค.นี้
ด้านนายธงทอง กล่าวว่า ครม.ที่เหลืออยู่จะปฏิบัติหน้าที่ตามกลไกรัฐธรรมนูญ เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการทำให้เกิดรัฐบาลชุดใหม่ด้วยการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกลไกปกติที่เกิดขึ้นหลังยุบสภาเมื่อเดือนธ.ค.2556 ส่วนการหารือระหว่างรัฐบาลและกกต.นั้น ได้มอบให้นายพงศ์เทพประสานกับกกต.เพื่อกำหนดรายละเอียดวันเลือกตั้งต่อไป เมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่หลังเลือกตั้งแล้วจึงถือว่าครม.ชุดนี้สิ้นสุดการทำหน้าที่
ยิ่งลักษณ์ขอบคุณทุกกำลังใจ
จากนั้นเวลา 16.05 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงว่า ตลอดเวลาที่รัฐบาลทำหน้าที่และตนทำหน้าที่นายกฯ ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลตามที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา เพื่อพัฒนาประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การสร้างสมดุลให้ระบบเศรษฐกิจ สร้างความแข็งแรงของเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ ด้านสังคมที่มุ่งสร้างความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ลดช่องว่างของผู้มี รายได้น้อยและผู้มีรายได้มากเพื่อให้ประชาชน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการพัฒนาให้ไทยมีบทบาทอยู่ในเวทีของอาเซียนเพื่อเป็นศูนย์กลางเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าตนและรัฐบาลตั้งใจ ทุ่มเททำงานเพื่อประชาชนตามที่ประชาชนไว้วางใจเลือกรัฐบาลนี้ ยึดหลักความซื่อสัตย์สุจริตและไม่มีพฤติกรรมทุจริตหรือเอื้อประโยชน์ให้อื่นผู้ใด หรือฝ่าฝืน ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอย่างที่กล่าวหา นอกจากนี้ ยังขับเคลื่อนนโยบายการป้องกันการทุจริตเสมอมา ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณข้าราชการที่สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ที่สำคัญขอบคุณประชาชนที่ให้ความไว้ใจตนและครม.ได้รับใช้ประชาชนและกำลังใจที่ให้มาตลอดการทำงานไม่ว่าช่วงยากลำบากเพียงใด ช่วงที่เดือดร้อนในการ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคมหรือเหตุการณ์การเมืองก็ได้รับกำลังใจเสมอมา ทำให้ตนมีกำลังใจและทำงานด้วยความทุ่มเททุกครั้ง
เสียใจที่ไม่ได้รับใช้ประชาชน
"ที่ทำงานเป็นเวลา 2 ปี 9 เดือน 2 วัน ทุกนาที ทุกวันอยู่บนความภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ นายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนและก้าวเข้าสู่การเป็นนายกฯ ด้วยวิถีทางประชาธิปไตย ดิฉันภูมิใจที่ได้ทำงานในหน้าที่นี้ด้วยความตั้งใจและทุ่มเท ต่อไปนี้ไม่ว่าสถานะใด ดิฉันขอเดินตามเส้นทาง ประชาธิปไตยยึดมั่นในหลักนิติรัฐ นิติธรรม สุดท้ายนี้ไม่ว่าอยู่ตำแหน่งไหน ขอยืน เคียงข้างพี่น้องประชาชนคนไทยตลอดไป" นายกฯ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เมื่อถามว่า วางอนาคตการเมืองและจะ เล่นการเมืองอีกหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า วันนี้เร็วไปที่จะตอบคำถามนี้ เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อถามว่าคิดว่าได้รับความยุติธรรมหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ไม่ขอให้ความเห็นเพราะต้องรอคำวินิจฉัยอย่างทางการก่อน วันนี้ไม่อยู่ในวิสัยที่จะ วิจารณ์ใดๆ ยืนยันว่าทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต การทำงานยึดหลักระบบคุณธรรมจริยธรรมมาตลอด
เมื่อถามว่า ตั้งแต่ทำหน้าที่นายกฯเสียใจเรื่องไหนมากที่สุด น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เสียใจที่ไม่มีโอกาสได้รับใช้ประชาชนหลังจากนี้ เชื่อมั่นว่าไม่ว่าสถานะไหนเราก็เคียงข้างและรับใช้ประชาชน ตนเป็นเด็กต่างจังหวัดมีความผูกพันกับประชาชน ที่สำคัญเป็นคนไทยด้วยกันไม่ว่าสถานะไหนก็ทำงานช่วยเหลือประเทศชาติได้ เมื่อถามว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนตัดสินใจทางการเมือง น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวย้ำว่า เร็วเกินไปที่จะตอบคำถามนี้
กลุ่มสตรีร้องไห้เชียร์'ปู'สู้ๆ
จากนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิบัติหน้าที่แทน นายกฯ ออกไปพบกลุ่มนปช. ในนามกลุ่มสตรีเสรีไทยรักษาและปกป้องประชาธิปไตยแห่งชาติ 400 คน ที่มาให้กำลังใจนายกฯ ผู้ชุมนุมมอบดอกกุหลาบ ตัวแทนขอให้ นายกฯ สู้ๆ และพร้อมเลือกน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯอีก แต่วันนี้ขอให้เข้มแข็งไว้ จากนั้นชาวบ้านเข้าสวมกอดน.ส.ยิ่งลักษณ์ บางคนร้องไห้พร้อมตะโกนว่า ยิ่งลักษณ์สู้ๆ โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวขอบคุณพร้อมยกมือไหว้ประชาชนที่มาให้กำลังใจ ก่อนยกมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์ว่าสู้ๆ เรียกเสียงโห่ร้องยินดีจาก ผู้สนับสนุน
จากนั้นนายกฯ เดินกลับเข้ามาภายในสำนัก งานปลัดกลาโหม ขึ้นรถส่วนตัวเดินทางกลับ โดยมีคณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเจ้าหน้าที่มาส่ง นายกฯยกมือไหว้พร้อมกล่าวขอบคุณทุกคนที่ร่วมทำงาน และฝ่าฟันอุปสรรคกันมา ก่อนขึ้นรถน.ส.ยิ่งลักษณ์ขอจับมือนายนิวัฒน์ธำรง เหมือนส่งมอบงานต่อ
ผู้สื่อข่าวถามว่าวันที่ 8 พ.ค. จะพบน.ส. ยิ่งลักษณ์ ได้ที่ไหน อดีตนายกฯ โบกมือปฏิเสธพร้อมระบุว่า "พรุ่งนี้คงไม่เจอ" ก่อนขึ้นรถกลับออกไปในเวลา 16.25 น. โดย มีกลุ่มชาวบ้านโบกมือ บางคนเข้าไปจับรถ ส่งเสียงตะโกนสู้ๆ นอกจากนี้ ยังมีนักเสี่ยงโชคบันทึกภาพป้ายทะเบียนรถโฟล์ก ทะเบียน ฮภ 2924 กรุงเทพมหานคร ที่นายกฯ ใช้ทำงานเป็นวันสุดท้ายเพื่อนำไปเสี่ยงโชค
หนุนปู- มวลชนเสื้อแดงอุดรธานีชุมนุมบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด พร้อมชูป้ายให้ กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ รักษาการ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. |
เสื้อแดงให้กำลังใจ
สำหรับ กลุ่มสตรีเสรีไทยรักษาฯ นำโดยนางมยุเรศ โคตรชมพู ประธานชมรมเสียงดนตรี จ.หนองคาย เดินทางพร้อมรถเครื่องกระจายเสียง 6 ล้อ นางมยุเรศปราศรัยไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ยืนยันจะปกป้องนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง ขอให้กำลังใจนายกฯ และจะไม่ทิ้งนายกฯเด็ดขาด จะเป็นพลังแดงกำแพงเหล็กปกป้องนายกฯ จะยืนเคียงข้างนายกฯตลอดไป
กลุ่มผู้ชุมนุมชูป้ายให้กำลังใจนายกฯว่า ขอให้นายกฯสู้ๆ หญิงแกร่งต้องสู้ เราเป็นกำลังใจให้นายกฯหญิงคนแรกของไทย หลายคนตะโกนให้กำลังใจนายกฯด้วยน้ำตาคลอเบ้า บางคนระบุรู้สึกสงสารนายกฯเพราะถูกกลั่นแกล้งทุกอย่าง บางคนตะโกนว่าจะคืนบัตรประชาชนไม่เป็นแล้วคนไทย พร้อมกับมือชูบัตรประชาชนที่ถืออยู่ด้วย
ที่จ.อุดรธานี หลังศาลแถลงคำวินิจฉัย แกนนำชมรมคนรักอุดร นำโดยนายประสิทธิ์ วิชัยรัตน์ หรือดีเจ. จ.ใจเดียว นายจักรพงษ์ แสนคำ หรือดีเจ.ก้อง ของคลื่น 97.50 ชมรมคนรักอุดร และนางเทียบจุฑา ขาวขำ อดีตส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ตั้งเวทีปราศรัย ที่หน้าศาลากลางจังหวัด เพื่อให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยมี คนเสื้อแดงมาชุมนุมกว่า 500 คน
'นิวัฒน์ธำรง'ไม่หนักใจ
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 8 พ.ค.นี้ ได้เรียกประชุมครม.ที่เหลือเกี่ยวกับการทำหน้าที่ รวมทั้งการพิจารณาร่างพ.ร.ฎ.เลือกตั้ง และบทบาทของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส) ที่รัฐมนตรีบางคนในศอ.รส.ถูกศาลวินิจฉัยพ้นสภาพรัฐมนตรี ทั้งนี้ ครม.รักษาการไม่สามารถพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายได้ แต่หน้าที่หลักคือจัดการเลือกตั้ง ดูแลประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการแผ่นดินและรัฐธรรม นูญมาตรา 181 อย่างไรก็ตาม ตนไม่หนักใจที่ต้องทำหน้าที่แทนนายกฯ
เมื่อถามว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังคงเป็นรมว.กลาโหมอยู่หรือไม่ และยังเข้าร่วมประชุมในฐานะรมว.กลาโหมได้อีกหรือไม่ นายนิวัฒน์ธำรงกล่าวว่า ยังไม่ทราบ จะหารือกันอีกครั้ง เพราะเรื่องนี้มีคำถามว่าต้องพ้นจากสภาพความเป็นรัฐมนตรีแค่นายกฯหรือรวมถึงรมว.กลาโหมด้วยหรือไม่
ลุ้นต่อคดี'จำนำข้าว'
เมื่อถามว่าป.ป.ช.ชี้มูลคดีโครงการรับจำนำข้าว กังวลว่าจะส่งผลต่อรัฐบาลอีกหรือไม่ นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวว่า คดีนี้กล่าวหาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า ปล่อยปละละเลยให้โครงการดังกล่าวส่งผลต่อประเทศ จึงต้องรอคำตัดสินของป.ป.ช.
เมื่อถามว่าจากนี้จะมีอุบัติเหตุการเมืองจนไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้หรือไม่ นาย นิวัฒน์ธำรง กล่าวว่า เราจะจัดเลือกตั้งเพื่อให้มีรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็ว ยอมรับว่ารัฐบาลรักษาการคงทำหน้าที่ไม่ได้เต็มที่แต่หวังว่าการเมืองจากนี้ไปคงไม่ร้อนแรงแล้วเพราะศาลตัดสินคดีน.ส.ยิ่งลักษณ์ เสร็จเรียบร้อย จึงไม่น่ามีประเด็นอะไรเกิดขึ้นอีก และขอความร่วมมือทุกกลุ่มทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยตามกรอบรัฐธรรมนูญทั้งการเลือกตั้งและ การปฏิรูปประเทศ เมื่อถามว่าจะไปร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศพม่า ระหว่างวันที่ 10-11 พ.ค.นี้หรือไม่ นายนิวัฒน์ธำรงกล่าวว่า ต้องมีการหารืออีกครั้ง
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งว่า วันที่ 8 พ.ค. มีการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ ที่สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี มีวาระคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในคดีละเลย เพิกเฉยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว สรุปสำนวนข้อเท็จจริงคดีดังกล่าวให้ที่ประชุมพิจารณา ถ้าคณะกรรมการป.ป.ช.เห็นว่าสำนวนสมบูรณ์เพียงพอที่จะชี้มูลความผิดได้ก็ทำได้ทันที แต่หากเห็นว่ายังขาดรายละเอียดก็นัดชี้มูลความผิดได้ในการประชุมครั้งต่อไปได้
มีสิทธิ์เว้นวรรค 5 ปี
รายงานข่าวจากวอร์รูมรัฐบาลกรณีป.ป.ช. นัดชี้มูลความผิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการจำนำข้าว รัฐบาลคาดการณ์ว่าหากขั้นรุนแรง น.ส. ยิ่งลักษณ์ก็คงโดนป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและ ส่งเรื่องให้วุฒิสภาถอดถอน พร้อมทั้งให้ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที กล่าวว่า ไม่หนักใจกับคำวินิจฉัยของศาล แม้ถูกให้พ้นสภาพการเป็นรัฐมนตรีแค่เปลี่ยนสภาพจากรัฐมนตรีเป็นสถานะนักการเมืองคนหนึ่ง ถ้ามองในแง่ดีจะมีเวลาหาเสียงลงพื้นที่พบประชาชนมากขึ้น ตนยังเชื่อมั่นเรื่องการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย การ ประชุมครม.นัดพิเศษวันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวขอบคุณข้าราชการและรัฐมนตรีที่ร่วมกันทำงานบริหารประเทศเป็นอย่างดี
คำตัดสินไม่กระทบศอ.รส.
ที่กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด ถ.วิภาวดีฯ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะเลขาธิการศอ.รส กล่าวว่า แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้ครม.ชุดแรกพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่ส่งผล กระทบต่อศอ.รส.ให้ถูกยุบตาม เนื่องจากศอ.รส.ถูกตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะตามการ ประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งไม่เกี่ยวข้อง กับครม. ขณะเดียวกัน ตำแหน่งผอ.ศอ.รส. ยังคงเป็นร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ตามเดิม
นายธาริต กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าการโยกย้ายนายถวิล ขณะนั้นร.ต.อ.เฉลิม อยู่ในตำแหน่งรองนายกฯ และตอนที่ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ร.ต.อ.เฉลิมถูกย้ายมาเป็นรมว.แรงงาน จึงถือว่าอยู่คนละสถานะ มองว่าความเป็นรัฐมนตรีไม่น่าจะพ้นไป ส่วนเรื่องการทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยนั้น ศอ.รส.จะประชุมเรื่องนี้อีกครั้งในวันที่ 8 พ.ค. เวลา 10.30 น.
ไม่ลดอุณหภูมิการเมือง
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในฐานะคณะทำงานเลขาธิการ ศอ.รส. กล่าวว่า สถานการณ์ความรุนแรงไม่น่าจะลดลง เนื่องจากกลุ่มชื่นชอบรัฐบาลไม่พอใจ เนื่องจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้สิ้นสภาพคนเดียวเหมือนกรณีนายสมัคร สุนทรเวช ส่วนกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลก็ไม่พอใจเช่นกัน เพราะอยากให้ครม.ทั้งชุดหลุดออกไป ศอ.รส.จะติดตามสถานกาณรณ์เรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เชื่อว่าผู้ชุมนุมคงรอความชัดเจนกว่านี้ ส่วนการทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยนั้น ตอนแรกที่ประชุมประเมินว่าศาลอาจตัดสินให้พ้นทั้งครม. หากเป็นเช่นนั้น ศอ.รส.จะทูลเกล้าฯ แต่เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น จะนำเรื่องนี้มาพิจารณาในที่ประชุม ศอ.รส.นัดต่อไป
พท.แถลงซัด'สมคบคิด'
เวลา 10.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย แกนนำพรรคและกรรมการกิจการพรรค อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค นายโภคิน พลกุล นายชวลิต วิชยสุทธิ์ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย นายสามารถ แก้วมีชัย เข้ามาติดตามการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
เวลา 15.00 น. แกนนำเพื่อไทยออกแถลงการณ์หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ นายกฯ และครม.บางส่วนพ้นตำแหน่ง นายโภคินกล่าวว่า 1.พรรคมีแถลงการณ์ต่อเนื่องว่า ประเทศจะเดินหน้าตามระบอบประชาธิป ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ และจะแก้ปัญหาขัดแย้งไม่ให้บานปลายจนเกิดกลียุคได้ก็ด้วยการเลือกตั้ง และการตั้งอยู่บนความเที่ยงธรรม ปราศจากอคติของทุกฝ่ายและทุกองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
2.พรรคชี้ให้เห็นมาตลอดว่ามีขบวนการสมคบคิดกันเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ล้มล้างการเลือกตั้ง มุ่งทำลายล้างฝ่ายประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง โดยความร่วมมือของบางพรรค กปปส. และองค์กรตามรัฐธรรมนูญบางองค์กร ด้วยการไม่ยอมรับการเลือกตั้ง การเสนอให้มีนายกฯ และครม.ที่มิได้มาจากการเลือกตั้ง การกลั่นแกล้งรัฐบาลที่ยึดหลักประชาธิปไตยตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทยด้วยการยุบพรรคและตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี จนถึงการใช้ทุกกระบวนการเพื่อทำลายนายกฯ ตั้งแต่นายสมัคร นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยไม่สุจริต
รัฐประหารรูปแบบใหม่
3.พรรคอาสาเข้ามารับใช้ประชาชน นำเสนอนโยบายที่จะทำให้ประชาชนมีความผาสุกแม้จะถูกขัดขวางและใส่ร้ายป้ายสีมาตลอด โดยขบวนการสมคบคิดดังกล่าว พรรคเชื่อมั่นในวิจารณญาณของประชาชนที่ต้องการเห็นประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนบนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย
4.ตราบใดที่ขบวนการสมคบคิดยังดำเนินต่อไปจะมีการละเมิดหลักประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญไม่จบสิ้น โดยเฉพาะจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการรัฐประหารรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างระบอบการปกครองใหม่ที่ทำลายความหวังของประชาชนที่จะเห็นประเทศก้าวหน้าไปบนวิถีทางประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ประชาชนจะได้เห็นพรรคประชาธิปัตย์ กปปส. และองค์กรตามรัฐธรรมนูญบางองค์กร พยายามไม่ให้เกิดเลือกตั้งวันที่ 20 ก.ค. นี้ และให้มีนายกฯ และครม.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
วินิจฉัยนอกเหนือรธน.
5.พรรคเห็นว่าการใช้อำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. ที่กระทำต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เร่งรัด เร่งรีบ ผิดปกติ ไม่ให้โอกาสอ้างอิงพยานและรับฟังคำพยานได้เต็มที่ บ่อยครั้งสอดคล้องกับการแถลงของ กปปส.และฝ่ายที่ต้องการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย คำวินิจฉัยของศาลวันนี้และที่ผ่านมาวางบรรทัดฐานนอกเหนือจากตัวบทกฎหมายและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ และคำวินิจฉัยของศาลในวันนี้ไม่เป็นไปตามมาตรา 181 ที่บัญญัติว่าครม.ที่พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 180 ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่จนกว่าครม.ใหม่จะเข้ารับหน้าที่ นั่นคือถ้ายังมีสภาอยู่ก็ไปเลือกนายกฯ กันใหม่แล้วมีครม. ถ้าไม่มีสภาก็เลือกตั้งจนได้ประธานสภา ได้นายกฯ และครม.ต่อไป
6.พรรคขอเรียกร้องให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและความถูกต้องเที่ยงธรรม ร่วมกันต่อต้านขบวนการสมคบคิดโดยใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าการแสดงความคิดเห็น การชุมนุม การร้องเรียน แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีและการต่อต้านโดยสันติวิธีทุกรูปแบบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 69 เพื่อมิให้การดำเนินการของขบวนการสมคบคิดบรรลุผล
จี้ออกพ.ร.ฎ.เลือกตั้ง
7.พรรคขอให้อดีตส.ส.และสมาชิกพรรคทุกคน ชี้แจงประชาชนให้เข้าใจสถานการณ์และความมุ่งหมายของขบวนการสมคบคิด และร่วมมือกับประชาชนต่อต้านขบวนการดังกล่าวอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยฯ และสันติสุขของสังคม และ 8.พรรคขอย้ำอีกครั้งว่า กกต.และรัฐบาลต้องเร่งตราพ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 20 ก.ค.และขอให้ทุกพรรค ทุกฝ่ายร่วมมือกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นโดยสุจริต เพื่อเป็นทางออกของความขัดแย้ง ดังที่ปฏิบัติกันในนานาประเทศและประเทศไทยในอดีตที่ผ่านมา
หลังอ่านแถลงการณ์ กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยบางส่วนมารอมอบดอกกุหลาบให้กำลังใจแกนนำพรรคด้วย
นายโภคินให้สัมภาษณ์ถึงผู้เสนอร่างพ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งว่า เชื่อว่ารัฐมนตรีที่รักษาการนายกฯ สามารถเสนอพ.ร.ฎ.เลือกตั้งแทนนายกฯ ได้
เมื่อถามว่ายังห่วงการวินิจฉัยคดีของรัฐบาลโดยองค์กรอิสระอื่นอีกหรือไม่ นายโภคินกล่าวว่า ไม่ห่วงเพราะเชื่อว่าเป็นไปตามธงที่มีอยู่แล้ว พรรคอยากขอร้องให้ทุกฝ่ายเข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุด ให้การเลือกตั้งเป็นคำตอบของการเปลี่ยนถ่ายโดยสันติ ยอมรับว่าเราท้อแท้ใจบ้าง ผิดหวังบ้างแต่ต้องเดินหน้าต่อไป คนส่วนใหญ่ต้องการเลือกตั้ง ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่เป็นสันติ การแก้ปัญหาง่ายนิดเดียวคือมีการเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 8 พ.ค. เวลา 10.00 น. จะมีการประชุมคณะกรรมการกิจการพรรคเพื่อไทย เพื่อพิจารณาผลจาก คำวินิจฉัยของศาล
ชี้คำวินิจฉัยไม่ชอบ
นายนพดล ปัทมะ กรรมการกิจการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงคำตัดสินของศาลรัฐธรรม นูญว่า ไม่เหนือความคาดหมาย เนื้อหาในคำตัดสินส่วนใหญ่พูดถึงการกระทำของนายกฯและครม.ยืดยาว แต่ใช้เวลาสั้นๆ พูดถึงเหตุผลของรัฐบาลที่โยกย้ายนายถวิล ชัดเจนว่าหลักการแบ่งแยกอำนาจถูกทำลายลง อำนาจของฝ่ายบริหารถูกครอบงำโดยอำนาจตุลาการเกินไปหรือไม่ ไทยมีประชาธิปไตยแค่รูปแบบแต่เนื้อหาแทบไม่เหลือแล้ว เพราะกลไกต่างๆ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เช่น วุฒิสภา มีสมาชิกเพียงครึ่งเดียวมาจากการเลือกตั้ง จึงไม่ตระหนักในสถานะและหน้าที่
นายนพดล กล่าวว่า พรรคเห็นว่าคำวินิจฉัยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและหลักกฎหมาย คนไทยส่วนใหญ่ก็คงไม่เห็นด้วยและจะคัดค้านคำวินิจฉัย การชุมนุมของคนเสื้อแดงคงมีคนมาร่วมคัดค้านศาลรัฐธรรมนูญจำนวนมาก ซึ่งการคัดค้านคงสงบและสันติ ส่วนรัฐมนตรีที่ไม่ถูกตัดสินให้ออกจากตำแหน่งต้องทำหน้าที่ต่อไปและเดินหน้าออกพ.ร.ฎ.เลือกตั้ง
ยันไม่เกิดสุญญากาศ
นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค เพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเราไม่ยอมรับ แต่เราต้องใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 69 แสดงความเห็นต่างทางกฎหมายอย่างเต็มที่ว่าศาลตีความเกินรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวเห็นว่าไม่ว่าจะทำตามคำสั่งศาลหรือไม่ ก็ไม่ทำให้เกิดสุญญา กาศการเมืองเพราะยังมีครม.ที่เหลือทำหน้าที่รักษาการนายกฯได้ และไม่กระทบต่อการเลือกตั้งในอนาคต จึงอยากเรียกร้องให้ กกต.ทำหน้าที่ของตนเอง หารือกับรัฐบาลเพื่อออกพ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ฯโดยเร็ว
นายชูศักดิ์ ศิรินิล คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงศาลพยายามอ้างว่าการโยกย้ายนายถวิล มีการปลอมแปลงเอกสาร เป็นไปอย่างเร่งรีบเนื่องจากออกเอกสารในวันอาทิตย์ที่ 4 ก.ย. แต่เอกสารที่เห็นชอบกลับระบุเป็นวันจันทร์ที่ 5 ก.ย.ว่า เหมือนศาลจะเอากระพี้มาเป็นแก่น เอาจุดบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ มาเป็นประเด็น ทั้งที่ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะศาลปกครองสูงสุดเคยชี้ไว้แล้วว่า วันที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ถือว่าทำถูกต้องตาม กระบวนการ แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับนำ เรื่องนี้มาเป็นประเด็นทั้งที่กระบวนการจัดทำเอกสาร ครม.มักเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
ปลุกคนอีสานร่วมต้าน
ช่วงสายก่อนศาลอ่านคำวินิจฉัย เวลา 10.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย สหพันธ์อีสานพัฒนาเพื่อปกป้องประชาธิปไตย นำโดยนายอดิศร เพียงเกษ นายสามารถ แก้วมีชัย และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ อ่านแถลงการณ์ โดยนายอดิศรกล่าวว่า สหพันธ์อีสานฯทนไม่ได้กับความอยุติธรรม ศาลเร่งรัดการพิจารณา ขัดต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรม ศาลต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่ตามมา เราจะไม่ยอมรับอำนาจการวินิจฉัยที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และจะเคลื่อนไหวเชิญชวนคนอีสานให้ต่อต้านอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ
นายสามารถ กล่าวว่า สหพันธ์ฯอยากเห็นความถูกต้องเกิดขึ้น จึงจะไม่หยุดเคลื่อนไหวต่อต้านผู้ที่ทำหน้าที่ไม่เป็นไปตามหลักรัฐธรรมนูญ
ปชป.ทันควันจี้ครม.ลาออก
เวลา 14.40 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรค แถลงว่า ขอให้ทุกคนเคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยุติการนำศาลรัฐธรรมนูญมาเกี่ยวข้องการเมือง ยุติการยั่วยุมวลชนให้เกิดการเผชิญหน้า วันนี้คดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ จบลงแล้ว ขอให้บรรยากาศการเมืองจบลงด้วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับกรรม ไม่ต่างจากพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เคยเจอ โดยลิ่วล้อยังคงเสวยสุขอยู่ วันนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีอำนาจในรัฐบาล แต่เชื่อว่าคนในตระกูลชินวัตรยังมีบทบาทสำคัญ ดังนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ควรเรียกร้องให้ครม.ลาออกหรือควรเริ่มที่ตัวน.ส. ยิ่งลักษณ์ ควรทำเป็นตัวอย่างลาออกจาก รมว.กลาโหม เพื่อให้คนอื่นทำตามและเปิดให้ประเทศเดินหน้า จะใช้แผนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคหรือไม่ ก็ต้องหารือกัน เพราะประชาชนส่วนใหญ่ ไม่มั่นใจว่าการเลือกตั้งวันที่ 20 ก.ค.จะเกิดขึ้นได้ หรือเกิดได้แต่ไม่เป็นที่ยอมรับ จึงไม่ควรให้นายสุรพงษ์ ร.ต.อ.เฉลิม และนาย ปลอดประสพ ลากเข้าสู่การเลือกตั้งเลือด ถ้ายังคงรวบรัดให้มีการเลือกตั้งเชื่อว่าประชากรไทยจะลดลงอีกหลายร้อยคน
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐมนตรีที่เหลือในครม.ชุดปัจจุบันยังรักษาการในตำแหน่ง ได้ ส่วนรักษาการหากเป็นนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ก็ยังมีคดีทุจริตจำนำข้าวอยู่ใน ป.ป.ช. ซึ่งป.ป.ช.จะชี้มูลวันที่ 8 พ.ค.นี้ และมีการวิเคราะห์ว่านายนิวัฒน์ธำรง จะถูกชี้มูลความผิดด้วย จะเหลือนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เพียงคนเดียวที่จะรักษาการนายกฯได้ แต่ตามมารยาทเมื่อศาลวินิจฉัยให้นายกฯพ้นจากตำแหน่ง ครม.ที่เหลือควรลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อประเทศและสังคมด้วย เมื่อ นายกฯไม่อยู่รักษาการก็ไม่เคยเห็นครม.ประเทศไหนที่จะอยู่รักษาการ เช่น เกาหลีใต้ แค่เรือล่มยังรับผิดชอบด้วยการลาออก
นักวิชาการชี้ไม่เกิดสุญญากาศ
ความเห็นของนักวิชาการต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวว่า รัฐบาลยังเดินหน้าต่อ ตุลาการอ่านคำวินิจฉัยชัดเจนว่ารัฐมนตรีที่เหลือต้องอยู่รักษาการจนกว่าจะมีครม.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ส่วนบางตำแหน่งในครม.ว่างลง อาจใช้วิธีแต่งตั้งปลัดกระทรวงขึ้นมาทำหน้าที่รัฐมนตรีแทนได้ จากนั้นให้เดินหน้าตราพ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งต่อไป ส่วนกกต.ก็ขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ให้การเลือกตั้งเสร็จสมบูรณ์ให้ได้เพื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ ไม่ได้เกิดสุญญากาศการเมือง
นายสมชาย กล่าวว่า สำหรับคำวินิจฉัยยังมีบางส่วนที่ขาดความชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาคือหากเรามีนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากพรรคประชาธิปัตย์ จะถูกถอดให้พ้นจากตำแหน่งโดยองค์กรอิสระ ไม่ว่านายสมัคร นายสมชาย จนถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ นี่คือปัญหาใหญ่ที่สังคมควรถกเถียงกันว่า โครงสร้างที่ให้องค์กรอิสระที่ไม่มีส่วนยึดโยงกับประชาชนมากำกับฝ่ายการเมืองที่ผูกติดกับประชาชนจำนวนมากผ่านการเลือกตั้งแบบที่เป็นอยู่นี้ ชอบธรรมหรือไม่ การออกแบบเชิงโครงสร้างดังกล่าวในระยะยาวจำเป็นต้องมีในแผนปฏิรูป ไม่ใช่มีแต่เรื่องนักการเมืองทุจริตเท่านั้น มิเช่นนั้นเสียงของประชาชนจะมีความสำคัญน้อยลง
ผลักดันเลือกตั้ง
นายพัฒนะ เรือนใจดี รองอธิการบดี ม.รามคำแหง กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่เกิดสุญญากาศทางการเมือง ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน รอง นายกฯ ที่ไม่ได้อยู่ในชุดที่ศาลชี้ให้พ้นสภาพรัฐมนตรีต้องทำหน้าที่นายกฯ รักษาการแทน ส่วนครม.ที่ว่างไปบางส่วน ให้ปลัดกระทรวงขึ้นมารักษาการแทนเช่นกัน ส่วนวุฒิสภาที่จะมีการเลือกประธานวันที่ 9 พ.ค.ก็ทำไม่ได้ในส่วนนี้ ทำได้แค่อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามมาตรา 132 เพราะขณะนี้อยู่ระหว่างยุบสภา รัฐบาลรักษาการต้องเดินหน้าต่อไป เร่งตราพ.ร.ฎ. กำหนดวันเลือกตั้ง เพื่อให้มีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่โดยเร็วที่สุด
นายเกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ถือเป็นคำวินิจฉัยที่เกินขอบเขตอำนาจ ล้ำเส้น ก้าวล่วงอำนาจของฝ่ายบริหาร ทำลายหลักพื้นฐานการอยู่ร่วมกันในสังคม กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับการทำงานของฝ่ายบริหารในการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงที่จะทำไม่ได้ง่ายๆ อีกต่อไป แม้ข้าราชการนั้นจะไม่สามารถสนองนโยบายรัฐบาลได้ก็ตาม
นายเกษม กล่าวว่า คำวินิจฉัยนี้ไม่ใช่สุญญากาศแต่สร้างทางตัน ทำให้การเลือกตั้งมีปัญหาทำได้ยากขึ้น แต่ไม่ใช่สุญญากาศที่จะหยุดความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดินได้ สำคัญที่สุดจากนี้ไปสังคมต้องกดดัน กกต.ให้เร่งจัดการเลือกตั้งให้เสร็จโดยเร็ว ส่วนที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน จี้ให้ครม.ลาออกไปด้วยทั้งที่ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ส.ว. สะท้อนว่าฝ่ายปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยจะยังคงรุกคืบและโจมตีอย่างต่อเนื่อง
กกต.เดินหน้าเลือกตั้ง
นายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ สิ้นสภาพความเป็นรัฐมนตรีว่า ไม่กระทบต่อการจัดเลือกตั้งส.ส.ครั้งใหม่ที่จะมีขึ้น หลังจากนี้ กกต.ยังคงเดินหน้าจัดเลือกตั้งต่อไปและไม่ว่ารัฐมนตรีคนใดจะขึ้นมารักษาการแทนนายกฯ ย่อมมีหน้าที่ต้องทูลเกล้าฯ ถวายพ.ร.ฎ.แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งส.ส.เป็นการเลือกตั้งทั่วไป เนื่องจาก กกต.ไม่มีอำนาจทูลเกล้าฯ เองได้ แต่ต้องรอหารือกับรัฐบาลถึงการยกร่างพ.ร.ฎ.อีกครั้ง
ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า หากต้องการให้เลือกตั้งเป็นตามกำหนดเดิมคือวันที่ 20 ก.ค. นั้น กกต.กับรักษาการแทนนายกฯ จะต้องได้ข้อสรุปภายใน 1 สัปดาห์นับจากนี้ ไม่เช่นนั้นจะต้องล่าช้าออกไป
กิตติพงษ์สมัครใจนั่งที่ปรึกษา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม โพสต์เฟชบุ๊กภายหลัง ครม.มีมติย้ายไปนั่งที่ปรึกษานายกฯ ว่า ขอบคุณผู้ที่ห่วงใยหลังครม.ย้ายให้ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ ตนดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมมาครบ 6 ปีแล้ว ซึ่งตามระเบียบราชการไม่สามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้อีก การย้ายไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ จึงเป็นความสมัครใจ เชื่อว่าตำแหน่งทางราชการเป็นเพียงหัวโขน ซึ่งตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำถือเป็นตำแหน่งที่ไม่ต้องรอพึ่งพาใคร น่าจะทำให้รักษาเกียรติของความเป็นข้าราชการที่ดำรงตนบนความถูกต้อง นอกจากนี้ยังให้เวลาในงานผลักดันวาระการปฏิรูปประเทศร่วมกับเครือข่ายได้เต็มที่
สื่อนอกชี้'ปู'พ้นนายก-หวั่นรุนแรง
วันที่ 7 พ.ค. เว็บไซต์สำนักข่าวต่างประเทศชั้นนำของโลกต่างรายงานผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นสภาพนายกฯ จากกรณีแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เป็นข่าวใหญ่ เช่น บีบีซีรายงานว่า คำวินิจฉัยครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการเมืองซึ่งเริ่มต้นเมื่อกลุ่มต่อต้านรัฐบาลจัดการชุมนุมประท้วงกดดันให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ลาออกตั้งแต่เดือนพ.ย. ปีที่ผ่านมา อาจกระตุ้นให้เกิดการประท้วงของผู้สนับสนุนรัฐบาลจำนวนมากในต่างจังหวัด
นายไมเคิล มอนเตซาโน จากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ กล่าวว่า ประวัติศาสตร์จะจดจำน.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะผู้มีความอดทนที่จะไม่ใช้ความรุนแรง ทั้งที่ตกอยู่ภายใต้ความกดดันมาตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่ผ่านมา และพยายามรักษาเกียรติในตำแหน่ง แสดงถึงความมีมนุษยธรรมมากกว่าหยิ่งทะนงภายใต้ความกดดันสูงมาก
สำนักข่าวเอพี สหรัฐวิเคราะห์ว่า คำวินิจฉัยของศาลครั้งนี้เสมือนชัยชนะของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูงและประชาชนในกรุงเทพฯและภาคใต้ที่เรียกร้องรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและความเคลื่อนไหวโดยไม่ได้แก้วิกฤตของประเทศ และเป็นก้าวแรกนำสู่ความรุนแรงอีกครั้ง
เว็บไซต์นิตยสารไทม์วิเคราะห์ว่า คำวินิจฉัยนี้เปรียบเสมือนการเติมพลังให้กับกลุ่มกปปส.และพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงปูทางให้เกิดการประท้วงบนถนนอีกครั้ง เช่นเดียวกับซีเอ็นเอ็นรายงานคำให้สัมภาษณ์นายพอล กวายา ผอ.บริษัทวิเคราะห์ความเสี่ยงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯว่า ดูเหมือนปัญหาใหญ่จะตามมา พร้อมเรียกร้องไม่ให้จัดการประท้วงในบริเวณใกล้เคียงกันเพราะเสี่ยงเกิดความรุนแรง
ด้านนิวยอร์กไทมส์ ระบุว่า คำวินิจฉัยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่ปี 2549 ที่มีคำสั่งให้บุคคลซึ่งเป็นนายกฯที่เกี่ยวพันกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่ง ครั้งนี้มีความวิตกเรื่องความรุนแรงตามมาเพราะกลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่มีอาวุธยังคงขวางเส้นทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลและสถานที่ราชการหลายแห่งในกรุงเทพฯ ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ในวันเสาร์ที่ 10 พ.ค. ที่จ.นครปฐม
วันที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8562 ข่าวสดรายวัน
ฟันวินัยข้อหาหนุนม็อบ ปลัดสธ. อัยการสั่งคดี 58 แกน'กปปส.'สื่อเยอรมันแจ้งจับ"การ์ด"ตื้บ แดงป้อง'ปู'สู้-เทือกนัด 9 พค.
ถล่มเอ็ม79- ตำรวจสน.ทุ่งสองห้อง ตรวจสอบเหตุคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 2 ลูกเข้าไปในร.พ.จุฬาภรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เขตหลักสี่ ถูกอาคารและรถแท็กซี่ที่จอดอยู่เสียหาย เมื่อค่ำวันที่ 7 พ.ค. |
รมว.สาธารณสุข ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง'นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์''ปลัดสธ. ชี้พฤติกรรมอ้างภารกิจหลวง-ใช้งบประมาณและทรัพย์สินราชการไปดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ปลุกระดมบุคลากรการแพทย์ออกมาชุมนุมกับ 'กปปส.'เพื่อล้มรัฐบาล กองปราบฯ บุกตรวจวิทยุ 'โกตี๋'หาข้อมูลเพิ่มคดีหมิ่น ม.112 จนเผชิญหน้าเดือดกับคนเสื้อแดง'วรชัย เหมะ'แฉแผนจัดตั้ง'แดงเทียม'ชนกับม็อบเทือก หวังเปิดช่องรัฐประหาร ลั่น 10 พ.ค. นี้มีมวลชนร่วมชุมนุมที่ถนนอักษะหลายแสนชีวิต เสื้อแดงเหนือ-อีสานแสดงจุดยืนพรึบ คัดค้านศาลรธน.ฟัน'ปู'พ้นตำแหน่งนายกฯ แฉการ์ดม็อบทำร้ายนักข่าวอิสระชาวเยอรมันอีก
สอบวินัยร้ายแรง'ปลัดสธ.'
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายงานข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ใน วันนี้นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงนามคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 573/2557 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรณีข้อกล่าวหามีมูลว่ากระทำความผิดวินัยอย่าง ร้ายแรง ในเรื่องเรียกประชุมข้าราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยอ้างภารกิจของกระทรวงและใช้งบหรือทรัพย์สินทางราชการ แต่กลับเป็นการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และยังมีพฤติกรรมเข้าร่วมกับคณะบุคคลที่ใช้ชื่อว่า "ประชาคมสาธารณสุข" ในสถานที่ราชการและเป็นประธานการประชุม สั่งการหรือสนับสนุนให้ออกแถลงการณ์ในลักษณะให้ประชาชนเกลียดชังรัฐบาล และเสนอให้รัฐบาลลาออกทันทีเพื่อให้เกิดการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แสดงออกทุกวิถีทางที่จะไม่รับฟัง คำสั่งรัฐบาลและไม่ร่วมทำงานกับรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นทั้งก่อนและหลัง ยุบสภา
พฤติกรรมสนับสนุนกปปส.
นอกจากนั้น นพ.ณรงค์ยังสนับสนุนให้โรงพยาบาลสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือหน่วยงานในสังกัดขึ้นป้ายสนับสนุนกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และขึ้นป้ายต่อต้านรัฐบาล รวมทั้งให้บุคลากรออกมาร่วมชุมนุมกับ กปปส. ขณะเดียวกันนพ.ณรงค์ยังใช้เวลาทั้งในและนอกราชการ สถานที่และทรัพย์สินของราชการสนับสนุนข้อเสนอกปปส. ออกมารับนกหวีดทองคำจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. รวมทั้งยังมีพฤติกรรมทำให้ข้าราชการในสังกัดเข้าใจผิดและเกิดความเกลียดชังนายชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัดกระทรวง ว่ารับใช้ฝ่ายการเมือง กระทำการข้ามหน้าข้ามตาปลัดกระทรวง
จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 93 พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ประกอบข้อ 15 ของกฎก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2556 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนนพ.ณรงค์ โดยมีนายสุรชัย ศรีสารคาม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เป็นประธาน มีพ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เป็นกรรมการ และให้รายงานผลการสอบสวนโดยเร็ว
'เทือก'เดินชวนชุมนุม 14 พ.ค.
เวลา 10.30 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. พร้อมแกนนำ นำมวลชนเดินขบวนเชิญชวนประชาชนให้ออกมาร่วมชุมนุมใหญ่ วันที่ 14 พ.ค.นี้ โดยเริ่มตั้งขบวนจากท่าน้ำสาธุประดิษฐ์ ถ.พระราม 3 และเดินเข้า ถ.จันทน์ ผ่านถ.นราธิวาสราชนครินทร์ เลี้ยวขวาเข้าถ.สีลม กลับเข้าเวทีสวนลุมพินี รวมระยะ 7.6 กิโลเมตร
นายสุเทพ กล่าวว่า วันที่ 14 พ.ค.นี้จะชุมนุมใหญ่ครั้งสุดท้ายเพื่อขับไล่รัฐบาล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะเดินหน้าต่อไปตามที่ตั้งสัตยาธิษฐานไว้เมื่อ 5 พ.ค.ที่ผ่านมาจนกว่าจะได้รับชัยชนะ เพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง
ลุยสั่งคดีแกนนำ'กปปส.'
นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาสำนวนคดีแกนนำ กปปส. รวม 58 ราย ร่วมกันชุมนุมผิดกฎหมาย ซึ่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสำนวนพยานหลักฐาน 217 แฟ้มและความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายสุเทพกับพวกรวม 8 ข้อหา ให้อัยการพิจารณาเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า หลังจากรับมอบสำนวนการสอบสวนจากดีเอสไอแล้ว คณะทำงานอัยการซึ่งมีรองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษเป็นประธานฯ ได้ร่วมกันพิจารณาพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามสำนวนจำนวนมาก โดยทำงานหนักพิจารณากันทุกวัน และประสานให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอมาสอบถามเพื่อสรุปเหตุการณ์ที่ผู้ต้องหาแต่ละรายเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในแต่ละช่วงว่าใครทำอะไร อย่างไร
"อัยการยังทำแผนผัง(โรดแม็ป) สรุปพฤติการณ์ลักษณะความผิดผู้ต้องหาแต่ละรายไว้ด้วยเพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว ในการพิจารณาหลักฐานและองค์ประกอบความผิดในการกล่าวหา ส่วนที่ทนายความของผู้ต้องหายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม อัยการได้พิจารณาครบถ้วนแล้ว" นาย นันทศักดิ์กล่าวและว่า อัยการจะสามารถมีความเห็นสั่งคดีนี้ได้ภายในวันที่ 8 พ.ค. 2557 ก่อนครบกำหนดฝากขังนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ครั้งสุดท้ายในวันที่ 10 พ.ค.นี้ซึ่งเป็นวันหยุด ดังนั้น หากจะมีคำสั่งว่าฟ้องก็ต้องดำเนินการให้เสร็จภายในวันที่ 8 พ.ค. เพราะเป็นวันสุดท้ายของวันทำการของราชการในสัปดาห์นี้ ขณะที่การพิจารณาเพื่อมีความเห็นว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีนี้ อัยการจะมี คำสั่งกับผู้ต้องหาทั้ง 52 ราย จากทั้งหมด 58 รายที่ดีเอสไอส่งสำนวนมาให้ ส่วนผู้ต้องหาอีก 6 รายดีเอสไอไม่ได้ส่งสำนวนมาเนื่องจาก ผู้ต้องหาบางรายยังไม่ได้เข้าพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมตามขั้นตอนกฎหมาย
กองปราบตรวจวิทยุ'โกตี๋'
เวลา 10.00 น. พล.ต.ต.นรบุญ แน่นหนา รองผบช.ก.รักษาราชการแทน ผบก.ป. นำกำลัง 70 นาย พร้อมหมายศาลจังหวัดธัญบุรี ลงวันที่ 6 พ.ค. 57 เข้าตรวจค้นบ้านพักไม่มีเลขที่ ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นที่ทำการสถานีวิทยุชุมชน "เรดการ์ด เรดิโอ" หรือวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี ซึ่งนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ "โกตี๋" ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง (ม.112) เคยใช้เป็นสถานที่ทำงาน เพื่อแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติมในคดีดังกล่าว
มีรายงานว่าในระหว่างที่กำลังตำรวจ บก.ป.เดินทางไปถึงหน้าบ้านพักหลังดังกล่าวแล้วได้มีผู้ดูแลบ้านออกมาพบ จากนั้น พ.ต.ท.นิคม ชัยเจริญ รองผกก.1 บก.ป. แสดงหมายค้นศาลให้รับทราบเพื่อเข้าไปตรวจค้นภายใน แต่ผู้ดูแลบ้านอ้างว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่ ขอให้เจ้าหน้าที่รอก่อน ต่อมาคนในบ้าน ดังกล่าวโทรศัพท์ติดต่อกับบุคคลภายนอก บางส่วนพยายามเก็บข้าวของในบ้าน กระทั่งตำรวจ สภ.คูคต เจ้าของท้องที่เข้ามาสมทบและเจรจากับผู้ดูแลบ้านคนดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปตรวจค้นภายในได้ จากการตรวจค้นพบอาวุธปืนลูกซอง 5 นัด พร้อมกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง วิทยุสื่อสาร 3 เครื่อง มีดเดินป่า 2 เล่ม เบื้องต้นพบว่าเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนถูกต้อง แต่ไม่พบเอกสาร หรือหลักฐานอื่นใดเกี่ยวข้องกับคดีนายวุฒิพงศ์
หลังจากใช้เวลาตรวจค้นเกือบ 1 ชั่วโมง และรอเจ้าหน้าที่กสทช. มาร่วมตรวจสอบการออกอากาศของวิทยุเรดการ์ด เรดิโอ แต่ผู้แทนกสทช.ไม่ปรากฏตัว ทำให้ตำรวจบก.ป.เตรียมถอนกำลังออกมา ขณะนั้นเองมีมวลชนคนเสื้อแดงในพื้นที่กว่า 40 คน เข้ามารุมล้อมแสดงความไม่พอใจ โจมตีว่าเจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติ แต่เหตุการณ์ผ่านพ้นไปด้วยดี ไม่กระทบกระทั่งกัน ส่วนอาวุธปืนและสิ่งที่ตรวจค้นมาทั้งหมดนำส่งสภ.คูคต
"บช.น."เฝ้าระวังม็อบทุกกลุ่ม
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.สำเริง สุวรรณพงษ์ รองผบช.น. ดูแลงานด้านความมั่นคง เปิดเผยถึงสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองว่า ขณะนี้ยังคงต้องเฝ้า ระวังและคอยดูสถานการณ์เป็นระยะ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยตัดสินออกมาแล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมแต่ละกลุ่มจะเคลื่อนไหวออกมาอย่างไร แต่ยังไม่พบข้อมูลการข่าวถึงเหตุการณ์ความรุนแรง ด้านการดูแลสถานที่สำคัญของทางราชการ เบื้องต้นจัดตำรวจกองร้อยควบคุมฝูงชนไปดูแลไว้ทั้งหมดแล้วทั่วกรุงเทพฯ
พล.ต.ต.สำเริง เผยว่า ส่วนกรณีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นัดชุมนุมใหญ่บริเวณถนนอักษะ ย่านพุทธมณฑล วันที่ 10 พ.ค.นั้น เบื้องต้นแกนนำนปช.ยังไม่ได้ประสานมาว่าจะจัดตั้งเวทีไว้บริเวณใด แต่ทำแผนดูแลความปลอดภัยให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมแล้ว ขณะที่กรณีพุทธอิสระ แกนนำกปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ จะย้ายสถานที่การชุมนุมไปอยู่ภายในอาคารบีศูนย์ราชการนั้นเป็นเรื่องการหารือของทางแกนนำกลุ่ม ผู้ชุมนุมกับเจ้าของพื้นที่เป็นผู้รับผิดชอบ ยืนยันตำรวจยังคงดูแลรักษาความปลอดภัยอาคารสถานที่บริเวณดังกล่าวต่อไป
เมื่อถามถึงการตรวจสอบทรัพย์สินในกระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานราชการ อื่นๆ ภายหลังม็อบกปปส.ยอมคืนพื้นที่ พล.ต.ต.สำเริง ตอบว่า ต้องตรวจสอบอย่างแน่นอน แต่ยังระบุไม่ได้ว่าจะมีการตรวจสอบกันเมื่อไหร่
แดงเหนือ-อีสานฮือหนุน'ปู'
เวลา 16.00 น. กลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดเชียงใหม่นัดหมายมวลชนใส่เสื้อดำมาแสดงพลังหน้าศาลปกครองเชียงใหม่ เพื่อคัดค้านการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมเขียนป้ายเป็นสัญลักษณ์ขอความ เป็นธรรม ส่วนกลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่ กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้กระจายคลื่นวิทยุชักชวนคนเสื้อแดงเชียงใหม่และกลุ่มรักเชียงใหม่รวมตัวไปยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ศาลากลางจังหวัด วันที่ 8 พ.ค.นี้ เวลา 11.00 น. เพื่อยื่นหนังสือแสดงจุดยืนไม่รับคำวินิจฉัย ดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญ และไม่ยอมรับนายกรัฐมนตรีคนกลาง
ค้นโกตี๋- ตำรวจกองปราบฯ บุกค้นสถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงที่ ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง พบอาวุธปืนลูกซอง วิทยุสื่อสาร และมีด เมื่อวันที่ 7 พ.ค. |
"ตอนนี้กลุ่มคนเสื้อแดงภาคเหนือและอีสานต่างพากันลุกฮือ ไม่พอใจ และประกาศไม่ยอมรับนายกรัฐมนตรีคนกลาง โดยจะปักหลักแต่ละจังหวัดคัดค้านเต็มที่ และรักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องมาทำหน้าที่แทนน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้นเชื่อได้เลยว่าก็ต้องถูกศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการให้พ้นจากหน้าที่ในที่สุดด้วยวิธีเดิมเพื่อผลักดันนายกรัฐมนตรีคนกลาง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคนเสื้อแดง ภาคเหนือและอีสานคัดค้านและไม่ยอมรับ นายกฯ คนกลางอย่างแน่นอน ขอต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเต็มที่" นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำรักเชียงใหม่ 51 กล่าว
วรชัยแฉแผน'แดงเทียม'ป่วน
ที่พรรคเพื่อไทย นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช.กล่าวว่า คำวินิจฉัยที่ออกมาไม่ยึดหลักข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยตามใจชอบ ทั้งนี้ คนเสื้อแดงยังเดินหน้าชุมนุมในวันที่ 10 พ.ค.ที่ถนนอักษะเหมือนเดิม คาดว่า 10 พ.ค.จะมีคนร่วมประมาณ 4-5 แสนคนและปักหลักชุมนุมต่อเนื่องถึงวันที่ 14 พ.ค. ซึ่งตรงกับวันที่นายสุเทพ เลขาธิการ กปปส.นัดระดมพลใหญ่ เราก็จะนัดให้เป็นวันระดมพลใหญ่วัดจำนวนมวลชนเหมือนกัน คาดว่าจะมีคนเสื้อแดงมามากถึง 7-8 แสนคน จะได้รู้ว่ามวลชนฝ่ายไหนมากกว่ากัน หากคนเสื้อแดงมากกว่าขอให้นายสุเทพนำมวลชนกลับบ้าน รอบนี้เราไม่ยอม
นายวรชัย กล่าวอีกว่า ประเมินว่าการจัดการรัฐบาลเบ็ดเสร็จต้องยึดอำนาจโดยทำรัฐประหารเท่านั้น โดยต้องสร้างเงื่อนไข เช่น ก่อความวุ่นวายให้เห็นว่ามวลชนเสื้อแดง กับกปปส.ปะทะกัน ทราบมาว่ามีบางฝ่ายเตรียมกองกำลังแดงเทียมอ้างว่าเป็นเสื้อแดงไปปะทะกับกปปส. จึงเป็นเรื่องที่เราต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้น ส่วนจะถึงขั้นทหารออกกฎอัยการศึก หรือไม่ก็ต้องทำให้เห็นว่ารัฐบาลคุมสถานการณ์ไม่ได้ ประชาชนฆ่ากัน ทหารออกมาสงบศึกเพื่อให้ประเทศอยู่ในภาวะปกติซึ่งก็อยู่ที่เงื่อนไขในช่วงเวลานั้น
ม็อบดันตั้ง'รัฐบาลปชช.'
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษกกปปส. ให้สัมภาษณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯ และรัฐมนตรีบางส่วนพ้นจากตำแหน่งว่า วันนี้ประเทศไม่มีนายกฯ ไม่มีรัฐบาล และคณะรัฐมนตรีแล้ว ดังนั้น อำนาจอธิปไตยจึงกลับคืนสู่ประชาชน เป็นโอกาสดีที่ประชาชนจะได้จัดตั้งรัฐบาลของประชาชน เพราะรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีไม่มีความชอบธรรมในการแต่งตั้งคนมารักษาการแทน จึงขอให้ทุกฝ่ายเคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) อย่าบังอาจทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัย เพราะวันนี้รัฐบาลไม่มีความชอบธรรมแล้ว
"การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีความผูกพันทุกองค์กร หากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามก็เป็นหน้าที่ของประชาชนและข้าราชการต้องลุกขึ้นมาปกป้องกฎหมายสูงสุดของบ้านเมือง โดยข้าราชการไม่ต้องฟังคำสั่งของคณะรัฐมนตรีแล้ว เพราะไม่มีอำนาจตามกฎหมาย" นายเอกนัฏกล่าว
การ์ดทำร้ายนักข่าวเยอรมัน
วันเดียวกัน นายนิก นอสติทซ์ นักข่าวอิสระชาวเยอรมันที่ฝังตัวทำข่าวความขัดแย้งทางการเมืองของไทยมาตั้งแต่ยุคม็อบ พันธมิตรฯ เปิดเผย'ข่าวสด'ว่า ตนถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 3 คนอ้างตัวเป็นการ์ดประจำม็อบเวทีหนึ่ง รุมทำร้ายและพยายามลักพาตัวไปหาแกนนำม็อบ ระหว่างกำลังทำข่าวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำพิพากษาคดีนายกฯ โยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสมช.
นิก ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุกำลังยืนสูบบุหรี่กับนายโจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวอาวุโสของ บีบีซี ตรงทางเข้าศาลรัฐธรรมนูญ เวลาประมาณ 14.30 มีคนแสดงตัวเป็นการ์ดกปปส. ขี่จักรยานยนต์เดินเข้ามาถามตนว่า ชื่อนิกใช่หรือไม่ พร้อมพูดจาข่มขู่ให้ตนไป กับพวกการ์ด อ้างว่า จะพาไปหาแกนนำ ตน จึงปฏิเสธและเดินหนีเข้าไปในอาคารศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ทันที่ตนจะเข้าไปในอาคาร กลุ่มการ์ดกรูเข้ามาทำร้าย และพยายามดึงขึ้นรถจักรยานยนต์ ตนจึงร้องขอความช่วยเหลือ กระทั่งตำรวจเข้ามากันและสั่งให้พวกการ์ดปล่อยตน จากนั้นพาตนหลบเข้าไปในศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนจะออกจากศาลรัฐธรรมนูญทางประตูหลังเพื่อความปลอดภัย
ช็อกโดนดักตื้บในเขตศาล
นักข่าวอิสระเยอรมัน กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้เคยถูกการ์ดกปปส.ทำร้าย โดยถูกรุมชกต่อยขณะกำลังทำข่าวในม็อบกปปส. ถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2556 ซึ่งในเหตุดังกล่าว นายชุมพล จุลใส แกนนำกปปส. เป็นผู้ปราศรัยให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าทำร้ายตน และโจมตีกล่าวหาว่าเป็นนักข่าวเสื้อแดง
"ไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกการ์ดทำร้ายในพื้นที่ราชการและพื้นที่ศาลเช่นนี้ ผมไม่ได้อยู่บนท้องถนนหรือในกลุ่มผู้ชุมนุมเหมือนก่อนหน้านี้ อีกทั้งเหตุดังกล่าวยังเกิดขึ้นต่อหน้า ผู้สื่อข่าวต่างชาติหลายคน" นิกกล่าว และว่า กรณีล่าสุดนี้ถึงแม้ไม่อยากดำเนินการใดๆ เพราะรู้สึกว่าจะทำให้ถูกเพ่งเล็งจากม็อบมากขึ้น แต่ตนเห็นว่าถ้าหากไม่พยายามดำเนินการใดๆ เลย กลุ่มการ์ดอาจมีพฤติกรรมเช่นนี้อีกในอนาคต และสถานการณ์จะเลวร้ายลงอยู่ดี
สน.ทุ่งสองห้องเช็กวงจรปิด
เวลา 18.30 น. ร.ต.อ.วิทยา คงทอง พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ผู้รับแจ้งความจากนายนิก นอสติทซ์ เปิดเผยว่า นิกแจ้งความว่าเวลาประมาณ 14.30 น. ระหว่างยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ มีชายฉกรรจ์ 3 คนขี่รถจยย.เข้ามาหา ซึ่งเจ้าตัวมองออกว่าเป็นการ์ดกปปส. โดยเข้ามาถามว่า "ใช่นิกหรือไม่ ขอเชิญไปพบหลวงปู่หน่อย" ด้านนิกปฏิเสธว่าไม่ไป แต่กลับถูกการ์ดกปปส. กระชากตัวให้ขึ้นรถจยย.ไปกับการ์ดด้วย แต่ นิกมีรูปร่างใหญ่และแรงเยอะกว่า ทำให้สะบัดตัวหลุดได้ และรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือกับตำรวจจึงได้รับความปลอดภัย
ร.ต.อ.วิทยา กล่าวต่อว่า นายนิกแจ้งว่าการ์ดกปปส. น่าจะมีแบล็กลิสต์รายชื่อคนที่ต้องการตัว ซึ่งนายนิกเชื่อว่าตัวเองเป็นหนึ่งในแบล็กลิสต์ด้วย และที่ปฏิเสธไม่ยอมไปกับการ์ดกปปส. เพราะทราบสรรพคุณของการ์ด กปปส. ดี ทั้งนี้เจ้าหน้าที่นำภาพใบหน้าการ์ดกปปส. มาให้นายนิกชี้ตัวแล้วว่าเป็นคนไหน แต่นายนิกแจ้งว่าจำรายละเอียดไม่ได้ เพราะตอนการ์ดเข้ามาหามีการอำพรางใบหน้าพอสมควร ทั้งใส่แว่นดำ มีผ้าปิดปากและผ้าโพกหัวค่อนข้างมิดชิด หลังจากนี้เจ้าหน้าที่เตรียมประสานขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณจุดเกิดเหตุต่อไป
เทือกเลื่อนวันเผด็จศึก-9พ.ค.
เวลา 20.40 น. นายสุเทพ เลขาธิการกปปส. ขึ้นเวทีสวนลุมพินี ประกาศเลื่อนกำหนดวันชุมนุมใหญ่เผด็จศึกรัฐบาลว่า ขอเปลี่ยนจากวันที่ 14 พ.ค. เป็น 9 พ.ค. เวลา 09.00 น. พบกันที่สวนลุมฯ ถ้าคนเยอะจะขยายพื้นที่การชุมนุมไปเรื่อยๆ ทยอยกระจายออกไปรอบๆ ขอให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศมาร่วมภารกิจเรียกคืนอำนาจอธิปไตย และตั้งรัฐบาลประชาชนที่มีธรรมะ
"เราต้องเอาธรรมะกลับคืนมา ต้องบำเพ็ญเพียรด้วยความอุตสาหะเต็มที่ และต้องทำให้สำเร็จให้ได้ เพราะครั้งนี้เป็นครั้งเดียวของชีวิตคนไทยทุกคน" นายสุเทพกล่าว
นปช.ลั่น-สู้ไม่มีคำว่าแพ้
ที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงสถานการณ์พิเศษ นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. นางธิดา โตจิราการ ที่ปรึกษาประธานนปช. นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. และนายธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ์ โฆษกนปช.
นพ.เหวงกล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าไปนั่งกลางหัวใจของคนไทยและคนรักประชาธิปไตยทั่วโลก คดีที่เกิดขึ้นมีแต่นายกฯ คนแรกที่มีศาลสูงสุดวินิจฉัยถึงสามครั้งซ้ำซ้อน เพราะศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยไปแล้ว และตนมีความเห็นว่าเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง ส่วนประเด็นการจัดตั้งนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล มารักษาการนายกฯ แทนนั้น ควรชะลอดูท่าทีของการชุมนุมใหญ่ที่จะเกิดขึ้น เพื่อดูว่าประชาชนต้องการสิ่งใดแล้วค่อยตัดสินกัน
นายธนาวุฒิระบุกรณีคำวินิจฉัยมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นฝ่ายเสื้อแดงทำอะไรผิดทันที ดังนั้นในเมื่อมีความอยุติธรรมกับคนเสื้อแดงเกิดขึ้น เราจึงต้องต่อสู้ด้วยความถูกต้อง สู้เพื่อประชาธิปไตย แต่การต่อสู้ของเราไม่มีปลุกระดมให้ใช้อาวุธต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม และไม่ว่าจะต้องต่อสู้ยาวนานแค่ไหน เราจะสู้เพื่อพี่น้องและประชาธิปไตย สู้ครั้งนี้ไม่มีคำว่าแพ้ เพราะเรายืนหยัดกับความเป็นจริง
"ส่วนการชุมนุมวันที่ 10 พ.ค.นี้ ที่ถนนอักษะมีความพร้อมกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ในเรื่องการจราจร อำนวยความสะดวกเรื่องสุขา รวมถึงเรื่องการรักษาความปลอดภัย เพื่อปลอดจากวิถีกระสุนของฝ่ายตรงข้าม เหลือเพียงรอเวลาอีก 3 วัน และรอผู้เข้าร่วมชุมนุมเท่านั้น" โฆษกนปช. กล่าว
'ธิดา'ไม่แปลกใจคำวินิจฉัย
นางธิดากล่าวว่า ไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือประหลาดใจกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะทราบดีผลจะออกมาเป็นเช่นไร ผลที่เกิดขึ้นจะยิ่งเป็นการเรียกร้องให้มีผู้เข้าร่วมชุมนุมใหญ่เพิ่มมากขึ้น อีกฝ่ายคงหวังเห็นพวกเราตีอกชกหัวเสียใจ แต่ผลกลับตรงกันข้าม ผลที่เกิดขึ้นทำให้เรารู้ว่าโลกมีสองด้าน เราต้องเรียนรู้มัน และเราไม่สามารถทำอะไรให้เกินความเป็นจริงได้ นอกจากผลวินิจฉัยแล้ว วันนี้ยังมีประเด็นสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลชดใช้เงินค่าเลือกตั้ง 3,800 ล้านบาท ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเราต้องแสดงพลังรวมพลังต่อสู้กันมากขึ้น โดยยังคงมีนายกฯ รักษาการตามมาตรา 181 ของรัฐธรรมนูญ
สตง. จี้'ยิ่งลักษณ์'รับผิดชอบความเสียหาย 3.8 พันลบ.หลังเลือกตั้ง 2 ก.พ.ล่ม
สตง.ร่อนหนังสือถึง'ยิ่งลักษณ์'รับผิดชอบค่าความเสียหายเงิน 3.8 พันลบ. หลังเลือกตั้ง 2 ก.พ.ล่ม หลังได้รับแจ้งข้อมูลจาก กกต.ว่าเคยเสนอเลื่อนวันไปแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ระบุชัดเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบด้วยเหตุผล - กฎหมาย
รายงานข่าวจาก สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่าทาง สตง.ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ ตผ 0012/1686 ถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เรื่องการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินในการดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปครั้งที่ 25 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา
โดย สตง.ระบุว่า ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ได้มีหนังสือกราบเรียนนายกฯ เพื่อโปรดพิจารณาให้รัฐบาลเสนอพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งใหม่ แต่เมื่อยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงวันเลือกตั้งใหม่ กกต.ก็ต้องดำเนินการจัดการเลือกตั้งต่อไป ก่อนที่ กกต.จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยว่า สามารถกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ได้หรือไม่ และเป็นอำนาจของนายกฯ หรือ กกต. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า สามารถกระทำได้โดยเป็นอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกันของนายกฯ และประธาน กกต.
แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่า ไม่มีการเลื่อนวันเลือกตั้งทั่วไป และมีการดำเนินการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยในภายหลังว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ครบทุกเขตในวันเดียวกัน
"จากการที่ สตง.ได้เคยแสดงความกังวลและห่วงใยต่อการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 ก.พ.57 (วงเงิน 3,885 ล้านบาท) ว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความสูญเปล่า ภายใต้สถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยในการจัดการเลือกตั้ง เช่น การจัดตั้งศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ตามประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในระหว่างการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งภายหลังเป็นศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรจนถึงปัจจุบัน ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดการเลือกตั้งของ กกต.และค่าใช้จ่ายของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่สนับสนุนของกกต.จำนวน 18 หน่วยเกิดความสูญเปล่า ที่สูญเสียไป"
"สตง.พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการในกรณีดังกล่าวเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบด้วยเหตุผลและก่อให้เกิดความเสียหายย่อมเข้าข่ายเป็นการกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อไป"
นอกจากนี้ สตง. ยังระบุด้วยว่า "ดังนั้น การใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อดำเนินการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ในครั้งต่อไป รัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องกำหนดมาตรการ หรือวิธีการปฏิบัติในแต่ละขั้นตอนให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่า การเลือกตั้งจะบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมหรือกำหนดให้มีการเลือกตั้งภายใต้สถานการณ์ดังเช่นที่ผ่านมา จนส่งผลให้การเลือกตั้งไม่สำเร็จตามวัตถุประสงค์ รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
ศาล รธน. มีมติเอกฉันท์ การโยกย้าย 'ถวิล เปลี่ยนศรี'ขัดรัฐธรรมนูญ ส่งผล'ยิ่งลักษณ์'ครม.ที่เกี่ยวข้อง สิ้นสภาพรัฐมนตรี ตั้ง’นิวัฒน์ธำรง’รักษาการนายกฯ
ศาล รธน. มีมติเอกฉันท์ การโยกย้าย "ถวิล เปลี่ยนศรี" ขัดรัฐธรรมนูญ ส่งผล "ยิ่งลักษณ์" และครม.ที่เกี่ยวข้อง รวม 10 คน สิ้นสุดสภาพรัฐมนตรี ขณะที่ส่วนที่เหลืออีก 25 คน ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อได้ ด้าน ครม.นัดพิเศษ เคาะ ‘นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล’รักษาการนายกฯ ลั่นเดินหน้าจัดเลือกตั้ง 20 ก.ค. นี้ เตรียมนัดหารือ กกต.ช่วงบ่ายวันศุกร์ ขณะที่วิกิพีเดีย อัพเดทสถานะ’ยิ่งลักษณ์’เป็นอดีตนายกฯคนที่ 28 ทันควัน ระบุดำรงตำแหน่งรวม 2 ปี 275 วัน
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สิ้นสุดลงเฉพาะตัว รวมทั้งความเป็นรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) สิ้นสุดลง เนื่องจากเป็นการกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ก้าวก่ายการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการประจำเอื้อพวกพ้อง ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ดังนั้น บุคคลทั้งหมดตามที่ระบุ จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
ทั้งนี้ องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกำหนดประเด็นพิจารณาไว้ 3 ประเด็น ประกอบด้วย 1.พิจารณาว่าเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ปัญหาที่ต้องพิจารณานายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 วรรคหนึ่ง (2) ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า เมื่อยุบสภาแล้วความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรียังคงอยู่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 181 และหากความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ก็ไม่เกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่
ประเด็นที่ 2.การกระทำของนายกรัฐมนตรีเป็นการกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (2) (3) เป็นการทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคหนึ่งหรือไม่นั้น ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า การโยกย้ายแต่งตั้งนายถวิล ถือเป็นการกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการก้าวก่ายการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการประจำ เอื้อต่อพวกพ้อง ขาดคุณธรรมจริยธรรม จึงทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
ประเด็นที่ 3.เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) จะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ต้องสิ้นสุดลงด้วยหรือไม่นั้น ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า รัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงมติโยกย้ายแต่งตั้งนายถวิล ต้องถือว่ากระทำการโดยมิชอบ ดังนั้น ความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะต้องสิ้นสุดเฉพาะตัวลงด้วยเช่นกัน
สำหรับคำร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลางนั้น ศาลฯไม่รับไว้พิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานรายชื่อ 10 รัฐมนตรี ที่ต้องสิ้นสภาพ เนื่องจากมีส่วนร่วมในการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี มีดังนี้
1.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯและรมว.กลาโหม
2 เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ขณะนั้น
3.กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ ขณะนั้น
4.สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศขณะนั้น
5.สันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขณะนั้น
6.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที
7.ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์ขณะนั้น
8.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ขณะนั้น
9.นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ ขณะนั้น
10.พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ขณะนั้น
ส่วน คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดปัจจุบัน หรือ ครม.ยิ่งลักษณ์ 5 ที่ไม่ได้อยู่ร่วม ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 ซึ่งยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ ประกอบด้วย
1.นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์
2.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี
3.นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ
4.นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรมช.เกษตรฯ
5.นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รมว.คมนาคม
6.นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.ทรัพยากรฯ
7.นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน
8. นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย
9.นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม
10.นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรฯ
11.นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง
12.นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.คลัง
13.นายสมศักดิ์ ภูรีศรีศักดิ์ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา
14.นางปวีณา หงสกุล รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
15.พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต รมช.คมนาคม
16.นายพ้อง ชีวานันท์ รมช.คมนาคม
17.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์
18.นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์
19. นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ รมช.มหาดไทย
20.นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม
21.นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ
22. นายประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข
23. นายสรวงศ์ เทียนทอง รมช.สาธารณสุข
24.นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม
25 .นายประชา ประสพดี รมช.มหาดไทย
ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษวันนี้ มีมติให้ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่ง
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยังประกาศเดินหน้าจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้
โดยจะนัดหารือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่องการร่าง พ.ร.ฎ. เลือกตั้งร่วมกันในช่วงบ่ายวันศุกร์นี้ (9 พ.ค.)
ขณะที่ สารานุกรมเสรี วิกิพีเดีย อัพเดทสถานะนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งวินิจฉัยให้พ้นสภาพนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนรีคนที่ 28 ของไทย ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2554-7 พฤษภาคม 2557 รวม 2 ปี 275 วัน
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
วันที่ 07 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8561 ข่าวสดรายวัน
ศาลรธน.เที่ยงนี้ ตัดสินปู! ปปช.ต่อคิววันพรุ่งนี้ ชี้ขาดคดี'ย้ายถวิล-จำนำข้าว'ศอ.รส.แฉ"แผนสุญญากาศ'กกต.ยึกยักร่างพรฎ.เลือกตั้ง โยกกิตติพงษ์-ธงทอง-ภราดร
ติดตาม - สื่อมวลชนจำนวนมากติดตามการชี้แจงของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดี โยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ก่อนตุลาการจะนัดฟังคำวินิจฉัยทันทีในวันนี้ |
ศาลรัฐธรรมนูญม้วนเดียวจบคำร้องย้าย'ถวิล เปลี่ยนศรี'ไต่สวน 4 พยานเสร็จ ฉับไวนัดฟังคำวินิจฉัย ในวันนี้ ด้าน'ยิ่งลักษณ์'ขึ้นให้ถ้อยคำระบุย้ายเพราะรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงขณะนั้นเห็นว่าอยู่ในศอฉ.เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังกับประชาชนจนมีผู้บาดเจ็บล้มตาย ยันไม่เอื้อประโยชน์ญาติพี่น้องเก้าอี้ผบ.ตร. ระทึกอีกดอก ป.ป.ช.นัดประชุมชี้มูลถอดถอนคดีจำนำข้าวต่อทันทีวันที่ 8 พ.ค. อ้างผลการไต่สวนพยานครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วนัดประชุมชี้ชะตาได้ ศอ.รส.แถลงการณ์แฉแผนสร้างสุญญากาศ ตั้งนายกฯนอกรัฐธรรมนูญ กกต.ยึกยักอีกยังไม่ส่งร่างพ.ร.ฎ.แก้ไขให้ครม.พิจารณา อ้างขอแก้ไขให้อำนาจกกต.สามารถเลื่อนวันเลือกตั้งได้ก่อน เพื่อให้ทำงานได้ราบรื่น
ศาลรธน.นั่งบัลลังก์ไต่สวน4พยาน
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 พ.ค. ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบังลังก์ไต่สวนพยาน 4 ปาก ในคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นสมาชิกวุฒิสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ และรมว.กลาโหม สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบมาตรา 268 หรือไม่จากกรณีแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีตเลขาธิการสมช.และอดีตผบ.ตร. นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา และนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสมช. โดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญถ่าย ทอดสดขณะไต่สวนพยานทั้ง 4 ปาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยังประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 กองร้อย พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิด (อีโอดี) มาดูแลรักษาความปลอดภัยรอบสำนักงาน ขณะเดียวกันทีมรักษาความปลอดภัยของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้มาตรวจสถานที่ไว้ล่วงหน้า ซึ่งบรรยากาศปกติเรียบร้อย
'ยิ่งลักษณ์'ยิ้มแย้ม-ขึ้นศาลรธน.
ต่อมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วยนาย วราเทพ รัตนากร ปฏิบัติหน้าที่รมต.ประจำสำนักนายกฯและรมช.เกษตรและสหกรณ์ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกฯ นางปวีณา หงสกุล ปฏิบัติหน้าที่รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ปฏิบัติหน้าที่รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายพิชิต ชื่นบาน ทีมกฎหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และพล.อ. นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม เดินทางถึงศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ นายกฯ มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีนายสมฤทธิ์ ไชยวงศ์ โฆษกศาลรัฐธรรมนูญต้อนรับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะมาศาลรัฐธรรมนูญ ได้หารือซักซ้อมกับนายพิชิต และทีมกฎหมาย ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานี ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญตั้งอยู่ในศูนย์ราชการ ซึ่งบริเวณด้านหน้า มีการชุมนุมของกลุ่มพุทธอิสระ
กำหนด 3 ประเด็นพิจารณาคำร้อง
เวลา 10.30 น. นายจรูญ อินทจาร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานทั้ง 4 ปาก โดยนายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการ ระบุว่าการไต่สวนวันนี้องค์คณะกำหนดประเด็นพิจารณาไว้ 3 ประเด็น 1.พิจารณาว่าเมื่อมีการยุบสภาแล้ว ปัญหาที่ต้องพิจารณานายกฯพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 วรรคหนึ่ง (2) ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ 2.การกระทำของนายกฯ ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266(2) (3) ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 182 วรรคหนึ่งหรือไม่ และ 3.เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯสิ้นสุดลง ตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) จะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของครม.ทั้งคณะ ต้องสิ้นสุดลงด้วยหรือไม่
จากนั้น นายไพบูลย์กล่าวว่า คดีนี้น.ส. ยิ่งลักษณ์ มุ่งผลักดันให้เครือญาติคือพล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร.ขณะนั้น ขึ้นเป็นผบ.ตร. แต่ในช่วงดังกล่าวมีพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็นผบ.ตร. จึงให้พล.ต.อ.วิเชียร พ้นจากผบ.ตร. เพื่อให้ตำแหน่งว่างลง และแต่งตั้งพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขึ้นมาแทน จึงย้ายพล.ต.อ.วิเชียร ไปเป็นเลขาธิการสมช.อย่างไม่สมัครใจ เป็นเหตุให้ต้องแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เลขาธิการสมช.ขณะนั้นไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ ตนเห็นว่าการย้ายนายถวิล มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า มีการแทรกแซงเร่งรัดเพื่อให้พ้นจากเลขาธิการสมช.โดยเร็ว ซึ่งนายถวิลได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพราะเห็นว่าน.ส. ยิ่งลักษณ์ ใช้อำนาจแต่งตั้งโยกย้ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้ดุลพินิจโดย มิชอบตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และมีผลผูกพันผู้ถูกร้อง ตามนัยมาตรา 70 แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง
'ไพบูลย์'ให้วินิจฉัยครม.พ้นทั้งคณะ
นายไพบูลย์ กล่าวว่า จึงขอให้ศาลวินิจฉัยว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ กระทำการต้องห้ามตามมาตรา 268 มีผลให้ความเป็นนายกฯสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) จึงไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งนายกฯต่อไปได้ และเป็นเหตุทำให้รัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ เพราะถือว่ามีส่วนร่วมกระทำการต้องห้าม อีกทั้งเมื่อตำแหน่งนายกฯว่างลง รัฐมนตรีที่เหลืออยู่จึงไม่อาจประกอบกันเป็นครม.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 171 และมีอำนาจที่ถูกจำกัดตามมาตรา 181 และมาตรา 10 วรรคท้าย แห่งพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้น เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินการต่อไปได้ จึงต้องแต่งตั้งนายกฯคนใหม่ภายใน 7 วัน เช่นเดียวกับกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ออกจากนายกฯ ก็แต่งตั้งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาเป็นนายกฯภายใน 9 วัน
ด้านนายสมหมาย กู้ทรัพย์ ทนายความพรรคเพื่อไทย พยายามซักถามนายไพบูลย์ ว่าทราบหรือไม่ในการแต่งตั้งพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นผบ.ตร.เพราะมีผลงานด้านปราบปรามยาเสพติด ซึ่งพล.ต.อ.วิเชียร ที่เป็นคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ก็สนับสนุน รวมทั้งพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เมื่อได้รับแต่งตั้ง ฝ่ายการเมืองก็ไม่เคยนำไปเป็นประเด็นอภิปรายในรัฐสภา โดยนายไพบูลย์ระบุว่า ไม่ทราบ
นายสมหมายถามถึงศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาต่อกรณีดังกล่าวว่าเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายยกเว้นเรื่องดุลพินิจ นายไพบูลย์กล่าวว่า เห็นว่าการใช้ดุลพินิจต้องชอบด้วยกฎหมาย จึงจะทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายชอบด้วยกฎหมาย
'ยิ่งลักษณ์'ยันไม่ได้ก้าวก่ายแทรกแซง
จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ถ้อยคำว่า การดำรงตำแหน่งนายกฯของตนนั้นได้รับความเห็นชอบจากสภา จึงต้องรับผิดชอบนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนของการทำงาน ตนมอบอำนาจให้รองนายกฯและครม.สั่งการตามนโยบาย รวมทั้งอำนาจพิจารณาบุคลากรที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการ ต้องมีความเข้าใจในนโยบายรัฐบาลและได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาล ซึ่งในครม.ชุดนั้น ตนมอบหมายพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯขณะนั้นดูแลหน่วยงานด้านความมั่นคง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯขณะนั้น ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และน.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯขณะนั้น ดูแลสำนักนายกฯ
นายกฯกล่าวว่า ตนจึงขอปฏิเสธว่ามีพฤติกรรมตามที่ถูกกล่าวหาต่างๆ เพราะตนไม่ได้ก้าวก่ายหรือแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ เพราะดุลพินิจการแต่งตั้งพล.ต.อ. เพรียวพันธ์ เป็นผบ.ตร. พล.ต.อ.วิเชียร เป็นเลขาธิการสมช. และนายถวิล เป็นที่ปรึกษา นายกฯ เป็นดุลพินิจของรัฐมนตรีที่ต้องแต่งตั้งโยกย้าย เพื่อประโยชน์สูงสุดในการบริหารงาน
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ส่วนการแต่งตั้งพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เพราะความเป็นเครือญาตินั้น ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง จะเห็นได้ว่าพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ แม้จะเกษียณอายุราชการ ก็ไม่ได้มาเป็นครม.ในรัฐบาลของตน การเสนอพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นผบ.ตร.นั้น รองนายกฯเป็นคนเสนอ ตนในฐานะประธานก.ต.ช. จึงต้องเสนอรายชื่อเข้าที่ประชุมตามกฎหมาย แม้แต่พล.ต.อ.วิเชียร ที่เป็นก.ต.ช.ก็ยังให้ความเห็นชอบพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ อีกทั้งยังเห็นว่าพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ที่มีประสบการณ์ปราบปรามยาเสพติดสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล จึงเป็นการแต่งตั้งที่มองความเหมาะสม ไม่ใช่เครือญาติ
ย้าย'ถวิล'เพราะร่วมสั่งสลายชุมนุม
น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ถ้อยคำต่อว่า การบริหารราชการแผ่นดินต้องทำตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ประกอบกับตนเข้ามาดำรงตำแหน่งก็เกิดปัญหาอุทกภัย ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รวมทั้งแก้ไขปัญหายาเสพติด ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตนจึงมอบอำนาจให้รองนายกฯและครม.ในด้านต่างๆ แบ่งหน้าที่กันเพื่อบริหารราชการและแก้ไขปัญหาดังกล่าว สำหรับการย้ายพล.ต.อ. วิเชียรนั้น ตนรับทราบตามความเห็นที่พล.ต.อ. โกวิท เสนอให้ที่ประชุมครม.ทราบ ซึ่งทุกครั้งที่มีการเสนอชื่อก็ไม่ได้วางตำแหน่งในอนาคตข้างหน้า เช่น การที่พล.ต.อ.วิเชียร ออกจากเลขาธิการสมช. ไปเป็นปลัดกระทรวงคมนาคม ก็เกิดจากการทาบทามของรมว.คมนาคมขณะนั้น ซึ่งแต่งตั้งตามนโยบาย ไม่ได้ทราบว่าในอนาคต ปลัดคมนาคมจะเป็นใคร
ด้านนายจรูญ ถามถึงเกณฑ์การตัดสินใจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ คำนึงถึงประสิทธิภาพและคุณธรรมอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า การย้ายพล.ต.อ.วิเชียร เป็นเลขาธิการ สมช. อยู่ในอำนาจการตัดสินใจของพล.ต.อ.โกวิท โดยเลขาธิการสมช.นั้น ต้องสนองนโยบายรัฐบาลและต้องได้รับความไว้วางใจ ส่วนสาเหตุที่พล.ต.อ.โกวิท ย้ายนายถวิล เพราะนายถวิลเคยอยู่ในศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ที่สั่งสลายชุมนุมจนมีคนเสียชีวิต ด้วยความเป็นห่วงสถานการณ์การเมือง จึงแต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าว และเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายภาคแดนใต้ ซึ่งตนไม่ได้ก้าวก่ายการใช้ดุลพินิจของรองนายกฯ เพราะพล.ต.อ.โกวิท ให้เหตุผลว่าพิจารณาตามหลักความไว้ใจและผู้ที่สามารถรับผิดชอบตามนโยบายของรัฐบาลได้ อีกทั้งครม.ยังเห็นชอบ ตนจึงไม่ได้ซักถามอะไรเพิ่ม และพล.ต.อ.วิเชียร ก็สมัครใจมารับตำแหน่งเลขาธิการสมช.
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนในการแต่งตั้งโยกย้ายนั้น ตนไม่ทราบ เพราะเห็นว่าเป็นขั้นตอนของฝ่ายปฏิบัติ และเป็นฤดูกาลที่มีการแต่งตั้งตามปกติ แต่ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการมีความสำคัญ จำเป็นต้องปฏิบัติตามที่รัฐบาลแถลงนโยบายเร่งด่วน 16 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาน้ำท่วม ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างที่มีการว่างเว้นจากยุบสภา
'ถวิล'ให้การอ้าง'วิเชียร'ถูกบีบ
จากนั้นนายถวิล ชี้แจงว่า เหตุผลที่แท้จริงในการย้ายตน เพราะก่อนมีมติครม.โอนย้ายตน มีเรื่องของตร. โดยร.ต.อ.เฉลิมพูดเรื่องบ่อนการพนัน ซึ่งมีความบกพร่องของพล.ต.อ. วิเชียร ผบ.ตร.ที่ปล่อยให้มีบ่อนการพนันและมีข่าวออกมาบ่อยครั้งในเดือนส.ค.2554 ว่ามีการบีบบังคับให้พล.ต.อ.วิเชียรลุกออกจากตำแหน่ง ซึ่งพล.ต.อ.วิเชียรเคยพูดกับตนตอนที่มีข่าวจะย้ายมาสมช.ใช้คำว่า "พี่ถวิลสบายใจได้ ผมไม่มาสมช. จะต่อสู้ที่ตร." ซึ่งตนก็บอกว่าดีแล้ว ทั้งนี้ ตนยังไม่เคยเปิดเผยข้อมูลนี้ที่ใดมาก่อน เหตุที่ย้ายตนออกเพื่อรองรับพล.ต.อ. วิเชียร ก่อนแต่งตั้งพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ อีกทั้งรองนายกฯ ที่กำกับดูแลตร. บอกชัดเจนว่าไม่ไว้ใจตนเพราะทำงานในศอฉ.ในช่วงปี 2552-2553 ซึ่งตนเป็นข้าราชการประจำ เป็นไปตามโครงสร้างตามกฎหมาย ตนต้องทำงานให้ทุกรัฐบาลอยู่แล้ว ไม่มีการเปลี่ยนย้ายตามวาระของรัฐบาล
นายสมหมาย ถามว่าตอนย้ายพล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา อดีตเลขาธิการสมช. นายถวิลดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสมช.ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช่หรือไม่ นายถวิลกล่าวว่า ใช่ แต่เหตุผลที่ย้ายพล.ท.สุรพลตนไม่ทราบ ตอนย้ายพล.ท.สุรพลตนจำได้ว่าย้ายเดือนก.ค. ซึ่งรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาปี 2551 ให้พล.ท.สุรพลทำงานมา 8-9 เดือนแล้ว
ทนายซักค้าน-ไม่ให้การศาลปค.
นายสมหมาย ถามต่อว่า ในศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยอำนาจถูกผู้ร้องว่ามีอำนาจโยกย้ายได้ ยกเว้นอย่างเดียวเรื่องดุลพินิจ นายถวิลกล่าวว่า ศาลปกครองวินิจฉัย แต่การใช้ดุลพินิจไม่ชอบ มีข้อเท็จจริงที่สะท้อนว่าเร่งรีบดำเนินการ การย้ายต่างหน่วยต่างกรมต้องให้ความยินยอมกันก่อนระหว่างหน่วยที่ให้โอนและหน่วยที่รับโอน เลขาธิการนายกฯ มีหนังสือลงวันที่ 4 ก.ย. 2554 มีถึงหน่วยที่กำกับดูแลตนอยู่ ซึ่งให้ข้อมูลว่ามีตำแหน่งพร้อมรับโอน และรัฐมนตรีที่ดูแลสำนักงานเลขาธิการนายกฯ ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว แต่ปรากฏว่ารมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่ดูแลได้ให้ความเห็นชอบในวันที่ 5 ก.ย. 54 เท่ากับรัฐมนตรีที่ดูแลหน่วยที่รับโอนยังไม่ได้เห็นชอบ ซึ่งไม่สอดคล้องกัน เป็นการปกปิดข้อมูลบางอย่าง
นายสมหมาย ถามว่าฝ่ายบริหารต้องรับผิดชอบนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา การโยกย้ายข้าราชการ ความไว้วางใจกับความสามารถ ฝ่ายบริหารจะต้องแยกจากกัน คนที่ไว้วางใจควรอยู่ในตำแหน่งเห็นด้วยหรือไม่ อีกทั้งนายถวิลเบิกความทั้งหมดดูแล้วเป็นสาระสำคัญในคดี เหตุใดจึงไม่ให้การกับศาลปกครอง นายถวิลกล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยเรื่องคนที่รัฐบาลไว้วางใจควรอยู่ในตำแหน่ง ส่วนเรื่องสาระสำคัญของการเบิกความนั้น น้ำหนักของตนที่ศาลปกครองคือกรณีนายกฯ ไม่ใช้วิธีการที่กฎหมายกำหนด กระบวนการต่อสู้ของตนรับผิดชอบแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องตร. ตนต่อสู้ในประเด็นโยกย้ายไม่เป็นธรรมเท่านั้น
'จรัญ'ระบุเอกสารมีความลักลั่น
นายจรูญ ถามว่าการย้ายกรณีดังกล่าวเป็นการย้ายตามปกติของระบบราชการหรือไม่ คิดว่าเป็นการแทรกแซงหรือไม่ นายถวิลกล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าเป็นการแทรกแซงก้าวก่ายหรือไม่ แต่ตนเห็นว่าเกี่ยวพันกัน แบ่งงานกันทำ เพราะถ้าไม่เอาตนออกก็ไม่สามารถโอนพล.ต.อ.วิเชียรมาตำแหน่งนี้ได้ ถ้าไม่เอาพล.ต.อ.วิเชียรออกจากผบ.ตร.ได้ก็ไม่สามารถเอาพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ขึ้นเป็นผบ.ตร.ได้เช่นกัน
ด้านนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการถามว่า ในบันทึกข้อความของสำนักนายกฯ ลงวันที่ 4 ก.ย. 2554 ระบุว่าน.ส.กฤษณายินยอมให้รับโอนแล้ว นายถวิลกล่าวว่า หนังสือจากพล.ต.อ.โกวิทแจ้งว่า น.ส.กฤษณาเห็นชอบพร้อมรับโอนแล้ว แต่มีหนังสือลงวันที่ 5 ก.ย. 54 ของน.ส.กฤษณาว่าเห็นชอบการรับโอน ตนเห็นว่าถ้าพิจารณาให้ดีการโอนย้ายต้องให้เกิดประโยชน์ต่อทั้ง 2 หน่วย ก็เห็นว่ามันไม่สอดคล้องกัน เพียงแต่เรื่องนี้คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมและศาลปกครองสูงสุดไม่ได้เห็นเป็นสาระสำคัญของการโอน ซึ่งตนคิดว่าเอกสารดังกล่าวมีการแก้ไขวันที่ตนถ่ายเอกสารที่อยู่ในมือตั้งแต่ต้น และเห็นว่าหนังสือมีความลักลั่น
วิเชียร ยันย้ายสมัครใจ-เปล่าบีบ
ขณะที่พล.ต.อ.วิเชียรชี้แจงเป็นพยานปากสุดท้ายว่า การโยกย้ายสืบเนื่องจากความเสียใจที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ขณะนั้นตำหนิติเตียนอย่างรุนแรงว่าตนเป็นตำรวจคุมบ่อนคุมซ่อง ซึ่งทำลายศรัทธาของประชาชน เมื่อถูกตำหนิติเตียนก็มาปรึกษาพล.ต.อ.โกวิทว่าไม่สามารถทำงานกับผู้บังคับบัญชาแบบนี้ได้ จะย้ายให้ตนไปไหนก็ได้ ซึ่งพล.ต.อ.โกวิทบอกว่าจะย้ายไปเป็นเลขาฯ สมช. ซึ่งตนยืนยันว่าเป็นความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ขู่เข็ญ ต่อรอง ส่วนนายกฯ ก็ไม่เคยทาบทาม ไม่เคยยื่นเงื่อนไข และไม่เคยแทรกแซงการโยกย้ายแต่อย่างใด
นายไพบูลย์ ได้ขึ้นซักถามว่าก่อนย้ายมาเป็นเลขาฯ สมช. ทราบหรือไม่ว่ามีการเสนอชื่อพล.ต.อ.เพรียวพันธ์มาเป็นผบ.ตร.แทน พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า ตนไม่ทราบมาก่อน เพราะการแต่งตั้งผบ.ตร.ต้องเป็นไปตามพ.ร.บ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน้าที่นายกฯ จะเห็นว่าใครเหมาะสมในการเสนอชื่อให้เป็นผบ.ตร. ตนไม่ยึดติดตำแหน่ง แต่เมื่อได้รับมอบหมายหน้าที่ก็พร้อมทำเต็มที่ ตนตั้งใจ จริงที่จะเกษียณในตำแหน่งหัวหน้าตำรวจ พระราชสำนัก ตนไม่ได้ยึดกับตำแหน่งแต่ตั้งใจจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนจะไปอยู่ตำแหน่งไหนขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา
นายไพบูลย์ ถามต่อว่าการที่ร.ต.อ.เฉลิมต่อว่าเป็นการข่มขู่คุกคามหรือไม่ และต่อมายังถูกย้ายไปเป็นปลัดกระทรวงคมนาคม พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า ไม่ได้คุกคาม แต่ตนสมัครใจเอง การที่ร.ต.อ.เฉลิมตำหนิการทำงาน ไม่เกี่ยวกับการตัดสินใจโยกย้ายตำแหน่งเพราะตนตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่ได้ถูกข่มขู่คุกคาม และเมื่อย้ายเป็นเลขาฯ สมช.ถือเป็นก.ต.ช.โดยตำแหน่งและได้เห็นชอบพล.ต.อ.เพรียวพันธ์เป็นผบ.ตร.
นัดฟังคำวินิจฉัยทันที-วันที่ 7 พ.ค.
นายไพบูลย์ ถามว่าเคยพูดคุยกับนายถวิลก่อนโยกย้ายหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า ตนเคยพูดคุยกับนายถวิล เคยคุ้นเคยกันเนื่องจากเคยเรียนที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ด้วยกัน แต่ก่อนโยกย้ายไม่ได้ปรึกษาเรื่องดังกล่าว เมื่อโยกย้ายมาแล้วก็ไม่เคยพูดคุยกัน ตนเสียใจที่ทำให้นายถวิลเดือดร้อน แม้ตนจะมีอายุมากกว่าแต่เมื่อเจอหน้ากันก็ยกมือไหว้และขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน
จากนั้นเวลา 13.45 น. นายจรูญสั่งพักการประชุม 10 นาที ต่อมาเวลา 14.05 น.ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์อีกครั้ง โดยนายจรูญอ่านกระบวนการวิธีพิจารณา ระบุว่ากรณีผู้ถูกร้องขอให้สอบพยานเพิ่มพยานได้แก่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ปฏิบัติหน้าที่รมว.แรงงาน นายชาญชัย แสวงศักดิ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด นายนพดล เฮงเจริญ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายสมรรถชัย วิศาลาภรณ์ นายสมชัย วัฒนการุณ และนายประวิตร บุญเทียม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง ขอยื่นแถลงปิดคดีซึ่งศาลไม่อนุญาตเนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานครบถ้วนและกระบวนการไต่สวนเสร็จสิ้นแล้ว จึงขอนัดคำฟังวินิจฉัยในวันที่ 7 พ.ค. เวลา 12.00 น.
มาร์คส่งคนนำโรดแม็ปมาให้ปู
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางกลับมาปฏิบัติภารกิจที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แจ้งวัฒนะ ต่อมาเวลา 13.30 น. นายทศพล เพ็งส้ม ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ มายื่นแผนปฏิรูปประเทศให้กับนายกฯ ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคมอบหมาย โดยมี นายกัลยาณะ วิภัตภูมิประเทศ รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายบริหาร เป็นตัวแทนนายกฯ รับหนังสือดังกล่าว
พท.แถลงซัดโรดมาร์คสับสน
ที่พรรคเพื่อไทย แกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นายโภคิน พลกุล กรรมการกิจการพรรค พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองเลขาธิการพรรค นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายคณิน บุญสุวรรณ นายอำนวย คลังผา นายไพจิต ศรีวรขาน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค ออกแถลงการณ์เรื่อง"การเลือกตั้งและความยุติธรรมเท่านั้น คือทางออกของประเทศ"
นายโภคิน อ่านแถลงการณ์ว่า ตามที่พรรคเพื่อไทยมีแถลงการณ์อย่างต่อเนื่องว่า ทาง ออกของประเทศจากความรุนแรงและกลียุคที่จะเกิดขึ้นนั้น คือการเลือกตั้ง และทุกฝ่ายทุกองค์กรต้องตั้งอยู่บนความเที่ยงธรรม ปราศจากอคติ ซึ่งเป็นความเห็นที่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2549 วันที่ 8 พ.ค.2549 เป็นไปตามหลักสากลและหลักที่ประเทศไทยถือปฏิบัติมาตลอด ทั้งยังสอดคล้องกับความเห็นของทุกพรรค ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่ม กปปส.
นายโภคิน กล่าวว่า ข้อเสนอทางออกประเทศของนายอภิสิทธิ์ที่มีข้อสรุปว่าขอให้รัฐบาลเลื่อนการตราพ.ร.ฎ.เลือกตั้งออกไป ขอให้นายกฯลาออกเพื่อเปิดทางไปสู่รัฐบาลคนกลาง โดยประธานวุฒิสภาจะเป็นผู้สรรหานายกฯ และคณะรัฐมนตรี รัฐบาลจะมาปฏิรูปก่อนเลือกตั้งและต้องการรอคำตอบของน.ส.ยิ่งลักษณ์เพียงคนเดียวนั้น พรรคเพื่อไทยเห็นว่าข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ สับสนและไม่ได้เป็นไปอย่างจริงใจ ขัดหลักประชาธิปไตย และไม่อยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
เอื้อข้อเสนอเทือก-กปปส.-ขัดรธน.
นายโภคิน กล่าวว่า การเสนอให้ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ลาออก ไม่แตกต่างจากที่เคยเสนอในปี 2549 เป็นการสืบทอดแนวคิดทั้งที่รู้อยู่ว่าขัดรัฐธรรมนูญ ขณะที่การเสนอให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้สรรหานายกฯ และครม. เป็นข้อเสนอนอกรัฐธรรมนูญโดยแท้ เพราะตามรัฐธรรมนูญ เฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้นที่มีสิทธิเสนอและเลือกนายกฯ เพราะนายกฯต้องเป็นส.ส.
นายโภคิน กล่าวว่า การที่รัฐบาลคนกลางจะดำเนินกระบวนการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง โดยการทำแผนและทำประชามติ ร่วมกับกกต.ก็ไม่อาจทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เพราะมาตรา 165 กำหนดให้ปรึกษากับประธานสภา ดังนั้น ต้องเลือกตั้งจนได้ประธานสภาก่อนจึงจะทำประชามติได้ การให้รอการเลือกตั้งไป 150-180 วันหรือ 5-6 เดือน จึงเป็นไปไม่ได้ และการรอคำตอบจากนายกฯ เพียงคนเดียว เท่ากับสร้างเงื่อนไข เอื้อข้อเสนอของตนและกปปส.ที่ขัดรัฐธรรมนูญและไม่เป็นประชา ธิปไตย เพราะนายกฯไม่มีอำนาจตราพ.ร.ฎ.แต่เพียงผู้เดียว ต้องหารือกับกกต.และได้รับความเห็นชอบจากครม.ที่ทำหน้าที่ขณะนี้ เหนือสิ่งอื่นใดเป็นพระราชอำนาจ การเสนอเช่นนี้จึงไม่บังควรอย่างยิ่ง
ระบุสมคบกันทำรัฐประหารเงียบ
นายโภคิน กล่าวว่า ตอนที่พรรคประชา ธิปัตย์เป็นรัฐบาลระหว่างปี 2551-2554 และเป็นฝ่ายค้านปี 2554-2556 ไม่เคยมีเรื่องการปฏิรูป มีแต่การแก้รัฐธรรมนูญเรื่องระบบเลือกตั้งเพื่อทำให้พรรคเพื่อไทยเสียเปรียบ ไม่ได้ให้ความสำคัญในข้อเสนอต่างๆ เกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เป็นธรรม หรือกระบวนการเลือกตั้งให้สุจริต เที่ยงธรรมยิ่งขึ้น และความเป็นจริง กกต.มีอำนาจที่จะแก้ปัญหาดังกล่าว แต่ที่แก้ไม่ได้และไม่พยายามแก้คือการขัดขวางการเลือกตั้งของ กปปส.และพรรคประชาธิปัตย์
นายโภคิน กล่าวว่า พรรคเชื่อว่ามีกระบวน การสมคบคิดกันระหว่างบางพรรค กปปส. และองค์กรตามรัฐธรรมนูญบางองค์กรเพื่อทำรัฐประหารรูปแบบใหม่ด้วยการทำลายระบอบประชาธิปไตย ไม่เอาการเลือกตั้ง ใช้อคติ ไม่มีความยุติธรรม เลือกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความขัดแย้ง เพื่อสร้างสุญญากาศไปสู่การมีนายกฯที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงต้องจับตาดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีนายถวิลอย่างรวดเร็วหรือไม่ จะมีคำสั่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประเทศไม่มีรัฐบาล เพื่อปูทางให้วุฒิสภาไปละเมิดรัฐธรรมนูญตั้งนายกฯ คนกลางต่อไปหรือไม่ กองทัพจะออกมาสนับสนุนกระบวนการที่ขัดรัฐธรรมนูญเช่นนี้หรือไม่ กกต.จะทำตามนายอภิสิทธิ์และกปปส. ด้วยการเลื่อนการเลือกตั้งที่ตนเสนอเองออกไป จนไม่มีการเลือกตั้งหรือไม่
นายโภคินกล่าวต่อว่า พรรคขอย้ำว่าจะต้องเดินหน้าเลือกตั้งต่อไปในวันที่ 20 ก.ค. โดยทุกพรรคนำเสนอแนวทางปฏิรูปประเทศไทยต่อประชาชน หลังเลือกตั้งทุกฝ่ายต้องร่วมกันผลักดันให้มีกฎหมายรับรององค์กรปฏิรูป เมื่อแผนและแนวทางปฏิรูปเสร็จให้นำไปทำประชามติ รัฐบาลที่ตั้งขึ้นภายหลังเลือกตั้งจะอยู่ไม่เกิน 12 เดือนเพื่อสนับสนุนกระบวนการปฏิรูป จากนั้นยุบสภาเลือกตั้งใหม่หลังจากมีแผนและแนวทางปฏิรูปแล้ว ทั้งนี้ โดยสรุป คือพรรคเพื่อไทยไม่รับข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์
เผยพท.กังวลวิกฤตจากศาลรธน.
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ประชุมหารือกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยสถานภาพ นายกฯกรณีโยกย้ายนายถวิล ในวันที่ 7 พ.ค. โดยที่ประชุมกังวลว่าคำวินิจฉัยอาจส่งผลทางการเมืองได้ เมื่อบ้านเมืองเกิดวิกฤต ศาลรัฐธรรมนูญควรหาทางออกให้บ้านเมือง หวังว่าองค์กรอิสระโดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญจะมีแนวทางหาทางออกมากกว่าสร้างความขัดแย้ง ทั้งนี้ แกนนำและทีมกฎหมายพรรคจะติดตามสถานการณ์การอ่านคำวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทยตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป
นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงกกต.ยังไม่ส่งร่างพ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งเพิ่มเติมให้ครม.พิจารณาว่า ที่ประชุมกังวลเพราะกกต.ควรเร่งเสนอ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ให้ครม.ตามกำหนด เมื่อกกต.เลื่อนออกไป ประชาชนอาจไม่มีหลักประกันว่าจะได้เลือกตั้งในวันที่ 20 ก.ค. ดังนั้นอยากให้ กกต.เร่งส่งร่าง พ.ร.ฎ.ให้ครม.พิจารณาในวันที่ 7 พ.ค.นี้ เพื่อเป็นหลักประกันให้กับประชาชนด้วย
พท.ชี้'ศาลรธน.-วุฒิ-มาร์ค'รับกัน
รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการกิจการพรรคที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นประธานนั้น ที่ประชุมวิเคราะห์กรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยสถานภาพนายกฯ โดยเห็นตรงกันว่าศาลน่าจะวินิจฉัยในทางลบ โดยให้น.ส. ยิ่งลักษณ์พ้นจากนายกฯ เพียงคนเดียว ไม่อย่างนั้นศาลคงไม่รับเรื่องไว้ตั้งแต่แรก แต่ศาลไม่สามารถวินิจฉัยให้นายกฯ และครม.สิ้นสภาพไปพร้อมกันได้ เนื่องจากคำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา อ้างอิงรัฐธรรม นูญมาตรา 182 (7) ถือเป็นคำร้องเอาผิดเฉพาะตัวบุคคล ทั้งนี้ หากศาลวินิจฉัยให้นายกฯ และครม.พ้นสภาพทั้งหมดเพื่อหวังนำไปสู่นายกฯ มาตรา 7 จริงก็คงอยู่บริหารงานไม่ได้นาน เพราะประชาชนจะออกมาต่อสู้เคียงข้างกับพรรคเพื่อไทยแบบมืดฟ้ามัวดิน ถึงตอนนั้นศาลจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อดูจากสถานการณ์ขณะนี้ตั้งแต่ศาลเร่งอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 พ.ค. สอดคล้องกับที่กกต.ยังไม่ส่งพ.ร.ฎ. กำหนดวันเลือกตั้งมาให้ครม.พิจารณา ขณะที่วุฒิสภาเร่งสรรหาประธานวุฒิสภาคนใหม่ในวันที่ 9 พ.ค. ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ที่เสนอให้มีนายกฯ และครม.คนนอก โดยให้ประธานวุฒิสภาพิจารณา ทั้ง หมดเป็นทฤษฎีสมคบคิดเพื่อล้มรัฐบาล ทั้งนี้ ที่ประชุมเชื่อว่าจะไม่มีปาฏิหาริย์ให้กับพรรคเพื่อไทย เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่รัฐบาลนายสมัครต่อเนื่องถึงรัฐบาลนายสมชาย ศาลก็ไม่เคยให้ความเมตตากับคนพรรคนี้เลย แต่พรรคจะยืนหยัดต่อสู้บนหลักการประชาธิปไตยต่อไป
ครม.เซ็งรอเก้อ-ร่างพ.ร.ฎ.จากกกต.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังประชุม ครม.ตามวาระปกติเสร็จ น.ส.ยิ่งลักษณ์มอบให้นาย นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิบัติหน้าที่รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ เป็นประธานการ ประชุมครม.นัดพิเศษ ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมในช่วงเย็น เพื่อพิจารณาเรื่องที่กกต.จะส่งร่างพ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้ง ให้นายกฯนำขึ้นทูลเกล้าฯต่อไปตามขั้นตอน โดยมีรัฐมนตรีมารอประชุม อาทิ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ปฏิบัติหน้าที่รองนายกฯ นายสนธยา คุณปลื้ม ปฏิบัติหน้าที่รมว.วัฒนธรรม แต่ปรากฏว่าเวลา 17.30 น. กกต.ส่งเพียงหนังสือเชิญรัฐบาลหารือเรื่องจัดการเลือกตั้งอีกครั้ง ไม่ใช่เอกสารร่างพ.ร.ฎ. จึงไม่มีการประชุม จากนั้นรัฐมนตรีต่างทยอยเดินทางกลับ
นายพงศ์เทพ เปิดเผยว่า กกต.ยังไม่ได้ส่งร่างพ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งมาถึงรัฐบาล โดยส่งหนังสือมาถึงนายกฯ ขอพูดคุยอีกครั้ง โดยรายละเอียดคือให้รัฐบาลเติมบทบัญญัติในร่างพ.ร.ฎ. เกี่ยวกับบทบัญญัติบางมาตราให้อำนาจกกต.ในบางเรื่อง หากเกิดปัญหาขึ้นมาสามารถเสนอวันเลือกตั้งใหม่ได้อีกครั้ง แต่ข้อเสนอดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยแจ้งต่อกกต.แล้วว่าอำนาจของกกต.ในการ ออกพ.ร.ฎ. สามารถกำหนดได้เฉพาะวันเลือกตั้งเท่านั้น เพราะต้องทำตามรัฐธรรมนูญ จะเขียนเกินกว่านั้นไม่ได้ ส่วนการตอบกลับกกต.ขึ้นอยู่กับนายกฯพิจารณา โดยกกต.ระบุว่านายกฯยังมีเวลาพิจารณาเรื่องนี้และกรอบเวลาเลือกตั้งยังเป็นวันที่ 20 ก.ค.
ป.ป.ช.นัดชี้ชะตา'นายกฯปู' 8 พ.ค.
เมื่อถามว่า ดูเหมือนกกต.พยายามเตะถ่วงไม่ให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น นายพงศ์เทพ กล่าวว่า อย่าเพิ่งพูดอย่างนั้น กกต.มีหน้าที่จัดเลือกตั้ง ต่อข้อถามว่าหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีแล้วทำให้ครม.เกิดอุบัติเหตุการเมืองจะเกิดปัญหาอย่างไร นายพงศ์เทพกล่าวว่า อย่าคาดการณ์ล่วงหน้า ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่วินิจฉัย และนายกฯมั่นใจในการต่อสู้คดี แต่ยังไม่ทราบว่านายกฯจะไปฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเองหรือไม่ โดยหลักไม่จำเป็นต้องไปเอง
เมื่อถามว่าห่วงหรือไม่ว่าจะไม่มีเลือกตั้งและมีรัฐบาลคนกลางเข้ามาทำหน้าที่ นาย พงศ์เทพกล่าวว่า ประชาชนรอคอยการเลือกตั้งเพื่อให้กระบวนการประชาธิปไตยเดินหน้า และไม่ว่าการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร รัฐบาลที่ได้มาถือเป็นสิ่งที่ประชาชนห็นชอบ แต่รัฐบาลที่ไม่ได้มาตามกระบวนการประชาธิปไตยหรือการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ประชาชนไม่เห็นชอบเพราะไม่มีส่วนร่วมเลือกรัฐบาล
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.วันเดียวกันนี้ คณะทำงานชุดไต่สวนกรณีถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์กรณีจำนำข้าว ได้สรุปรายงานผลการไต่สวนให้ที่ประชุมป.ป.ช. ในฐานะองค์คณะไต่สวนคดีดังกล่าวทราบ ซึ่งองค์คณะเห็นว่าสำนวนการไต่สวนสมบูรณ์แล้วทั้งข้อเท็จจริง คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ตลอดจนคำชี้แจงของพยานทั้ง 4 ปาก และเตรียมนำเข้าเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ในวันที่ 8 พ.ค. เพื่อพิจารณาลงมติชี้มูลต่อไป
ศอ.รส.ออกแถลงบี้ศาลรธน.อีก
ที่บช.ปส. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เลขานุการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย อ่านแถลงการณ์ศอ.รส.ฉบับที่ 3 เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และกลุ่มผู้สนับสนุนกับนายอภิสิทธิ์เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย มีใจความว่า ศอ.รส.มีข้อห่วงใยและวิตกกังวลต่อการวินิจฉัยขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่ทำให้เกิดสุญญากาศการเมือง ทำให้การแก้ปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยไม่บรรลุผล ดังนี้
1.การใช้อำนาจวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ยังคงใช้วิธีตามข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550 ซึ่งศาลเป็นผู้กำหนดขึ้นเอง ทั้งที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และต้องตรา พ.ร.บ.ให้เสร็จภายใน 1 ปีนับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 216 ประกอบกับมาตรา 300 แต่ผ่านมาเกือบ 7 ปีแล้ว ศาลก็ไม่ดำเนินการ ทั้งนี้ เมื่อวิธีพิจารณาของศาลไม่ได้กำหนดไว้ในรูปกฎหมาย ทำให้เกิดความสับสนต่อการทำหน้าที่ว่าเป็นไปตามหลักนิติธรรม และถูกต้องตามหลักยุติธรรมหรือไม่ อีกทั้งการไม่มี พ.ร.บ.ดังกล่าว อาจส่งผลให้การวินิจฉัยคดีไม่มีมาตรฐาน เพราะไม่มีกรอบการใช้อำนาจ อีกทั้งการพิจารณาคดีโดยไม่มีกฎหมายรองรับ ทำให้คำวินิจฉัยที่ผ่านมามีปัญหาความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมเสียเอง
ติงระวังคำวินิจฉัยขาดมาตรฐาน
2.คำวินิจฉัยของศาลที่สำคัญในหลายคดีมักถูกวิจารณ์อย่างมากว่ามีปัญหาเรื่องความยุติธรรม หลายคดีวินิจฉัยก้าวล่วงการใช้อำนาจอธิปไตยขององค์กรอื่นโดยไม่มีอำนาจ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ ไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรมในหลายๆ คดี
3.กรณีศาลอาจจะวินิจฉัยคำร้องขอให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ สิ้นสุดลงตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบกับมาตรา 266 และมาตรา 268 โดยเห็นว่ากระทำการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิลนั้น จากการตรวจสอบพบว่า ศาลเคยมีคำวินิจฉัยคำร้องขอให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัครสิ้นสุดลง โดยให้สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ทำให้รัฐมนตรีที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อจนกว่า ครม.ที่ตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ถือเป็นการวางบรรทัดฐานไว้ ดังนั้น เมื่อคำร้องทั้ง 2 กรณีมีลักษณะเดียวกัน หากศาลวินิจฉัยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ฝ่าฝืนมาตรา 266 และ 268 แล้วผลคำวินิจฉัยควรเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ หรือหากผลคำวินิจฉัยแตกต่างกัน จะเกิดข้อวิจารณ์ว่าขาดมาตรฐานและความน่าเชื่อถืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
4.ศอ.รส.ทราบข้อมูลด้านการข่าวว่ามีความพยายามของกลุ่มบุคคลที่จะทำให้เกิดสุญญากาศการเมือง เรียกร้องให้การวินิจฉัยของศาลในคดีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้เกินเลยจากที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ถึงขั้นยกเว้นการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เช่น มาตรา 181 ซึ่งพบว่าการยกเว้นการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรานั้น เคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในปี 2476 กระทำด้วยการตราเป็นพ.ร.ฎ.ให้เปิดประชุมสภาและตั้งครม.ชุดใหม่ ดังนั้น การที่ศาลจะวินิจฉัยเกินเลยถึงการยกเว้นการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราจึงไม่ถูกต้อง และไม่สามารถทำได้
ห่วง 2 ม็อบใหญ่เผชิญหน้า-ปะทะกัน
5.การที่มีนักวิชาการระบุให้ศาลรัฐธรรม นูญมีอำนาจเหนือฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติ บัญญัตินั้น ไม่ถูกต้อง เพราะจะไม่มีองค์กรใดตรวจสอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลได้ เป็นการปูทางสู่คำวินิจฉัยที่จะสร้างสุญญากาศการเมืองตามที่กลุ่ม กปปส. และบางกลุ่มต้องการเพื่อนำไปสู่การทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานนายกฯ และครม.ชุดใหม่ โดยอ้างมาตรา 3 และมาตรา 7 ขณะที่กลุ่ม นปช.และบางกลุ่มจะไม่ยอมรับการวินิจฉัยของศาลที่เกินจากรัฐธรรมนูญเช่นนี้ ซึ่งขณะนี้ปรากฏข้อมูลและข้อเท็จจริงของการเผชิญหน้า และการท้าทายที่จะจัดการชุมนุมใหญ่ทั้ง 2 ฝ่าย และนำไปสู่การปะทะและก่อเหตุร้ายต่อกันแล้ว
6.การที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทำข้อเสนออ้างว่าเป็นทางออกประเทศ พร้อมอวดอ้างว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุดกับสถานการณ์ขณะนี้ แต่กลับเสนอวิธีดำเนินการโดยไม่มีกฎหมายรองรับ เป็นข้อเสนอที่ฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการเรียกร้องให้นายกฯและครม.ลาออก ทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 181 กำหนดให้ นายกฯ และครม.ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่ แต่นายอภิสิทธิ์ เสนอให้ลาออกเพื่อให้เกิดสุญญากาศ โดยเลี่ยงใช้คำว่าถอยออกจากอำนาจแล้วให้วุฒิสภาสรรหา นายกฯและ ครม.และทูลเกล้าฯ แต่งตั้ง อ้างว่านายกฯและครม.จะอยู่ในตำแหน่งเพียงชั่วคราว ซึ่งข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ ไม่มีกฎหมายใดให้ทำได้เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญ นายกฯต้องมาจากส.ส.และเสนอแต่งตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น
วอนตรงไปตรงมา-ยึดจริยธรรม
"ข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ แท้จริงแล้วเพื่อปูทางหรือสนับสนุนให้ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษางดใช้มาตรา 181 หรือพิพากษาให้ นายกฯและครม. พ้นไปโดยถือว่าเป็นกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 181 ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ย่อมรู้ดีว่าข้อเสนอดังกล่าว นายกฯ และครม.ปฏิบัติไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ และยังขัดต่อมาตรา 181 ด้วย ดังนั้น ความมุ่งหมายแท้จริงของนายอภิสิทธิ์ มีอย่างเดียวคือโน้มน้าวชักจูงให้ประชาชนหลงเชื่อโดยเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาพิพากษาให้เกิดสุญญากาศนั้นเป็นความเหมาะสมที่พึงกระทำได้ แท้จริงคือหนึ่งในกระบวนการทำให้เกิดสุญญากาศการเมืองแล้วแต่งตั้ง นายกฯ และครม.คนนอกที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ที่สำคัญเป็นการกระทำฝ่าฝืนหรือนอกรัฐธรรมนูญ" นายธาริตกล่าว
นายธาริต กล่าวต่อว่า ศอ.รส.จึงขอเรียกร้องศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาและวินิจฉัยคดีอย่างตรงไปตรงมาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ยึดถือจริยธรรมและคำถวายสัตย์ปฏิญาณที่ไห้ไว้ก่อนเข้ารับหน้าที่ และขอให้กลุ่มบุคคลได้แก่นักวิชาการต่างๆ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ ที่สนับสนุนแนวทางทำให้เกิดสุญญากาศการเมือง ยุติบทบาทที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน ศอ.รส.ขอยืนยันว่ามิได้มีเจตนาก้าวล่วง หรือกดดันการวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ขณะนี้มีกลุ่มมวลชนทั้งสองฝ่ายรอผลพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ หากคำพิพากษาไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ความไม่พอใจจะขยายตัวในวงกว้าง เกิดการใช้กำลังเข้าปะทะกัน
นายธาริต กล่าวว่า แถลงการณ์ของศอ.รส. ครั้งนี้จึงเป็นการป้องกัน ระงับ ยับยั้งและแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นตามภารกิจและอำนาจหน้าที่
กกต.แถลงยื้อส่งร่างพ.ร.ฎ.เลือกตั้ง
เวลา 17.00 น. ที่สำนักงานกกต. นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการกกต. แถลงผลการประชุม กกต.ว่า สืบเนื่องจากวันที่ 30 เม.ย. กกต.หารือร่วมกับนายกฯ ที่กองทัพอากาศ ถึงการกำหนดวันเลือกตั้ง จากนั้นกกต.ประสานสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อยกร่างพ.ร.ฎ.แก้ไข เพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งส.ส.เป็นการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. ... แต่ทั้ง 2 หน่วยงานยังมีความเห็นแตกต่างกัน โดยกกต.ยืนยันเรื่องการแก้ปัญหาการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. แต่กฤษฎีกายังมีความเห็นแย้ง วันนี้กกต.จึงส่งหนังสือความเห็นถึงครม. ลงนามโดยกกต.ทั้ง 5 คน เกี่ยวกับพ.ร.ฎ.แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งฯ ส่งถึงนายกฯ พร้อมแนบเอกสารอีก 2 ฉบับ ประกอบด้วยหนังสือคณะกรรมการกฤษฎีกา ลงวันที่ 1 พ.ค. 2557 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 2/2557 ลงวันที่ 24 ม.ค.2557
นายภุชงค์ กล่าวว่า หนังสือของกกต.ระบุว่า ตามที่กกต.ส่งร่างพ.ร.ฎ.แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งฯ เสนอว่ากรณีมีเหตุจำเป็นหรือจะเกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติ ให้นายกฯปรึกษากกต.เพื่อให้ประธานกกต.ประกาศเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปได้ แต่กฤษฎีกาเห็นว่าจะมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้น กกต.จึงมีมติเอกฉันท์เสนอความเห็นต่อนายกฯ ดังนี้
ขอเพิ่ม-กกต.เลื่อนวันเลือกตั้งได้
1.พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป ตามแบบแผนแม้ไม่เคยมีเนื้อความกำหนดแนวทางแก้ปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น แต่กกต.เห็นว่าการตราพ.ร.ฎ.ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ทำได้ ยกตัวอย่าง พ.ร.ฎ.แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งส.ส. พ.ศ.2549 ที่กำหนดวันบังคับใช้ไว้หลังวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา 1 เดือน ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน แต่จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อให้มีเวลาเตรียมการหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าวันเลือกตั้งต้องเกิดขึ้นภายใน 60 วัน นับแต่วันที่พ.ร.ฎ.ใช้บังคับ แต่ 60 วันดังกล่าวไม่อาจเตรียมการเลือกตั้งได้ทัน
2.การชุมนุมคัดค้านการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. ทำให้กกต.เสนอนายกฯ เลื่อนวันเลือกตั้งออกไปก่อน แต่นายกฯและรัฐมนตรีหลายคนเห็นว่าไม่สามารถเลื่อนได้ เพราะไม่มีอำนาจตามกฎหมายและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญรองรับ แต่เมื่อกกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด โดยศาลวินิจฉัยว่าหากมีเหตุนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงแก่ประเทศชาติ หรือประชาชนเนื่องจากการจัดการเลือกตั้งทั่วไป กกต.ก็ชอบที่จะแจ้งให้นายกฯหรือครม.ทราบ เพื่อพิจารณาตราพ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งขึ้นใหม่
3.จากเหตุผลข้างต้น กกต.จึงเห็นว่าการกำหนดให้มีบทบัญญัติดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาทางกฎหมายที่เคยเกิดขึ้นแล้วเป็นหลัก มิได้คำนึงถึงเพียงแบบแผนและแนวทางการตรากฎหมายตามปกติ เพราะกกต.ต้องเป็นผู้รับผิดชอบจัดการเลือกตั้งทั้งหมดหลังพ.ร.ฎ.ประกาศ ใช้ จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติเป็นเครื่องมือจัดการเลือกตั้งไม่ให้เสียเปล่าอีกครั้ง และบทบัญญัติดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นใจให้แก่ครม.และกกต.ได้ว่าการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ จะชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และดำเนินการต่อไปได้แน่นอน
จี้คุยใน 5 วัน-จะได้ไม่กระทบ 20 ก.ค.
นายภุชงค์ กล่าวว่า กกต.เสนอให้มีบทบัญญัติร่างพ.ร.ฎ.แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งฯ ดังนี้ "มาตรา.. กรณีที่มีเหตุนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงแก่ประเทศชาติหรือประชาชนหรือมีเหตุจลาจล หรือเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอย่างอื่นเนื่องจากการจัดการเลือกตั้งทั่วไปตามที่กำหนดไว้ในพ.ร.ฎ.นี้ ให้กกต.แจ้งให้นายกฯทราบ เพื่อพิจารณาตราพ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่" ทั้งนี้ กกต.เห็นว่าเวลาที่เหลืออยู่จนถึงวันที่ 22 พ.ค. ซึ่งกำหนดให้พ.ร.ฎ.มีผลใช้บังคับ ยังมีเวลาเพียงพอจะพิจารณาประเด็นดังกล่าวให้ละเอียดรอบคอบ กกต.จึงขอเชิญนายกฯและคณะ มาประชุมร่วมกับกกต.ตามวันเวลาสถานที่ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นสมควรร่วมกัน
"หากทั้ง 2 ฝ่ายกำหนดวันพูดคุยกันโดยเร็ว ภายใน 3-5 วันจะไม่กระทบจนต้องขยับวันเลือกตั้งวันที่ 20 ก.ค.นี้ ยืนยันว่าการทำหนังสือถึงนายกฯเพื่อเชิญมาหารืออีกครั้ง โดยที่ยังไม่ส่งร่างพ.ร.ฎ.นั้น ไม่เกี่ยวกับกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีของนายกฯในวันที่ 7 พ.ค.หรือข้อเสนอที่นายอภิสิทธิ์ ส่งมาให้กกต." นายภุชงค์ กล่าว
เมื่อถามว่าหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกฯและครม.สิ้นสภาพ ใครจะเป็นผู้ส่งเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ เลขาธิการกกต.กล่าวว่า ไม่ขอออกความเห็น
ย้ายสับ'ภราดร-ธงทอง-กิตติพงษ์'
เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม นายชัยเกษม นิติสิริ ปฏิบัติหน้าที่รมว.ยุติธรรม แถลงกรณีครม.มีมติโยกย้ายสับเปลี่ยนข้าราชการระดับ 11 จำนวน 3 คน โดยให้นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ และให้นาย ธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกฯ ไปเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม และให้พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ที่ปรึกษานายกฯ ไปดำรงตำแหน่งปลัดสำนักนายกฯ
นายชัยเกษม กล่าวว่า สาเหตุที่ย้ายนายกิตติพงษ์ เพราะดำรงตำแหน่งครบ 4 ปีและต่ออายุราชการ 2 ครั้งๆ ละ 1 ปี รวม 6 ปี ซึ่งตามระเบียบไม่สามารถดำรงต่อไปได้แล้วจึงต้องโยกย้าย โดยนายกิติพงษ์ ทำหนังสือแสดงความประสงค์เป็นลายลักษณ์อักษรมาถึงตนว่าต้องการไปดำรงตำแหน่งอื่นในลักษณะงานบริหารหรือตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ตนจึงสอบถามสำนักนายกฯว่ามีตำแหน่งว่างหรือไม่ และได้รับการตอบรับว่ามี จึงเสนอครม.ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ ซึ่งมีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากับปลัดกระทรวง ไม่มีอะไรด้อย
รมว.ยุติธรรมกล่าวว่า เมื่อตำแหน่งปลัดว่างจึงโยกนายธงทอง มาแทน ถือว่าเหมาะสมเพราะเคยดำรงตำแหน่งในกระทรวงยุติธรรมมาก่อนและเป็นนักกฎหมายที่มีความรู้ความสามารถ และให้พล.ท.ภราดรไปเป็นปลัดสำนักนายกฯแทนนายธงทอง ซึ่งการย้ายนายกิตติพงษ์ เป็นความสมัครใจ ตนเกรงว่าจะเข้าใจและคาดเดาว่าย้ายอย่างไม่เป็นธรรม ขอย้ำว่าย้ายไปดำรงตำแหน่งบริหารระดับสูงที่เท่ากัน
ให้การ - น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกฯและ รมว.กลาโหม ให้ปากคำตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในการไต่สวนคำร้องให้วินิจฉัยสถานภาพนายกฯ กรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาฯสมช.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่่อวันที่ 6 พฤษภาคม มติชนออนไลน์ : |
ศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตา'ปู'ปมเด้ง'ถวิล'พ้น สมช.วันนี้ นายกฯแจงย้ายยึดกฎหมาย ประโยชน์บริหารราชการแผ่นดิน ยกปมตั้งลูกชาย"สายหยุด เกิดผล"เทียบ ปปช.นัดฟันคดีข้าว 8 พ.ค. รปภ.ปูเคลียร์พื้นที่ศาลรธน. ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ตำรวจกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ เข้าดูแลความปลอดภัยและตรวจสอบวัตถุต้องสงสัย บริเวณสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เวลา 07.00 น. วันที่ 6 พฤษภาคม รวมถึงชุดรักษาความปลอดภัย (รปภ.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงกลาโหมได้เดินทางมาตรวจสอบพื้นที่ล่วงหน้า เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางมาให้ถ้อยคำในฐานะผู้ถูกร้องในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 ว่า ความเป็นรัฐมนตรี (ครม.) ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบมาตรา 268 หรือไม่ กรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภา ความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานอีก 3 ปาก ได้แก่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ในฐานะผู้ร้อง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และนายถวิล ปูพร้อมคณะเข้าแจงศาล เวลา 10.10 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางถึงศาลรัฐธรรมนูญด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมด้วยรัฐมนตรี อาทิ นายวราเทพ รัตนากร ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นางปวีณา หงสกุล ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายพิชิต ชื่นบาน ทีมกฎหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อเข้าให้ถ้อยคำเพิ่มเติมกับศาลรัฐธรรมนูญ มี นายสมฤทธิ์ ไชยวงศ์ โฆษกศาลรัฐธรรมนูญให้การต้อนรับ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางมาศาลรัฐธรรมนูญได้เดินทางเข้าซักซ้อมการชี้แจงพร้อมทั้งหารือนายพิชิต และทีมกฎหมาย ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานีก่อนแล้ว กำหนด 3 ปมฟัน'ปู-ครม.' เวลา 10.30 น.องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน นำโดยนายจรูญ อินทจาร ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดี จากนั้น นายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า การไต่สวนองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกำหนดประเด็นพิจารณาไว้ 3 ประเด็น ประกอบด้วย 1.พิจารณาว่าเมื่อยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ปัญหาที่ต้องพิจารณานายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 วรรคหนึ่ง (2) ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ 2.การกระทำของนายกรัฐมนตรีเป็นการกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (2) (3) เป็นการทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคหนึ่งหรือไม่ และ 3.เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) จะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของ ครม.ทั้งคณะ ต้องสิ้นสุดลงด้วยหรือไม่ 'ไพบูลย์'ร่ายยาวแจงศาล นายไพบูลย์ เบิกความเป็นคนแรกระบุว่า กรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 เกิดจากการย้ายนายถวิลจากตำแหน่งเลขาธิการ สมช.ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ กรณีนี้ศาลปกครองสูงสุด ได้วินิจฉัยคดีระหว่างนายถวิล กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้ถูกร้อง ซึ่งคำพิพากษามีผลผูกพันผู้ถูกร้องตามนัยยะ มาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 โดยคำพิพากษามีความชัดเจนอยู่ 3 ประเด็น คือ 1.ศาลปกครองเห็นว่า นายกรัฐมนตรีกระทำการให้ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่างลงเพื่อแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.แทน "ซึ่งปรากฏอยู่ในคำพิพากษาของศาลปกครอง หน้า 23 ว่า จึงเชื่อได้ว่าปัจจัยอันเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง สมช.ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ คือความประสงค์ให้ตำแหน่ง ผบ.ตร.ที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ดำรงอยู่ขณะนั้นว่างลง เพื่อแต่งตั้งให้บุคคลอื่นดำรงตำแหน่งแทน" ซึ่งข้อความที่ปรากฏว่าเพื่อแต่งตั้งให้บุคคลอื่นดำรงตำแหน่งแทน ย่อมหมายถึง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เครือญาติของนายกรัฐมนตรี"นายไพบูลย์ระบุ ชงศาลวินิจฉัยตั้งนายกฯคนใหม่ นายไพบูลย์ ระบุต่อว่า มีประเด็นที่เกี่ยวเนื่องปรากฏว่า เมื่อ ครม.ทั้งคณะต้องคำสั่ง ประเพณีการแต่งตั้ง ครม.ชุดใหม่ ไม่ต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ ครม.ชุดเดิมพ้นจากตำแหน่ง มีตัวอย่างจากกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นตำแหน่ง จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ กระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 มีผลให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) จึงไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ "เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯสิ้นสุดลง เป็นเหตุให้ ครม.ทั้งคณะพ้นตำแหน่งด้วย เพราะรัฐมนตรีมีส่วนร่วมในการกระทำการอันต้องห้ามจึงต้องร่วมรับผิดตามหลักการรัฐธรรมนูญ มาตรา 171 ดังนั้น รัฐมนตรีที่เหลืออยู่ไม่ครบองค์ประกอบ จึงไม่อาจอยู่ในตำแหน่ง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ได้ตามรัฐธรรมนูญและมาตรา 10 วรรคท้าย แห่งระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2534 ได้ หากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างลง เพื่อเป็นประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัย ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศและภัยพิบัติสาธารณะ จึงขอศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าหากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างลงให้ดำเนินการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ทันที โดยนำบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องมาใช้โดยอนุโลม (อ่านรายละเอียด น.11) ทนายปูตอก'ไพบูลย์'ขึ้นเวทีกปปส. จากนั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เปิดโอกาสให้นายสมหมาย กู้ทรัพย์ ผู้รับมอบอำนาจจากนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินคดี ซักค้านนายไพบูลย์ โดยถามว่า พยานเคยเป็นที่ปรึกษาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ และปฏิบัติหน้าที่ถึงเมื่อใด ส่วนคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่พยานกล่าวอ้างนั้น เป็นความเห็นส่วนตัวโดยที่ยังไม่ได้เป็นการวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดหรือไม่ และพยานเคยขึ้นเวทีการชุมนุมของ กปปส.หรือไม่ และทุกครั้งพยานพูดบนเวทีปราศรัยในทำนองว่ารัฐบาลที่บริหารราชการในปัจจุบันพ้นจากหน้าที่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า เคยเป็นตั้งแต่ปี 2550 แต่จำไม่ได้ว่าทำหน้าที่ถึงเมื่อใด สิ่งที่ได้เสนอต่อศาลนั้นปรากฏอยู่ในคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ตนในฐานะวุฒิสภา มีหน้าที่ต้องดำเนินการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน อ้างขึ้นเวทีกปปส.ไม่ขัดรธน. นายสมหมาย จึงค้านว่า มีหน้าที่ตรวจสอบในสภาแต่เหตุใดจึงมาขึ้นเวที กปปส. ทั้งที่ทราบว่าเวทีนี้เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล โดยถ้อยคำปราศรัยต้องการสื่อสารให้รัฐบาลชุดนี้หลุดพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ นายไพบูลย์ชี้แจงว่า ขึ้นเวที กปปส.เป็นการปราศรัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต นายสมหมาย กล่าวว่า ทราบหรือไม่ว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง จะมาจากทางอื่นไม่ได้ นายไพบูลย์ตอบว่าทราบ โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 วรรคท้าย ระบุว่าให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 และ 173 ซึ่งความเห็นทางกฎหมาย ตนเห็นต่างจากผู้ที่สอบถาม ไพบูลย์ยันย้ายถวิลต่าง'สุรพล' นายสมหมาย ซักต่อว่า พยานทราบหรือไม่ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีได้แบ่งการบริหารไปให้ ครม.โดยด้านตำรวจมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รับผิดชอบ ขณะที่ด้านความมั่นคงได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รับผิดชอบ การมอบหมายทั้งหมดและการสรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งเพื่อให้เหมาะสมกับงานด้วยหรือไม่ การโยกย้ายนายถวิล มีลักษณะคล้ายกับ พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เหมือนกันหรือไม่ และทราบขั้นตอนการโยกย้าย พล.ต.อ.วิเชียร หรือไม่ ต้องมีกฎระเบียบอะไรหรือไม่ ส่วนที่บอกว่าการโยกย้าย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เนื่องจากเป็นเครือญาติกับทางนายกรัฐมนตรี คำว่าเครือญาติของพยาน ตามกฎหมายถือว่าเป็นเครือญาติหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า การโยกย้ายนายถวิลกับ พล.ท.สุรพล ไม่เหมือนกันโดยต่างกันด้วยเจตนาและอื่นๆ อีกหลายประการ ส่วนการย้าย ผบ.ตร.ทราบว่ามีขั้นตอนอย่างไร ต้องเกิดจากความสมัครใจ ความเห็นตนมองว่าความสมัครใจย่อมหมายถึงความเต็มใจ ไม่ได้โดนข่มขู่ คุกคาม แต่มองว่าน่าจะเกิดจากความไม่สมัครใจ ส่วนคำว่าเครือญาติ ตามนิตินัยและพฤตินัย คำว่าเครือญาติจะใช้กับคำว่าพฤตินัย ศาลจี้ซักความหมายเครือญาติ นายจรูญ ระบุว่า อยากให้พยานช่วยอธิบายความหมายของคำว่าเครือญาติ มีความเกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีอย่างไร นายไพบูลย์ตอบว่า ข้อเท็จจริงเป็นญาติผู้ใกล้ชิด ในระดับที่มากกว่า ความเป็นมิตรสหายคนรู้จักกันตามปกติ ทาง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นพี่ชายของพี่สะใภ้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แม้จะอ้างว่าพี่ชายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และน้องสาวของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้หย่าร้าง แต่ความเป็นเครือญาติยังคงอยู่ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซักถามว่า การโยกย้ายสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แตกต่างกันอย่างไร และใช้ระยะเวลากี่วัน ทราบหรือไม่ นายไพบูลย์ตอบว่า จำนวนวันจำไม่ได้ ส่วนความแตกต่างน่าจะมีกระบวนการเรื่องของขั้นตอน นายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถามว่า นายกรัฐมนตรีได้ประโยชน์อะไรจากการโยกย้ายนายถวิล เพื่อให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มาเป็น ผบ.ตร. นายไพบูลย์กล่าวว่า เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเครือญาติ เพราะว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ใกล้จะเกษียณอายุถ้าไม่รีบย้ายหรือเลื่อนตำแหน่งในเวลานั้นก็จะไม่ได้เลื่อนเพราะจะหมดอายุราชการ ดังนั้น จึงเร่งรัดที่จะดำเนินการ อีกทั้งเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นพี่ชายของนายกรัฐมนตรี ความเกี่ยวโยงเป็นที่ทราบว่ามีส่วนผลักดันนายกรัฐมนตรีในการดำเนินการต่างๆ ด้วย จรัญยกเอกสารโยกถวิลเทียบ นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซักถามว่า จากการตรวจเอกสารและคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดแล้วเห็นว่าไม่กระจ่างชัดเจนในบางประการ ถ้ามีความรู้ก็ตอบ ถ้าไม่ทราบก็ไม่ต้องตอบ กระบวนการโยกย้ายทำให้นายถวิล พ้นจากตำแหน่งเลขาฯ สมช.เริ่มต้นจากเอกสาร วันที่ 4 กันยายน 2554 แบบนี้ถูกต้องหรือไม่ และวันที่ 4 กันยายน ตรงกับวันอาทิตย์ ใช่หรือไม่ ขณะเดียวกัน ในเอกสารยังมีข้อคลาดเคลื่อนอยู่ 2 จุด โดยเห็นว่าหนังสือจากเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่แจ้งไปยัง น.ส.กฤษณา สีหรักษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี แจ้งไปพร้อมกัน ลงวันที่ 4 กันยายน 2554 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ มีหนังสือแจ้งไปเพื่อขอความเห็นชอบ "ซึ่งตามระเบียบการโยกย้ายต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้รับผิดชอบ หนังสือที่แจ้งถึง พล.ต.อ.โกวิท ได้ระบุด้วยว่า น.ส.กฤษณาได้ให้ความเห็นชอบแล้ว แต่ในเอกสารที่ระบุการให้ความเห็นชอบนั้น ระบุว่าให้ความเห็นชอบลงวันที่ 5 กันยายน ตรงกับวันจันทร์ พยานรู้เห็นเกี่ยวกับกระบวนการที่เอกสารคลาดเคลื่อนแบบนี้หรือไม่" นายจรัญถาม นายไพบูลย์ กล่าวว่า ดูจากห้วงเวลาทราบว่าจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติในวันที่ 6 กันยายน ซึ่งวันที่ 4 กันยายน ตรงกับวันอาทิตย์ เท่าที่เห็นเป็นการเร่งรัดแบบผิดสังเกต กระทำกันในวันอาทิตย์และมีการเร่งรัดเซ็นโดยอ้างว่ารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว แต่เป็นการเห็นชอบโดยวันถัดไป ถือว่าเป็นการเร่งรัดอย่างผิดปกติ ศาลยกความเห็นก.พ.ค.แย้ง นายจรัญ ซักถามว่า อีกจุดหนึ่งของความขัดแย้งของเอกสารราชการบันทึกข้อความของสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่เสนอขอความเห็นชอบจาก พล.ต.อ.โกวิท แนบท้ายคำร้องของพยานระบุว่า ลงวันที่ 4 กันยายน พยานได้เอกสารมาอย่างไร ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร นายไพบูลย์ตอบว่า ไม่มีเพราะอยู่ในสำนวนเอกสารของศาลปกครองสูงสุดกับศาลปกครองกลาง นายจรัญ จึงได้ขอให้นายไพบูลย์ดูเอกสารที่ศาลได้เรียกมาจากทางสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเป็นเอกสารจากหน่วยงานเดียวกัน เรื่องเดียวกัน แต่ลงวันที่ 5 กันยายน 2554 จึงอยากให้พยานได้ตรวจดูเอกสาร 2 ฉบับ เทียบกันว่าเป็นเอกสารคนละฉบับหรือฉบับเดียวกัน ทั้งๆ ที่เลขที่เดียวกันเนื้อหาเหมือนกันหมด แต่เหตุใดจึงลงวันที่ 5 กันยายน นายไพบูลย์ ตอบว่า เอกสารเลขเดียวกัน แต่ลงวันที่คนละวัน มองว่าคงต้องเป็นเอกสารที่ไม่ถูกต้อง มีประเด็นโต้แย้งกันว่าไปอนุมัติกันก่อน ส่วนตัวเพิ่งทราบว่ามีหนังสือ 2 ฉบับที่เนื้อหาเหมือนกันแต่ลงวันที่คนละฉบับ นายจรัญ ระบุอีกว่า จากการตรวจดูคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์คณะที่ 2 และคณะกรรมการระบบพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) เทียบกันดู ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ซึ่งมีคำวินิจฉัยตรงข้ามกับคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ มีคณะกรรมการ 6 คน แต่มีความเห็นแย้ง 3 คน เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น นายไพบูลย์กล่าวว่าไม่ทราบ 'นายกฯ'ปฏิเสธข้อกล่าวหา เวลา 11.28 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้ถูกร้องขึ้นเบิกความต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า ขอปฏิเสธข้อกล่าวหา เนื่องจากตั้งแต่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนและได้รับความเห็นชอบต่อรัฐสภาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อนโยบายที่แถลงไว้ต้องรัฐสภา รวมถึงความรับผิดชอบในทางการเมืองต่อรัฐสภาซึ่งการโยกย้ายนั้น ยึดหลักการพิจารณาตาม พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน 2551 ตามที่ ก.พ.ได้กำหนดและตาม พ.ร.บ.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินนั้น ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่จะกำกับสั่งการและรับผิดชอบถึงการพิจารณากำหนดบุคลากร เพราะการมอบอำนาจบุคคลเด็ดขาดนั้น ผู้รับมอบอำนาจต้องเข้าใจการกำหนดแผนงานและบุคลากรเพื่อดูการปฏิบัติงานที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา "ดิฉันมอบหมายให้ พล.ต.อ.โกวิท รองนายกรัฐมนตรีดูแลเรื่องความมั่นคงและ สมช.ด้วย ส่วน ร.ต.อ.เฉลิมขณะนั้น ได้มอบหมายให้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) รวมทั้งนางกฤษณา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้เป็นผู้ดูแลสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ดังนั้น จึงขอใช้โอกาสนี้ในการปฏิเสธพฤติกรรมต่างๆ ตามข้อกล่าวหา เพราะดิฉันได้มีการมอบอำนาจให้กับคณะรัฐมนตรีที่จะกำกับและสั่งการรับผิดชอบ และไม่ได้ใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อก้าวก่ายและแทรกแซงการบริหารแต่อย่างใด" น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว ขณะที่นายไพบูลย์ นายจรูญ อินทจาร และตุลาการคนอื่นๆ ร่วมซักถาม และนายกฯชี้แจง ถวิลแฉวิเชียรน้ำตาคลอเบ้า หลังนายกรัฐมนตรีชี้แจงเสร็จสิ้น นายถวิลขึ้นเบิกความว่า ปลายเดือนสิงหาคมกระทั่งวันเวลาที่ย้ายตนและมีข่าวปรากฏว่ามีการบีบบังคับเพื่อการจูงใจต่างๆ ที่จะให้ ผบ.ตร.ขณะนั้นย้าย ซึ่งการย้ายหรือโอนบุคคลที่เป็นตำรวจออกนอกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ้าไม่เป็นไปด้วยความยินยอมก็ไม่สามารถทำได้ ตนได้พบกับ พล.ต.อ.วิเชียร หลังจากนายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และทราบว่าถูกกดดันที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.วิเชียร ร้องต่อสื่อมวลชน และมีสื่อมวลชนบางฉบับบอกว่า พล.ต.อ.วิเชียรได้ให้สัมภาษณ์เสียงสั่นเครือ และมีน้ำตาคลอเบ้าว่าถูกบังคับ ต่อด้วยการซักถามของนายจรัญ ภักดีธนากุล นายเฉลิมพล เอกอุรุ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ และการชี้แจงของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ศาลรธน.นัดชี้เที่ยง7พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากการไต่สวนพยาน 4 ปากเสร็จสิ้น ในเวลา 13.45 น. นายจรูญสั่งพักการประชุม 10 นาที และในเวลา 14.05 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อีกครั้ง นายจรูญ อ่านกระบวนการวิธีพิจารณา โดยระบุว่ากรณีที่ผู้ถูกร้องขอให้สอบพยานเพิ่ม ได้แก่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายชาญชัย แสวงศักดิ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด นายนพดล เฮงเจริญ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายสมรรถชัย วิศาลาภรณ์ นายสมชัย วัฒนการุณ และนายประวิตร บุญเทียม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง ขอยื่นแถลงปิดคดีซึ่งศาลไม่อนุญาต เนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานครบถ้วนและกระบวนการไต่สวนเสร็จสิ้นแล้ว จึงขอนัดคำฟังวินิจฉัยในวันที่ 7 พฤษภาคม เวลา 12.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาไต่สวนคดีเกือบ 4 ชั่วโมง วีรพัฒน์ชี้'ปู'ไม่ขัดรธน. นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ เขียนลงเฟซบุ๊กโดยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับคดีย้ายนายถวิล สรุปได้ว่า 1.การที่มีผู้ร้องว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ย้ายตำแหน่งนายถวิล อันมีลักษณะกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญและต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวอยู่นั้น การกระทำดังกล่าวจะเกิดขึ้น ต้องครบเงื่อนไข 2 ข้อ คือ นายกรัฐมนตรีย้ายนายถวิลโดยไม่มีอำนาจ และนายกรัฐมนตรีย้ายนายถวิลเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนที่ขัดต่อส่วนรวม ให้กับตนเอง หรือผู้อื่น "แต่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า นายกรัฐมนตรีมีอำนาจ เพียงแต่ใช้อำนาจผิดพลาดในเชิงดุลพินิจ คือ ย้ายโดยไม่อธิบายเหตุผลชัดเจนเพียงพอ ศาลปกครองสูงสุดจึงให้การย้ายนั้นเป็นการใช้ดุลพินิจไม่ถูกต้อง และศาลปกครองสูงสุดไม่ได้พิพากษาว่ามีการกระทำที่ส่อทุจริตตักตวงหรือเอื้อประโยชน์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจากการย้ายตำแหน่งที่ว่านั้นแต่อย่างใด ดังนั้น การกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงไม่ครบองค์ประกอบกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ" นายวีรพัฒน์ระบุ ชี้ถ้าผิดก็แค่'ปู'ครม.ไม่เกี่ยว นายวีรพัฒน์กล่าวว่า 2.การยุบสภาเมื่อเดือนธันวาคม 2556 ส่งผลให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์และ ครม.พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ทำให้เกิดคำถามว่า ศาลจะยังสามารถวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์พ้นจากตำแหน่งซ้ำซ้อนได้อีกหรือไม่ ซึ่งยังถกเถียงกัน แต่ควรสังเกตว่า ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 181 ที่มีผลบังคับให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แท้จริงแล้วเป็นบทบัญญัติที่กล่าวถึง ครม.ทั้งคณะ ไม่ได้เจาะจงถึงรัฐมนตรีรายบุคคล "ดังนั้น จึงอาจพิจารณาได้ว่า หากผู้ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีรายหนึ่งรายใดกระทำการต้องห้ามขณะปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ศาลอาจตีความกฎหมายอย่างแยบยลและลึกซึ้งเพื่อวินิจฉัย ห้ามมิให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นรายบุคคล แต่บรรดารัฐมนตรีที่เหลือยังคงถูกบังคับให้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในนาม ครม.ต่อไป และอาจเลือกรัฐมนตรีรายหนึ่งปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งและได้ ครม.ใหม่มาแทน" นายวีรพัฒน์กล่าว เตือนระวังจุดชนวนนองเลือด นายวีรพัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับคดีนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี อาจมีส่วนที่นำมาอ้างได้ โดยศาลรัฐธรรมนูญในเวลานั้นวินิจฉัยว่า เมื่อนายสมัครพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะตัว ย่อมส่งผลให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะด้วย แต่ ครม.ที่เหลือย่อมต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปชั่วคราว จะยุติหน้าที่ทันทีพร้อมนายสมัครมิได้ ซึ่งคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในเวลานั้น ก็คือคณะตุลาการชุดเดียวกันกับเวลานี้ "เวลานี้ วิธีการเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการนองเลือด ศาลต้องไม่ใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ และต้องปล่อยให้การเมืองแก้ไขด้วยการเมือง หากสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญตัดสินขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยสั่งให้ ครม.ที่ปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวในปัจจุบันไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ อาจนำไปสู่สภาวะที่กติกาบ้านเมืองตกอยู่ในสภาพไร้ความหมาย อาจเกิดกรณีที่มีผู้เปรียบว่าเป็นการยกปัตตานี มาไว้ที่กรุงเทพฯ" นายวีรพัฒน์กล่าว สื่อนอกชี้หากปูหลุดเกิดวิกฤต สำนักข่าวเอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์ รวมทั้งเว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ เช่นบีบีซี ต่างรายงานข่าวการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้าให้ถ้อยคำเพิ่มเติมกับศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการโยกย้ายนายถวิล สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า หลังการเข้าให้ถ้อยคำเพิ่มเติมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งว่า ศาลจะตัดสินว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ในวันที่ 7 พฤษภาคม ซึ่งเอเอฟพีระบุว่า หากศาลตัดสินให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะยิ่งทำให้วิกฤตการเมืองของประเทศไทยย่ำแย่ลงไปอีก ท่ามกลางวิกฤตการเมืองของไทยที่มาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในขณะที่ผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังคงประท้วงอยู่ แม้ว่าจำนวนผู้ประท้วงจะลดน้อยลงก็ตาม ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลเองอย่างกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลุ่มคนเสื้อแดงก็ขู่ที่จะออกมาชุมนุมเพื่อปกป้องนายกรัฐมนตรี เอเอฟพีรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีบทบาทสำคัญทางการเมืองของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และถูกกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติ ไม่เป็นธรรมต่อครอบครัวชินวัตร อย่างในปี 2551 ศาลรัฐธรรมนูญทำให้นายกรัฐมนตรี 2 คนที่เกี่ยวพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีต้องออกจากตำแหน่ง และว่า เบื้องหลังของวิกฤตการเมืองในปัจจุบันที่ทำให้ประเทศไทยต้องแตกแยกมานานถึง 8 ปี เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกบีบให้พ้นจากตำแหน่งโดยการทำรัฐประหารของทหาร ขณะที่นอกเหนือจากคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังมีคดีจำนำข้าว ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะตัดสินในเร็วๆ นี้ด้วย ซึ่งกลุ่ม นปช.ประกาศแล้วว่าจะออกมาชุมนุมหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องพ้นจากตำแหน่ง พท.ตั้งวอร์รูมตามคำวินิจฉัยศาล ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก พท. แถลงหลังประชุม ส.ส. ว่าที่ประชุมมีความกังวล กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคำร้องของนายไพบูลย์ ในวันที่ 7 พฤษภาคม เพราะหากวินิจฉัยให้พ้นสมาชิกภาพอาจจะส่งผลกระทบทางการเมือง ในวันที่ 7 พฤษภาคม พรรคจะตั้งวอร์รูม เพื่อติดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่เวลา 10.00 น.เป็นต้นไป รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการกิจการ พท. ที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ เป็นประธานนั้น ที่ประชุมวิเคราะห์กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยสถานภาพนายกฯ โดยที่ประชุมเห็นตรงกันว่าศาลรัฐธรรมนูญน่าจะวินิจฉัยไปในทางลบ โดยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นจากตำแหน่งนายกฯเพียงคนเดียว เพราะไม่อย่างนั้นศาลรัฐธรรมนูญคงไม่รับเรื่องไว้ตั้งแต่แรก แต่ศาลไม่สามารถวินิจฉัยให้นายกฯและ ครม.สิ้นสภาพไปพร้อมกันได้ เนื่องจากคำร้องของนายไพบูลย์ ฐานะผู้ร้อง อ้างอิงรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7) ซึ่งถือเป็นคำร้องเอาผิดเฉพาะตัวบุคคล ทั้งนี้ หากศาลวินิจฉัยให้นายกฯ รวมทั้ง ครม.พ้นสภาพทั้งหมด เพื่อหวังนำไปสู่นายกฯ มาตรา 7 จริง คงอยู่บริหารงานไม่ได้นาน เพราะประชาชนจะออกมาต่อสู้เคียงข้างกับพรรคเพื่อไทยแบบมืดฟ้ามัวดิน ถึงตอนนั้นศาลรัฐธรรมนูญจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ครม.ถกเครียด-แก้เกม รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังเป็นที่แน่ชัดว่า กกต.ยังไม่ส่งร่าง พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งให้กับรัฐบาลตามที่ได้นัดหมายไว้ ในช่วงค่ำ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เรียกประชุม ครม.นัดพิเศษร่วมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและทีมกฎหมาย เพื่อหารือถึงการรับมือปัญหาการเมืองที่จะเกิดขึ้น รวมถึงหารือถึงการทูลเกล้าฯขอพระบรมราชวินิจฉัยตามแนวทางที่นายชัยเกษม นิติสิริ เสนอก่อนหน้านี้ และได้มีการยกร่างเบื้องต้น เตรียมการไว้ระดับหนึ่ง โดยบรรยากาศการประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด |
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด