นายกฯ ยันก้าวข้ามทักษิณ-ยิ่งลักษณ์แล้ว ขอให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม วอนอย่าดึงสู่ความขัดแย้ง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจากสถาบันพระปกเกล้า เรื่องความนิยมในตัวอดีตนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2545-2560 ซึ่งพบว่านายทักษิณ ชินวัตร ได้รับความนิยมจากประชาชนสูงสุดเมื่อปี 2546 ถึง 92.9% ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในลำดับถัดมาที่ 87.5% ในปี 2558 ว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องของคนที่ยังไม่ก้าวข้ามทักษิณ รวมถึงสื่อมวลชนที่ยังไม่ก้าวข้ามด้วยเพราะยังมีการนำเสนอข่าวอยู่ทุกวัน ในขณะที่ตนได้ก้าวข้ามไปแล้ว และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎหมายที่จะดำเนินการต่อไป พร้อมระบุว่า เหตุที่หลายคนยังก้าวไม่พ้น เพราะการสร้างความเข้าใจที่ยังติดกับเรื่องเดิม
"ก็เรื่องของคุณ คุณไปถามใคร ผมพ้นไปนานแล้ว พวกคุณหลายคน สื่อก็ไม่พ้น เสนอข่าวอยู่ทุกวัน เสนอไปซิ ก็ไม่พ้นสักที ผมลืมไปแล้ว เป็นเรื่องของกฏหมายไปว่ากันมา การก้าวไม่พ้นคือการสร้างการรับรู้ ทำให้ไม่พ้น เพราะฉะนั้นวิธีการคือลืมๆไป ให้กฏมายดำเนินการตามกระบวนการ คุณเข้าใจหรือไม่ ความผิดยังมีอยู่ ผมก็อธิบายต่างประเทศความผิดมีอยู่อย่างไร แต่จะผิดจะถูก ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม ถ้าหนีไปก่อนก็พิจารณาไม่ได้ คดีก็ติดค้างอยู่แบบนั้น ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้ต้องการไปไล่ล่าใครทั้งสิ้น มันมีความผิดเกิดขึ้นมาก่อน ก่อนผมเข้ามาทุกเรื่อง"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พร้อมระบุด้วยว่า เช่นเดียวกับกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะไม่ให้ความสำคัญเช่นกัน และขอสื่ออย่านำความขัดแย้งกลับมา ด้วยการนำเสนอความขัดแย้งของฝ่ายต่างๆ แล้วมากล่าวหารัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีเพียงฝ่ายเดียว
"ผมก้าวข้ามทุกคนที่เป็นความขัดแย้ง ผมไม่ได้ก้าวข้ามหัวเขาหรือดูถูกเขา ก้าวข้ามคือผมไม่นึกถึงเขา ผมไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ เพราะผมไม่ได้ทำแบบที่เขาพูด ตั้งคำถามที่เป็นประโยชน์หน่อย คุณไม่เคยถามผมเลยประชุม BRICS เขาว่าอย่างไร เขายอมรับประเทศหรือไม่ คุณไม่เคยถามเรื่องเหล่านี้ ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลย คุณนั่นแหละที่ไม่ก้าวข้าม ไม่ใช่ผม ผมก้าวข้ามตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาแล้ว" นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด
อินโฟเควสท์
รัฐบาลแจงข้อเท็จจริงกรณีชาวบ้านโคกสูง จ.สระแก้ว ร้องเรียนเจ้าหน้าที่รัฐตัดน้ำตัดไฟ หลังนายกฯ เดินทางกลับจากตรวจราชการ
รัฐบาลแจงข้อเท็จจริงกรณีชาวบ้านโคกสูง จ.สระแก้ว ร้องเรียนเจ้าหน้าที่รัฐตัดน้ำตัดไฟ หลังนายกฯ เดินทางกลับจากตรวจราชการ ย้ำเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมลงพื้นที่ชี้แจงข้อมูลวันนี้
วันนี้ (2 กันยายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่สื่อมวลชนบางสำนักนำเสนอข่าวชาวบ้าน ม.14 ต.หนองม่วง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่า ก่อนหน้าที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปมอบหนังสืออนุญาตให้สถาบันเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในเขตที่ของ ส.ป.ก. เมื่อวันที่ 28 ส.ค.60 นั้น ได้มีการสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน พร้อมกับติดตั้งระบบไฟฟ้าและน้ำประปา แต่หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับ เสาไฟฟ้าได้ถูกรื้อถอน และระบบประปาถูกตัดขาด ว่า
“เรื่องดังกล่าวอาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้ร้องเรียน ซึ่งไม่ถือว่าผิดหรือถูก แต่เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องชี้แจงอธิบายความให้เกิดความกระจ่าง โดยทางจังหวัดสระแก้วได้รายงานว่า ขณะนี้พื้นที่จัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. ม.14 ต.หนองม่วง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ยังไม่มีการขยายเขตไฟฟ้าและประปาเข้าไปในพื้นที่แต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีประชาชนหรือเกษตรกรตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในบริเวณนั้น
กรณีที่มีกระแสไฟฟ้าใช้ในวันที่นายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่นั้น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอรัญประเทศได้ปักเสาไฟฟ้าและพาดสายไฟฟ้าชั่วคราว พร้อมทั้งนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ไปติดตั้งสำหรับการใช้งาน ส่วนระบบน้ำที่นำมาใช้เป็นเพียงการต่อท่อลงในแปลงเกษตร เพื่อสาธิตให้เห็นถึงต้นแบบการดำรงชีวิตของเกษตรกรที่เหมาะสมว่าควรเป็นเช่นไร โดยนำน้ำมาจากถังน้ำที่รถบรรทุกขนส่งน้ำไปเติมไว้ก่อนแล้ว ร่วมกับการใช้กระแสไฟฟ้าจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสูบน้ำไปใช้ในพื้นที่ และเมื่อเสร็จภารกิจเจ้าหน้าที่จึงได้รื้อถอนระบบกลับคืน”
สำหรับ กรณีวัวประชารัฐขาดน้ำกินนั้น สำนักงานปศุสัตว์ จ.สระแก้ว ยืนยันว่า วัวประชารัฐทุกตัวได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทั้งในเรื่องอาหารและน้ำ
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ผวจ.สระแก้ว ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาอรัญประเทศ นายอำเภอโคกสูง นายก อบต.หนองม่วง กำนัน ต.หนองม่วง ไปพบชาวบ้าน เกษตรกร และผู้สื่อข่าวในพื้นที่ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจในรายละเอียดทั้งหมด ณ หอประชุมอำเภอโคกสูง พร้อมกับยืนยันว่าหากมีประชาชนปลูกที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวและมีเลขที่บ้านแล้ว ก็สามารถยื่นความจำนงขอติดตั้งระบบไฟฟ้าและประปาถาวรได้ตามระเบียบของทางราชการ
ท้ายที่สุดต่อเรื่องดังกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยทั้งการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และความรู้สึกของพี่น้องประชาชนจึงได้กำชับว่า ในโอกาสต่อไป ขอให้เจ้าหน้าที่เตรียมการเท่าที่จำเป็นและดำเนินการด้วยความระมัดระวัง หากมีการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือกระทบความรู้สึกของประชาชน ก็จะต้องชี้แจงทำความเข้าใจด้วยความรัดกุม ทั้งก่อนและหลังการปฏิบัติงาน เพราะการทำงานจริงมีการบูรณาการ ของหลายหน่วยงาน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเช่นเดียวกันนี้อีก
ศรีสุวรรณ ออกแถลงการณ์จี้นายกฯตั้งคณะกรรมการสอบและเอาผิดหน่วยงานทำงานผักชีโรยหน้า-ให้หยุดจัด ครม.สัญจร
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์ เรียกร้องมายังฯพณฯนายกรัฐมนตรี ได้โปรดสั่งการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบและเอาผิดลงโทษพนักงานเจ้าหน้าที่และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการไปสร้างกิจกรรม “ผักชีโรยหน้า" สร้างภาพหลอกลวงประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวเสียโดยเร็ว และขอเรียกร้องให้หยุดการจัดประชุม ครม.สัญจร ได้แล้วเพราะการลงพื้นที่ของ ครม.และหรือนายกรัฐมนตรีแต่ละครั้งจะต้องมีการใช้ทหารและตำรวจมาอารักษาถึง 2-3 พันคนต้องสูญเสียงบประมาณเบี้ยเลี้ยงและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เป็นภาษีของประชาชนจำนวนมากให้กับบุคลากรเหล่านี้ เพียงเพื่อมาสร้างภาพโฆษณาชวนเชื่อไปวันๆเท่านั้น ทั้งนี้รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องไปทำเสแสร้งอยากใกล้ชิดประชาชน
การออกแถลงการณ์ดังกล่าว สืบเนื่องจากมีชาวบ้านหมู่ 14 ต.หนองม่วง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ร้องเรียนว่าภายหลังพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมามอบหนังสืออนุญาตให้สถาบันเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเขตปฏิรูปที่ดิน หรือ สปก. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 60 ที่ผ่านมาโดยจัดสรรให้เกษตรผู้ยากไร้ รายละ 6 ไร่ แยกเป็นแปลงที่อยู่อาศัย 1 ไร่ แปลงเกษตรกรรม จำนวน 5 ไร่ รวม 65 ราย ซึ่งมีการสร้างถนนทางเข้าหมู่บ้าน ทำระบบประปา โดยสูบน้ำบาดาลมาใช้ได้ในขณะที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดน้ำจากวาล์วปิด-เปิดประปาให้น้ำไหลเข้าสู่แปลงเกษตรกรรม ส่วนไฟฟ้าได้ติดตั้งเสาไฟฟ้าตลอดข้างทางเข้าไปในหมู่บ้าน สามารถใช้กระแสไฟฟ้าได้ตามปกติ แต่หลังนายกรัฐมนตรีกลับไปแล้วเพียงข้ามคืน เสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้าถูกรื้อกลับหมด น้ำประปาถูกตัดขาด ชาวบ้านไม่มีน้ำรดต้นไม้และพืชผักที่ปลูกไว้ เริ่มเหี่ยวเฉา วัวโครงการโคบาลบูรพาที่เลี้ยงไม่มีน้ำให้กิน กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมว่าการมาเยือนของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้มีลักษณะพฤติกรรม “ผักชีโรยหน้า" ของระบบราชการไทยนั้น
กรณีดังกล่าวไม่ใช่เป็นกรณีแรกของสังคมไทย ที่เหล่าข้าราชการส่วนใหญ่จะใช้เป็นกลวิธีหลอกลวงสาธารณะเพื่อสร้างภาพให้ผู้บริหารประเทศหรือผู้บังคับบัญชาผิดหลงต่อความจริงว่านโยบายของตนสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้เกิดมรรคผลอันดีเลิศประเสริฐศรีแล้ว และสามารถเอาไปคุยโม้โอ้อวดหลอกประชาชนได้เต็มที่ แต่ในที่สุดความจริงก็คือความจริง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของระบบราชการไทยได้ชัดเจนที่สุดในยุคนี้ พ.ศ.นี้
นอกจากนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นการปกปิดข้อมูลข่าวสารสาธารณะอันเกี่ยวเนื่องจากการจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือได้ว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 59 ประกอบมาตรา 73 และเข้าข่ายความผิดอาญามาตรา 343 ประกอบมาตรา 341 และ 342(2) แห่งประมวลกฎหมายอาญาโดยชัดแจ้งที่ว่า “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน" ซึ่งมีโทษทางอาญาค่อนข้างสูงด้วย
รบ.เตรียมชี้แจงทำความเข้าใจหลังชาวบ้านที่สระแก้วร้องเรียนถูกตัดน้ำตัดไฟ หลังนายกฯเดินทางกลับจากตรวจราชการ
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีชาวบ้าน ม.14 ต.หนองม่วง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่า ก่อนหน้าที่พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปมอบหนังสืออนุญาตให้สถาบันเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในเขตที่ของ ส.ป.ก. เมื่อวันที่ 28 ส.ค.60 นั้น ได้มีการสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน พร้อมกับติดตั้งระบบไฟฟ้าและน้ำประปา แต่หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับ เสาไฟฟ้าได้ถูกรื้อถอน และระบบประปาถูกตัดขาด ว่า
“เรื่องดังกล่าวอาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้ร้องเรียน ซึ่งไม่ถือว่าผิดหรือถูก แต่เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องชี้แจงอธิบายความให้เกิดความกระจ่าง โดยทางจังหวัดสระแก้วได้รายงานว่า ขณะนี้พื้นที่จัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. ม.14 ต.หนองม่วง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ยังไม่มีการขยายเขตไฟฟ้าและประปาเข้าไปในพื้นที่แต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีประชาชนหรือเกษตรกรตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในบริเวณนั้น
กรณีที่มีกระแสไฟฟ้าใช้ในวันที่นายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่นั้น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอรัญประเทศได้ปักเสาไฟฟ้าและพาดสายไฟฟ้าชั่วคราว พร้อมทั้งนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ไปติดตั้งสำหรับการใช้งาน ส่วนระบบน้ำที่นำมาใช้เป็นเพียงการต่อท่อลงในแปลงเกษตร เพื่อสาธิตให้เห็นถึงต้นแบบการดำรงชีวิตของเกษตรกรที่เหมาะสมว่าควรเป็นเช่นไร โดยนำน้ำมาจากถังน้ำที่รถบรรทุกขนส่งน้ำไปเติมไว้ก่อนแล้ว ร่วมกับการใช้กระแสไฟฟ้าจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสูบน้ำไปใช้ในพื้นที่ และเมื่อเสร็จภารกิจเจ้าหน้าที่จึงได้รื้อถอนระบบกลับคืน"
สำหรับ กรณีวัวประชารัฐขาดน้ำกินนั้น สำนักงานปศุสัตว์ จ.สระแก้ว ยืนยันว่า วัวประชารัฐทุกตัวได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทั้งในเรื่องอาหารและน้ำ
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ผวจ.สระแก้ว ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาอรัญประเทศ นายอำเภอโคกสูง นายก อบต.หนองม่วง กำนัน ต.หนองม่วง ไปพบชาวบ้าน เกษตรกร และผู้สื่อข่าวในพื้นที่ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจในรายละเอียดทั้งหมด ณ หอประชุมอำเภอโคกสูง พร้อมกับยืนยันว่าหากมีประชาชนปลูกที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวและมีเลขที่บ้านแล้ว ก็สามารถยื่นความจำนงขอติดตั้งระบบไฟฟ้าและประปาถาวรได้ตามระเบียบของทางราชการ
"พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยทั้งการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และความรู้สึกของพี่น้องประชาชนจึงได้กำชับว่า ในโอกาสต่อไป ขอให้เจ้าหน้าที่เตรียมการเท่าที่จำเป็นและดำเนินการด้วยความระมัดระวัง หากมีการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือกระทบความรู้สึกของประชาชน ก็จะต้องชี้แจงทำความเข้าใจด้วยความรัดกุม ทั้งก่อนและหลังการปฏิบัติงาน เพราะการทำงานจริงมีการบูรณาการ ของหลายหน่วยงาน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเช่นเดียวกันนี้อีก"
อินโฟเควสท์
นายกฯ สั่ง คสช.-กองทัพเปิดตู้ ปณ.และสายด่วนให้ ปชช.แจ้งเบาะแสทุจริตเรียกรับผลประโยชน์
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติและกองทัพบก ซึ่งรวมไปถึงกองทัพภาคและหน่วยทหารของกองทัพบกในพื้นที่ เป็นช่องทางรับเรื่องร้องเรียนการทุจริตประพฤติมิชอบ เรียกรับสินบนหรือผลประโยชน์ทุกรูปแบบ ที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ด้วยการเปิดตู้ ปณ.และสายด่วนให้ประชาชนแจ้งข้อมูลเบาะแสต่าง ๆ โดยมอบหมายให้ผู้บัญชาการทหารบกและเลขาธิการ คสช. เป็นผู้รับผิดชอบ
“นายกฯ กำชับให้ คสช.และกองทัพเร่งดำเนินการ และแจ้งให้ประชาชนทราบ เนื่องจากการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะมีความเกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรงและเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น ปัญหาการค้ามนุษย์ การขาดความศรัทธาในหน่วยงานของรัฐ ประเทศชาติสูญเสียงบประมาณแผ่นดินมหาศาล และกระทบต่อความเชื่อถือของต่างประเทศ"พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
สำหรับ เรื่องร้องเรียนทั้งหมดจะถูกรวบรวมส่งไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด โดยนโยบายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่ฝังรากลึกในสังคมมายาวนาน เปลี่ยนประเทศไทยให้ใสสะอาด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน
อินโฟเควสท์
นายกฯ ประชุมคกก.พัฒนาที่ยั่งยืน เห็นชอบ Roadmap กำหนดแนวทางสอดคล้องแผนยุทธศาสตร์ชาติ-แผนปฏิรูปประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (กพย.) โดยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญและการขับเคลื่อนการทำงานให้เป็นไปตามเป้าหมายในการพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน และเป็นตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การปฏิรูประเทศ แผนแม่บท และตอบสนองเป้าประสงค์ของสหประชาชาติที่ในเวลาช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งไทยมีการพัฒนาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ด้วยการดำเนินการตามแนวทางศาสตร์พระราชาของรัชกาลที่ 9 ดังนั้น การขับเคลื่อนประเทศให้เกิดความยั่งยืนที่มีความหลากหลาย จึงเป็นเรื่องที่ต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้
พร้อมกันนี้ ที่ประชุม กพย.มีมติเห็นชอบกับ Roadmap การขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) 16 เป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วย แนวทางดำเนินงานในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวที่หน่วยงานเสนอมา และมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบและหน่วยงานสนับสนุนนำไปขับเคลื่อนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศต่อไปด้วย
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบกับแนวทางการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับพื้นที่ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ จัดพื้นที่เป้าหมายในการขับเคลื่อนให้ชัดเจน โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกมีความเหลื่อมล้ำมากและยังขาดความพร้อม กลุ่มที่สองมีศักยภาพ และกลุ่มที่สามที่มีความเข้มแข็งและขยายผลได้ ประเด็นสำคัญ คือต้องสร้างการรับรู้ หลักคิด เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีใหม่ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มีทั้งในระดับ Macro ซึ่งเป็นระดับชาติ ระดับภาคและกลุ่มจังหวัด และในระดับ Micro คือระดับจังหวัด ท้องถิ่น และชุมชน
ที่ประชุม ยังมีมติเห็นชอบกับแผนการดำเนินงานในระยะต่อไปของคณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 3 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน คณะอนุกรรมการส่งเสริมความเข้าใจและประเมินผลการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานต่อ กพย.ทุก 6 เดือน
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานตามมติ กพย. ครั้งที่ 1/2559 ที่รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการทั้ง 3 คณะ ทั้งแผนขับเคลื่อนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน พ.ศ. 2560– 2575 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรายงานการทบทวนผลการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 โดยสมัครใจ (Voluntary National Review: VNR) ของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นเอกสารประกอบการประชุม High Level Political Forum 2017 on Sustainable Development ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงวันที่ 18-20 ก.ค.60 ซึ่งไทยเป็นหนึ่งใน 44 ประเทศที่เข้าร่วมการรายงานผลการดำเนินงานวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยในปี 2560 สหประชาชาติจัดอันดับ SDG ให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 55 จาก 150 กว่าประเทศ ซึ่งดีขึ้นกว่าปี 2559 ที่อยู่ในอันดับที่ 61
อินโฟเควสท์
นายกฯ ยัน 4 คำถามเพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนไม่ได้คาดหวังคำตอบ/มท.1 เล็งเพิ่มช่องทาง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกระแสการตอบรับของประชาชนในการตอบคำถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรีว่า ไม่ได้คาดหวังจะให้มีการตอบคำถามเป็นเรื่องราว เพียงแต่ต้องการสร้างความรับรู้ให้กับประชาชนเท่านั้น
พร้อมย้ำว่าวันนี้ประเทศมีปัญหาเรื่องการสร้างความเข้าใจ ทำให้ขับเคลื่อนไปไม่ได้ และปัญหาอย่างหนึ่งคือการใช้โชเชียลมีเดียที่คนส่วนใหญ่นิยม แต่บางครั้งใช้โดยไม่มีหลักคิดที่ถูกต้อง และเมื่อมีบุคคลอื่นติดตามก็ทำให้เกิดปัญหา ซึ่งทุกคนต้องรู้ทั้งสิทธิของตนเองไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น
อนึ่ง ภาพรวมของการเปิดรับความเห็น 4 คำถามของนายกฯ เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย.) เป็นวันแรก ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีประชาชนทยอยเข้าแสดงความคิดเห็นเพียง 14 คน ขณะที่ในต่างจังหวัดบรรยากาศไม่ค่อยคึกคัก โดยขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดวันปิดรับความเห็น แต่ทางกระทรวงมหาดไทยจะมีการสรุปผล และรายงานทุก 10 วันทำการ โดยจะรายงานผลครั้งแรกในวันที่ 23 มิ.ย.นี้
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงภาพรวมการรับฟังความคิดเห็น 4 คำถามของนายกรัฐมนตรีว่า ยังไม่มีรายงานเรื่องปัญหาเข้ามา ภาพรวมยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่อาจจะต้องมีการเพิ่มช่องทางการตอบคำถาม เช่น การเปิดรับฟังความคิดเห็นในศูนย์การค้า ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมและเป็นไปได้ต่อไป เพราะมีความเกี่ยวโยงกับเรื่องงบประมาณด้วย แต่หากได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการใช้สถานที่คงทำได้
ส่วนช่องทางทางอิเล็กทรอนิกส์ พล.อ.อนุพงษ์ ยอมรับว่า น่าจะเป็นไปได้ แต่ต้องสามารถยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนได้ เพราะถ้ามีการสวมสิทธิจะทำให้ผลการรับฟังความคิดเห็นผิดเพี้ยนไปได้ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านทางจังหวัดต่างๆไปแล้ว แต่อยากให้สื่อมวลชนช่วยด้วย เพราะความตั้งใจของนายกฯคือการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
สำหรับ ผู้เขียนหนังสือไม่ได้นั้น เป็นรายละเอียดปลีกย่อย คงไม่ต้องมีการออกระเบียบใหม่ ซึ่งหากอยากแสดงความคิดเจ้าหน้าที่คงหาวิธี ได้ แต่ก็อาจมีข้อกังวลกรณีให้เจ้าหน้าที่เขียนแทนได้
นายกฯสั่งทุกหน่วยงานรัฐ-รัฐวิสาหกิจ เร่งใช้หนี้ค้างจ่ายสาธารณูปโภค พร้อมสั่งปรับแผนปีงบ 60 ให้สอดคล้องค่าใช้จ่าย
นายกฯ สั่งทุกหน่วยงานรัฐ-รัฐวิสาหกิจ เร่งใช้หนี้ค้างจ่ายสาธารณูปโภค พร้อมสั่งปรับแผนปีงบ 60 เพื่อบริหารเงินให้สอดคล้องค่าใช้จ่ายตามปีงบนั้นๆ ห้ามนำงบประมาณค่าสาธารณูปโภคที่ได้รับไปใช้จ่ายอย่างอื่นเด็ดขาด
พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ในวันนี้ว่า ครม.มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินค้างจ่ายสาธารณูปโภคที่หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจค้างชำระ เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น
โดยทางพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการให้ เพิ่มแนวทางในการแก้ไขกำหนดให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2560 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นๆ มาชำระหนี้ค่าธารณูปโภคค้างชำระได้
นอกจากนี้ ยังให้หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ นำเงินนอกงบประมาณ เช่น เงินรายได้หรือเงินที่ได้รับไว้เพื่อเป็นสวัสดิการหน่วยงาน มาชำระหนี้สาธารณูปโภคไม่น้อยกว่า 25% ของค่าสาธารณูปโภคปีนั้นๆ ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และตั้งแต่ปีงบประมาณ 2560 เป็นต้นไป ให้ทุกหน่วยงานชำระค่าสาธารณูปโภคให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนั้นๆ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2560 เป็นต้นไป ห้ามทุกหน่วยงานนำงบประมาณค่าสาธารณูปโภคที่ได้รับไปใช้จ่ายอย่างอื่นเด็ดขาด และหากงบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับการเบิกจ่ายสาธารณูปโภคไม่เพียงพอชำระ และมีงบประมาณเหลือจ่ายหรือมีงบประมาณในส่วนใดเพียงพอให้นำมาพิจารณาเพื่อโอนเปลี่ยนแปลงไปชำระค่าสาธารณูปโภคเป็นลำดับแรกก่อน
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยังรับทราบการร้องขอความเป็นธรรมจากศูนย์ดำรงธรรม ในกรณีที่พี่น้องประชาชนอยากให้รัฐบาลแก้หนี้นอกระบบ ซึ่งในที่ประชุม นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้รายงานว่า การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ดำเนินการแล้ว แต่ประชาชนบางพื้นที่ โดยเฉพาะต่างจังหวัดยังไม่ทราบ สะท้อนว่า การประชาสัมพันธ์ยังไม่ทั่วถึง โดยการแก้ไขปัญหาจะประกอบด้วยคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยและประนอมหนี้ และคณะอนุกรรมการฟื้นฟูในการหารายได้ของลูกหนี้
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด