วิษณุ คาดตามโรดแมพจะมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งปลายปี 61 หรือต้นปี 62
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี คาดจะมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2561 หรือต้นปี 2562 ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาระบุไว้ก่อนหน้านี้ โดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ต้องดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูกให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน คือ ในช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ และส่งไปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาในเดือนมกราคม 2561 โดยมีเวลาในการพิจารณา 60 วัน แต่หากมีการแก้ไขก็ต้องเพิ่มเวลาออกไปอีก 30 วัน เมื่อแล้วเสร็จก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป โดยมีระยะเวลา 90 วัน และเมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งแล้วก็สามารถจัดการเลือกตั้งได้ภายใน 150 วัน
"เมื่อจัดการเลือกตั้งเสร็จแล้วประกาศผลเลือกตั้งภายใน 60 วัน ก็ดูสิว่าประกาศได้หรือไม่ ถ้าอยู่บนสมมุติฐานว่าประกาศได้ก็ต้องประกาศ ถ้าประกาศไม่ได้ใบแดงเยอะ เปิดสภาฯไม่ได้ ผมไม่รู้เพราะอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เปิดสภาฯไม่ได้ ก็ต้องยืดเวลาออกไป แต่ถ้าเปิดสภาฯ เลือกนายกฯ ได้ สามวันจบ ม้วนเดียวเสร็จ มันก็เร็ว แต่ถ้าเลือกนายกฯ ยังไม่ได้ ต้องยืดยาว ก็ 20 วัน 30 วัน 40 วัน 50 วัน ผมก็ไม่รู้ว่าไงแล้ว เพราะสมมุติก็สมมุติเยอะแล้ว แต่เวลาพูดถึงโรดแมพ กรุณาพูดโรดแมพที่เป็นเหตุการณ์ว่าอะไรจะเกิด แต่ถ้าจะเอาวัน เดือน ปี เวลา วัน ว. เวลา น. มันตอบไม่ได้ เพราะตัวแปรมันเยอะ" นายวิษณุ กล่าว
หากมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายลูก นายวิษณุ กล่าวว่า การยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความเป็นตัวแปรที่ไม่ได้อยู่ในโรดแมพ เพราะหากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ เห็นว่ากฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องจะขัดกับรัฐธรรมนูญก็จะขอให้หยุดไว้ก่อนนำความกราบบังคมทูลฯ โดยยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญก็จะไปช้าอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ
"เช่น กฎหมายกรรมการสิทธิมนุษยชนที่ผ่านสภาฯ แล้วต้องการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยื่นไม่ได้จึงส่งเรื่องมาให้นายกฯ เป็นผู้ยื่น ถ้านายกฯ ส่งก็ต้องเลี้ยวไปหาศาลรัฐธรรมนูญ นานเท่าไหร่ผมไม่รู้ เพราะไม่มีกรอบเวลากำหนด แต่ถ้าไม่ส่งก็นำความกราบบังคมทูลฯ ไม่ได้" นายวิษณุ กล่าว
ส่วนกรณีหากมีการตั้งกรรมาธิการร่วมฯ พิจารณากฎหมายลูกระหว่างกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะทำให้โรดแมพต้องขยับออกไปด้วยหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า การจะตั้งกรรมาธิการร่วมหรือไม่นั้น ตนเองไม่ขอให้ความเห็น เพราะมันยังไม่เกิด ถ้าจะสมมุติอะไรขึ้นมามันสมมุติได้หลายอย่าง ทั้งความเห็นต่างแล้วตีตก ก็ต้องดูว่าตีตกตรงไหน ก็ต้องหยิบตรงนั้นมาแก้ ถ้าตีตกหลายมาตราก็ต้องเสียเวลาร่างใหม่ แต่หวังว่ามันคงไม่เป็นถึงขนาดนั้น อย่าไปสมมุติ แต่ถ้ามีการตั้งกรรมาธิการร่วมก็จะมีกรอบเวลา 1 เดือน
อินโฟเควสท์
นายกฯ พบ ทรัมป์ หนุนนลท.ไทยลงทุนสหรัฐฯเพิ่มอีก 6 พันล้านเหรียญ-ยันเลือกตั้งเป็นไปตามโรดแมพ
นายกฯ พบ ทรัมป์ สานสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ เดินหน้าสร้างความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาค้ามนุษย์ - ก่อการร้ายทางไซเบอร์ ผลักดันมูลค่าการค้าระหว่างกัน หนุนนักลงทุนไทยลงทุนในสหรัฐฯเพิ่มอีก 6 พันล้านเหรียญ พร้อมยันเลือกตั้งปีหน้าแน่นอนตามโรดแมพ
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงผลการหารือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ภัยพิบัติจากพายุเฮอริเคนที่เปอโตริโก และเหตุโศกนาฏกรรมที่ลาสเวกัส
ด้านความมั่นคงได้เห็นพ้องร่วมกันว่าเป็นเสาหลักสำคัญของความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ และมีส่วนสำคัญในการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งตัวอย่างความร่วมมือที่ดี ได้แก่ การฝึกซ้อม Cobra Gold พร้อมกันนี้ ไทยและสหรัฐฯ จะขยายความร่วมมือเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญนาง Ivanka Trump บุตรสาวประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีความสนใจและมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ เยือนไทยเพื่อดูงานและความพยายามของรัฐบาลในการแก้ปัญหา นอกจากนี้จะขยายความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและส่งเสริมความมั่นคงทางไซเบอร์ ด้านข่าวกรอง พร้อมทางหาแนวทางว่าจะร่วมมือกันอย่างไรเพื่อเสริมสร้างสันติสุขในภูมิภาค รวมทั้ง การถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการป้องกันประเทศ ด้วย
ด้านสถานการณ์คาบสมุทรเกาหลี ซึ่งไทยยืนยันดำเนินการตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และสนับสนุนให้เกาหลีเหนือเข้าสู่การเจรจา ส่วนสถานการณ์ในรัฐยะไข่ ไทยและสหรัฐฯ ร่วมผลักดันการแก้ปัญหาตามหลักมนุษยธรรม รวมทั้งการแก้ไขปัญหาในระยะยาวด้วย
สำหรับ การค้าและการลงทุนตามสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ปี ค.ศ. 1966 ทำให้นักธุรกิจอเมริกันได้ประโยชน์เหมือนคนไทยในการลงทุนที่ประเทศไทย พร้อมทั้ง ร่วมผลักดันมูลค่าการค้าระหว่างกันให้สูงขึ้น โดยกลไกที่มีอยู่ พร้อมตั้งกลไกใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนหามีปัญหาติดขัด โดยขณะนี้นักลงทุนไทยมีการลงทุนในสหรัฐฯ ทั้งหมด 23 บริษัท มูลค่าการลงทุนรวม 5.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีแผนเพิ่มการลงทุนอีกรวม 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะสามารถสร้างงานได้มากกว่า 8,000 ตำแหน่ง จึงขอให้สหรัฐฯ ได้สนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนไทยเหล่านี้ พร้อมทั้งขอให้สหรัฐฯ เปิดตลาดสินค้าเกษตรไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท PTTGC America LLC กับหน่วยงาน JobsOhio ว่าด้วยความร่วมมือในการศึกษา วางแผน และจัดทำโครงการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน ในพื้นที่เขตเบลมอนต์ (Belmont County) ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานปิโตรเคมี.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเปิดเผยอีกว่าได้บอกกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ในการเดินหน้าตามหลักประชาธิปไตยสากลนั้นจะเป็นไปตามโรดแมพ โดยปีหน้าจะประกาศวันเลือกตั้งออกมา และจะไม่มีการเลื่อนใดๆทั้งสิ้น
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
ดันไทยศูนย์เศรษฐกิจ'บิ๊กตู่'ฝันเป็น'อาเซียน ดิจิทัล ฮับ'
แนวหน้า : ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล จ.สตูล เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2560 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดใช้งานเนตประชารัฐทั่วประเทศ และเปิดบริการเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศ ระบบ Asia-Africa-Europe-1 (AAE-1) โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงร่วมงาน ซึ่งเป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เพื่อก้าวไปสู่โมเดลใหม่ "ประเทศไทย 4.0" ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ในการนี้รัฐบาลได้ขยายโครงข่ายอินเตอร์เนตความเร็วสูงหรือโครงการเนตประชารัฐ เพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายใน สร้างโอกาส สร้างรายได้ ต่อยอดการใช้ประโยชน์ทั้งการศึกษา เศรษฐกิจ สาธารณสุข และสังคม พร้อมลงทุนสร้างเคเบิลใต้ นำระหว่างประเทศระบบ Asia-Africa-Europe-1 (AAE-1) โดยเป็นระบบเคเบิลใต้น้ำความจุสูงระบบแรกที่มีเส้นทางหลัก ผ่านประเทศไทย เพื่อพัฒนาโครงข่ายระหว่างประเทศเชื่อมไทยสู่ทั่วโลก ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลางการเชื่อมต่ออินเตอร์เนตของภูมิภาค หรืออาเซียน ดิจิทัล ฮับ (ASEAN Digital Hub)
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากนี้ไปประเทศไทยได้ก้าวสู่ประเทศดิจิทัลเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ ด้วยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค โดยมีพรมแดน เชื่อมต่อกับประเทศเศรษฐกิจสำคัญทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย จีน และเวียดนาม เป็นประตูสู่ประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งเมียนมา ลาว กัมพูชา โดยนอกจากประเทศไทยกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมผ่านโครงการขนาดใหญ่ เป็นถนนที่เชื่อมโยงประเทศไทยกับนานาประเทศในภูมิภาค อาทิ ระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ หรือ North-South Economic Corridor ระเบียงเศรษฐกิจใต้ หรือ Southern Economic Corridor และระเบียงเศรษฐกิจ ตะวันออก-ตะวันตก หรือ East-West Economic Corridor แล้ว
โดยขณะนี้ประเทศไทยได้ก้าวสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการแลกเปลี่ยน ข้อมูลผ่านอินเตอร์เนตที่สำคัญ ด้วยโครงการยกระดับ โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม หรือโครงการเนตประชารัฐ ด้วยการขยายอินเตอร์เนตความเร็วสูง 24,700 หมู่บ้าน สู่ 5 ภูมิภาคเหนือ-ใต้-ออก-อีสานกลาง ทั่วประเทศเพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายในตามแนวคิด "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"
นอกจากนี้ ยังการลงทุนสร้างเคเบิลใต้น้ำระหว่าง ประเทศระบบ Asia-Africa-Europe-1 (AAE-1) ความยาวถึง 25,000 กิโลเมตร โดยเป็นระบบเคเบิลใต้น้ำความจุสูงระบบแรกที่มีเส้นทางหลักผ่านประเทศไทย ความยาวถึง 25,000 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออินเตอร์เนตที่สำคัญของโลก เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเอเชียตะวันออก แอฟริกา และยุโรป นำประเทศสู่ศูนย์กลางด้านการสื่อสารของภูมิภาค ASEAN Digital Hub รองรับการใช้งานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มความแข็งแกร่งในยุทธศาสตร์ด้านดิจิทัลของประเทศ สนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0
ทั้งนี้ โครงการเนตประชารัฐ เป็น การขยายโครงข่ายอินเตอร์เนตความเร็วสูงผ่านสื่อสัญญาณสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (FTTx) ครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมายจำนวน 24,700 หมู่บ้าน ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยปัจจุบัน เนตประชารัฐ ได้ติดตั้งแล้วเสร็จ จำนวน 16,375 หมู่บ้าน (ณ วันที่ 26 กันยายน 2560) คิดเป็นร้อยละ 66.29
นายกฯ พอใจขีดความสามารถการแข่งขันไทยดีขึ้น 2 อันดับ สะท้อนศักยภาพของประเทศหลายด้านในอนาคต
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" โดยระบุว่า เป็นเรื่องน่ายินดีของประเทศไทยที่ในการประกาศผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ของสภาเศรษฐกิจโลก ซึ่งล่าสุดประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 32 จาก 137 ประเทศทั่วโลก หรือดีขึ้น 2 อันดับจากปีที่แล้ว
นายกรัฐมนตรี ได้หยิบยกประเด็นที่น่าสนใจทั้งในภาพรวม, ด้านเศรษฐกิจมหภาค และนโยบายยกระดับการให้บริการของภาครัฐ โดย 1. ในภาพรวม ประเทศไทยมีคะแนนดีขึ้นใน 8 ด้านหลัก และอีก 4 ด้านหลักมีคะแนนเท่าเดิม โดยไม่มีด้านหลักใดที่คะแนนลดลงเลย ทั้งนี้ ในส่วนที่ดีขึ้นมีเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ประสิทธิภาพตลาดแรงงาน การอุดมศึกษาและการฝึกอบรม รวมทั้งนวัตกรรม ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งไปสู่ "ไทยแลนด์ 4.0" และการพัฒนาต่าง ๆ เพื่อรองรับยุคดิจิทัลของประเทศในอนาคต
2. ด้านเศรษฐกิจมหภาค ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลก ซึ่งเป็นด้านเดียวที่ไทยติดอยู่ใน10 อันดับแรกของโลก โดยมีปัจจัยส่งเสริมในหลายด้าน อาทิ การใช้จ่ายภาครัฐที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งมีกลไกในการปกป้องนักลงทุนที่ดีขึ้น ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมมากขึ้น ภาคเอกชนมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งมีการจดสิทธิบัตรเพิ่มขึ้น มีการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เช่น ตลาดทุนและสินเชื่อ ทำได้ง่ายขึ้น ความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขยายตัวดีขึ้น อันเป็นผลมาจากโครงการเน็ตประชารัฐที่ส่งเสริมให้มีการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ตลาดต่างประเทศและการส่งออกสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นต้น
3. นโยบายยกระดับการให้บริการของภาครัฐหลายมาตรการ โดยเฉพาะเรื่อง Ease of doing business ซึ่งมุ่งเน้นการลดระยะเวลาในการเริ่มก่อตั้งธุรกิจลงนั้น นับเป็นปัจจัยแรกที่บ่งชี้ให้เห็นถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลการดำเนินการที่ผ่านมาส่งผลให้คะแนนในส่วนนี้ปรับดีขึ้น และคาดว่าในปีต่อไปจะดีขึ้นได้อีก เนื่องจากรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดจำนวนวันในกระบวนการต่าง ๆ ลง 10 เท่า คือจาก 25 วันครึ่งให้เหลือเพียง 2 วันครึ่ง
นอกจากนี้ ยังต้องให้ความสำคัญกับธุรกิจ SMEs Startups สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน รวมทั้งบริษัทประชารัฐรู้รักสามัคคี จำกัด ทั่วประเทศด้วย เพราะเป็นกลไกเครื่องมือที่สำคัญในการยกระดับรายได้ของประเทศด้วยการส่งออก มีการผลิตนวัตกรรมสินค้าที่จะแข่งขันกันได้ เป็นโอกาสให้ทางเลือกให้กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่เหล่านี้จะต้องเชื่อมโยงกันให้ได้ และจะต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น
โดยสรุปแล้ว ผลการจัดอันดับดังกล่าวนั้นก็เป็นมุมมองจากภายนอกที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นศักยภาพและความท้าทายของไทยในอนาคตในหลาย ๆ ด้าน ได้แก่ 1) ความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพของตลาดการเงิน 2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง 3) การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรในการสร้างนวัตกรรม 4) การเพิ่มขนาดของตลาดภายในประเทศและลดการพึ่งพาการส่งออก
"เราจำเป็นที่จะต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกประชารัฐ ตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงระดับชาติ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและเกื้อกูลกันในทุก ๆ กิจกรรม นอกจากนั้น เราจำเป็นต้องดำเนินการอย่างมียุทธศาสตร์ เนื่องจากการลงทุนเพื่ออนาคตนั้น ต้องอาศัยการระดมทรัพยากรและเงินทุน รวมทั้งต้องอาศัยเวลาและความต่อเนื่อง ที่สำคัญคือความชัดเจนในการดำเนินนโยบายของภาครัฐที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทั้งภายในและภายนอกประเทศอีกด้วย" นายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมระบุว่า หลายคนอาจไม่ทราบหรือลืมไปแล้วว่าเป็นผลงานที่รัฐบาลนี้ได้พยายามแก้ไข พยายามปรับปรุง และทำให้ดีขึ้นเป็นผลสัมฤทธิ์จนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ
อินโฟเควสท์
ศาลฎีกาฯ มีมติเอกฉันท์ลงโทษจำคุก 5 ปียิ่งลักษณ์คดีทุจริตจำนำข้าวไม่รอลงอาญา
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีมติเอกฉันท์พิพากษาโทษจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีทุจริตจำนำข้าว เป็นเวลา 5 ปี ไม่รอลงอาญา เนื่องจากละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1
"ศาลมีมติเอกฉันท์ไม่รอลงอาญา ออกหมายจับตามคำพิพากษา"องค์คณะผู้พิพากษาฯ กล่าว
ในคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 23 ส.ค.54-6 พ.ค.57 จำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 ส.ค.54 แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา โดยมีนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรก คือ นโยบายยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรเข้าถึงแหล่งเงินทุน นำระบบจำนำสินค้าเกษตรมาใช้ในการสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้แก่เกษตรกร ด้วยการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกหอมมะลิ ความชื้นไม่เกิน 15% ที่ราคาตันละ 15,000 บาท และตันละ 20,000 บาทตามลำดับ
จำเลยและคณะรัฐมนตรีมีมติให้ดำเนินโครงการรวม 5 ฤดูกาลผลิต ได้แก่ 1.โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 2.โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต 2555 3.โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 (ครั้งที่ 1) 4.โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 (ครั้งที่ 2) และ 5.โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 (ครั้งที่ 1) เริ่มดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2554/55 ในวันที่ 7 ต.ค.54 โดยไม่จำกัดปริมาณข้าวเปลือกที่รับจำนำทั้งโครงการ และไม่จำกัดปริมาณข้าวเปลือกของเกษตรกรแต่ละราย กำหนดความชื้นไม่เกิน 15% ราคารับจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิ (42 กรัม) ตันละ 20,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 100% ตันละ 15,000 บาท
ขณะเริ่มดำเนินโครงการ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ได้มีหนังสือถึงจำเลยแจ้งสภาพปัญหาต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในอดีต พร้อมระบุลักษณะความเสียหายและสาเหตุที่ทำให้การดำเนินโครงการไม่ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบิดเบือนกลไกตลาด การที่รัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวที่เข้าโครงการรับจำนำเป็นจำนวนมาก และระบายออกไม่ทันจนเป็นเหตุให้ข้าวเสื่อมคุณภาพทำให้ราคาข้าวตกต่ำ รวมถึงผลกระทบ/ความเสียหาย ประการสำคัญมีการทุจริตในทุกขั้นตอนของกระบวนการรับจำนำ ผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายมีเพียงบุคคลบางกลุ่ม ไม่ครอบคลุมเกษตรกรอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) นักวิชาการ สื่อมวลชนได้มีหนังสือ การอภิปราย และการแสดงความคิดเห็นถึงปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของการดำเนินโครงการ ปัญหาด้านการเงินการคลังของประเทศ และผลขาดทุนสะสมจากการดำเนินโครงการ ซึ่งสร้างความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินและเกษตรกร อีกทั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกได้มีหนังสือถึงจำเลยในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายรายงานผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือก เพียงวันที่ 31 พ.ค.56 มีผลขาดทุนสะสม 332,372.32 ล้านบาท
ผลจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ได้ก่อให้เกิดความเสียหาต่อชาติบ้านเมืองอย่างมหาศาล ทั้งความเสียหายที่อาจคำนวณเป็นเงินได้ และความเสียหายที่ไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ตามที่หน่วยงานได้เคยเสนอแนะและทักท้วงจำเลยไว้แล้ว ได้แก่ ความเสียหายจาการทุจริตและความไม่โปร่งใสในกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ เช่น การโกงความชื้นและน้ำหนักเพื่อกดราคารับจำนำจากชาวนา การนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิจำนำ การสับเปลี่ยนข้าวในโกดังกลางของรัฐบาล การสวมสิทธิเกษตรกร ค่าใช้จ่ายอันเกินสมควรและเปล่าประโยชน์ ข้าวสูญหายหรือขาดบัญชี การระบายข้าวล่าช้ามากส่งผลให้ข้าวสารเสื่อมคุณภาพ การปลอมปนข้าว ข้าวขาดมาตรฐาน การไม่รับซื้อข้าวตามชั้นคุณภาพ ทำให้เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการปรับปรุงคุณภาพของข้าว ความเสียหายต่อระบบการค้าข้าว ระบบเศรษฐกิจ และการคลังของประเทศ มีผลขาดทุนสูงมาก ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มสูงขึ้น ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการคลังของประเทศ การจ่ายเงินให้เกษตรกรล่าช้า เนื่องจากเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ เกษตรกรบางส่วนไม่ได้รับเงินจากการจำนำ และความเสียหายจากการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และการระบายข้าวโดยวิธีอื่น
จำเลยได้ทราบถึงปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการเสนอแนะ การแจ้งเตือน และการทักท้วงจากภาคส่วนต่างๆ จึงต้องใช้ความระมัดระวัง ความทุ่มเทใส่ใจ และความรอบคอบในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกไม่ให้เกิดความเสียหาย โดยต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในการรับจำนำที่สมเหตุผล เงื่อนไขการดำเนินการที่เหมาะสมและรัดกุม ตลอดจนมีประสิทธิภาพในการป้องกันความเสียหายได้อย่างแท้จริงไว้ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการ
แต่กลับมิได้ใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นให้เพียงพอ โดยงดเว้นการป้องกันความเสียหาย ทำให้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกสร้างความเสียหายต่อเกษตรกร งบประมาณแผ่นดิน กระทรวงการคลัง ประเทศชาติ และประชาชนอย่างมหาศาล และไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวเปลือก หรือระงับความเสียหายด้วยวิธีการทำให้เหตุแห่งการทุจริตและความเสียหายหมดสิ้นไป หรือปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์ต่างๆ ให้สามารถบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นและป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นซ้ำต่อเนื่องไปอีก จึงเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ทำธุรกิจค้าข้าวจากการทุจริตในขั้นตอนรับซื้อข้าวเปลือก ขั้นตอนการระบายข้าว
รวมถึงรัฐมนตรีบางคนที่รับผิดชอบโครงการแสดงพฤติการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ปกปิดข้อมูลในขั้นตอนการระบายข้าว ส่อไปในทางรู้เห็นและได้ผลประโยชน์กับการทุจริต แต่จำเลยกลับปล่อยให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกต่อไปโดยงดเว้นไม่ป้องกันความเสียหายจากการทุจริตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้ผู้ทุจริตได้รับประโยชน์จากโครงการต่อไปอีก จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหน้าที่ และใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลัง ประเทศชาติ เกษตรกร ผู้หนึ่งผู้ใด และประชาชน
ทั้งนี้ จำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด
โจทก์อ้างพยานบุคคล 38 ปาก เอกสาร 213 แฟ้ม (หมาย จ.1 ถึง จ.400)
จำเลยอ้างพยานบุคคล 84 ปาก เอกสาร 149 แฟ้ม (หมาย ล.1 ถึง ล.436)
การตรวจพยานหลักฐาน ศาลฯ อนุญาตให้โจทก์นำพยานเข้าไต่สวน 15 ปาก จำเลยนำพยานเข้าไต่สวน 42 ปาก แต่ฝ่ายจำเลยนำเข้าไต่สวนจริง 30 ปาก รวมพยานบุคคลทั้งหมด 45 ปาก กำหนดนัดไต่สวนรวม 25 นัด เริ่มไต่สวนนัดแรกเมื่อวันที่ 15 ม.ค.59 นัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 ก.ค.60
ศาลฯ วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเป็นนโยบายของรัฐบาล คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจไต่สวนจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารในการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินนั้น ศาลฯ เห็นว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 3 ได้บัญญัติให้องค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยแบ่งแยกออกเป็น 3 ฝ่าย คือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้เป็นกลไกตรวจสอบและถ่วงดุลกัน การใช้อำนาจอธิปไตยของแต่ละฝ่ายต้องเป็นไปตามบทกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ และย่อมถูกตรวจสอบการใช้อำนาจได้ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบทางการเมืองโดยองค์กรทางการเมืองหรือการตรวจสอบโดยองค์กรตุลาการหรือศาล
อีกทั้ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 บัญญัติว่าในการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ตามมาตรา 176 และต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตน รวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่าการกระทำของฝ่ายบริหารย่อมต้องถูกตรวจสอบการใช้อำนาจเช่นเดียวกันกับองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐโดยทั่วไป
โดยรัฐธรรมนูญได้บัญญัติการตรวจสอบการกระทำในฐานะรัฐบาลหรือการกระทำทางรัฐบาลให้รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตน รวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี และวางบทบาทของรัฐสภาให้เป็นผู้ตรวจสอบการดำเนินการของรัฐมนตรีตามบทบัญญัติหมวด 6 รัฐสภา เช่น การตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีในเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่ไว้วางใจ อันเป็นผลให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งหรือความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 180 หรือมาตรา 182 แล้วแต่กรณี เป็นต้น หรือในหมวด 12 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ส่วนที่ 3 การถอดถอนจากตำแหน่ง มาตรา 270 ถึงมาตรา 274 การตรวจสอบการกระทำทาวรัฐบาลต้องกระทำโดยรัฐสภาเท่านั้น ศาลฯ จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่านโยบายของรัฐบาลชอบด้วยกฎหมายหรือมีความเหมาะสมหรือไม่
แต่ในส่วนการกระทำในฐานะฝ่ายปกครอง มีหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 11 (1) และ (3) ย่อมจะต้องถูกตรวจสอบโดยองค์กรตุลาการหรือศาลได้ตามบทบัญญัติหมวด 10 หากการดำเนินการทางปกครองก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลที่ได้รับคุ้มครองทางกฎหมาย ซึ่งอาจมีความรับผิดทั้งทางปกครอง หรือทางแพ่ง หรือทางอาญา แล้วแต่กรณี หาใช่ว่าคงมีเพียงความรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร หรือรัฐสภาเท่านั้นไม่ อันเป็นหลักการเดียวกันกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ดังนั้น แม้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกจะเป็นการดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา แต่หากปรากฎว่าในขั้นตอนปฏิบัติตามโครงการมีการดำเนินที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายก็ย่อมถูกตรวจสอบโดยกระบวนการยุติธรรมได้ โดยเฉพาะคดีนี้เป็นการกล่าวหาจำเลยซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการมิใช่เป็นการตำหนิข้อบกพร่องหรือการดำเนินนโยบายผิดพลาดที่ต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา จึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่จะไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยได้ตามบทบัญญัติมาตรา 250 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 19 และโจทก์มีอำนาจฟ้อง
ปัญหาว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฯ เห็นว่า ในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้ง 5 ฤดูกาลผลิต แม้ว่าจะพบความเสียหายหลายประการ เช่น การสวมสิทธิการรับจำนำ การนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ ข้าวสูญหาย การออกใบประทวนอันเป็นเท็จ การใช้เอกสารปลอม การโกงความชื้นและน้ำหนักเพื่อกดราคารับซื้อจากชาวนา ข้าวสูญหายจากโกดัง ข้าวเสื่อมสภาพ ข้าวเน่า ข้าวไม่ตรงตามมาตรฐานกระทรวงพาณิชย์ แต่เป็นความเสียหายที่เกิดจากฝ่ายปฏิบัติ จำเลยในฐานะประธาน กขช.ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อป้องกันความเสียหายไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มโครงการ อีกทั้งเมื่อพบความเสียหายดังกล่าวในขณะดำเนินโครงการก็ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันความเสียหายแล้ว กรณีความเสียหายในส่วนนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ
ส่วนประเด็นเรื่องการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐโดยกรมการค้าต่างประเทศขายข้าวในสต็อกของรัฐให้บริษัท กว่างตง และบริษัท ห่ายหนานฯ รัฐวิสาหกิจของจีนนั้น ศาลฯ มีคำวินิจฉัยว่าเป็นการขายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีการแอบอ้างสัญญาแบบรัฐต่อรัฐเพื่อนำข้าวมาเวียนขายให้แก่ผู้ค้าข้าวภายในประเทศ อันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต
ในเรื่องนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้นำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจให้จำเลยทราบรายละเอียดและวิธีการขายที่ไม่เป็นไปตามแนวปฏิบัติของการขายแบบรัฐต่อรัฐ ตลอดจนผู้ประกอบธุรกิจค้าข้าวที่เคยเกี่ยวข้องกับการทุจริตเกี่ยวกับการค้าข้าวในอดีต และบุคคลที่เป็นผู้ช่วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคที่จำเลยสังกัด ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนของรัฐวิสาหกิจจีนที่มาซื้อข้าว
อีกทั้ง ก่อนมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จำเลยได้ให้สัมภาษณ์ยืนว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐจริง ภายหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ แต่องค์ประกอบคณะกรรมการล้วนแต่เป็นข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ภายใต้การบังคับบัญชาของนายบุญทรง และทำการตรวจสอบไม่ตรงตามประเด็นที่อภิปรายแสดงให้เห็นว่าไม่ตั้งใจตรวจสอบอย่างจริงจัง และจำเลยเพิ่งปรับนายบุญทรงออกจากตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ในวันที่ 30 มิ.ย.56
ตามพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าจำเลยทราบว่าสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ระงับยับยั้งปล่อยให้มีการส่งมอบข้าวตามสัญญาให้รัฐวิสาหกิจจีนต่อไปอีก อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ลงโทษจำคุก 5 ปี
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด