ประยุทธ์ เผยยังไม่มีพรรคการเมืองทาบนั่งเก้าอี้นายกฯ ต่อ ยันเดินหน้าทำงานไม่สนโพลคะแนนลด
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีอดีตแกนนำกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) สนับสนุนให้ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยว่า ขอแสดงความขอบคุณ แต่จะได้อยู่ต่อหรือไม่เป็นเรื่องของอนาคต เพราะยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ และที่ผ่านมาก็ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามา แต่หากมีการติดต่อเข้ามา สิ่งแรกที่จะพิจารณาคือ นโยบายของพรรคและบุคลากรในพรรคว่ามีความรอบรู้ มีความโปร่งใสหรือไม่
ส่วนกรณีกลุ่มคนรุ่นใหม่ไปยื่นคำขอจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองนั้นก็ปล่อยให้ตั้งไป เพราะถือเป็นสิทธิ์ตามกฏหมาย แต่ประชาชนจะเลือกหรือไม่เป็นดุลยพินิจ เพราะไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่าหรือพรรคการเมืองใหม่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละบุคคลที่จะเลือก แต่ขอให้เลือกพรรคที่มีธรรมาภิบาลเข้ามาบริหารประเทศ
"ไม่ว่ากลุ่มใดที่สนับสนุนผม ผมก็ขอบคุณเท่านั้นเอง ทำอย่างอื่นไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล จะรักใครชอบใคร ก็เหมือนพวกเราก็เชียร์คนนั้นก็ว่าไป แต่มันจะได้หรือไม่ ไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมเองก็ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ จะเป็นอย่างไร ใครจะขอ ยังไม่เห็นมีใครมาติดต่อผมเลย มีแต่พูดทางสื่อนั่นแหละ แล้วหากขอมาสนับสนุนผม ผมรับหรือไม่ ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะเสนอได้ครั้งเดียว ยังไม่รู้เลย ยังไม่ไปถึงตรงนั่นเลย ยังปลดล็อคไม่ได้เลย"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเดือนมิถุนายนที่จะเชิญตัวแทนพรรคการเมืองมาพูดคุยเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง โดยจะหยิบยกเอาเรื่องการบริหารงบประมาณแผ่นดินมาหารือว่าจะใช้จ่ายอย่างไรไม่ให้ประเทศเกิดความเสียหายเหมือนอย่างที่ผ่านมา รวมถึงต้องทำความเข้าใจเรื่องยุทธศาตร์ เพราะอยากให้ช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองต่อไป
ส่วนกรณีที่ผลสำรวจหลายสำนักระบุว่าคะแนนนิยมของรัฐบาลลดลงนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ทำงานด้วยผลโพลหรือคะแนนนิยม แต่ทำงานด้วยพื้นฐานของข้อเท็จจริง นำเอาปัญหาและอุปสรรคในอดีตที่ผ่านมามาแก้ไข พร้อมขอบคุณทุกความคิดเห็นที่สะท้อนออกมาถือเป็นกระจกให้รัฐบาล แม้บางเรื่องจะไม่ไช่สาระและข้อเท็จจริง แต่สิ่งที่ตนเองเชื่อมั่นคือการทำงานของตนเองและคณะรัฐมนตรี
ครม.สัญจร เล็งพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ดันโครงการไทยแลนด์ ริเวียร่า/รถไฟความเร็วสูงเชื่อมแหล่งท่องเที่ยว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคการตอนล่าง 2 ก่อนจะเข้าประชุมครม.สัญจร โดยมีวาระที่น่าสนใจ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคลางตอนล่าง 2 วงเงินกว่า 1,850 ล้านบาท ซึ่งจะกำหนดวิสัยทัศน์ให้กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่างเป็นฐานการผลิต ภาคการเกษตร อุตสาหกรรม อาหาร การท่องเที่ยว นอกจากนี้ จะดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของแขวงทางหลวงชนบทของกลุ่มจังหวัดดังกล่าว วงเงินงบประมาณกว่า 770 ล้านบาท เช่น การปรับปรุงถนน บ้านหุบกระพง-หัวหิน-ชะอำ เป็นต้น
กระทรวงคมนาคม เสนอแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่างและแผนที่ ร่วมมือกับกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เสนอพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตั้งแต่ จ.เพชรบุรี, อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เรื่อยไปถึง จ.ชุมพร โดยมีโครงการสำคัญ เช่น โครงการถนนเลียบชายฝั่งทะเล หรือ "ไทยแลนด์ ริเวียร่า" ระยะทาง 680 กิโลเมตร ที่ขณะนี้สร้างเสร็จไปแล้ว 200 กิโลเมตร อยู่ระหว่างก่อสร้าง 49 กิโลเมตร คาดว่าอีก 4-5 ปีจะแล้วเสร็จหากได้รับการจัดสรรงบประมาณ ปี 61-62 ซึ่งนอกจากจะดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว ยังสามารถใช้เป็นเส้นทางสำรองสำหรับการขนส่งสินค้าได้หากมีเหตุอุทกภัยเกิดขึ้นกับถนนหลวงหมายเลข 4 เพชรเกษม
นอกจากนี้ ยังเสนอโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-หัวหิน ระยะทาง 211 กิโลเมตร เงินลงทุน 94,673 ล้านบาท, รถไฟทางคู่ นครปฐม-หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 420 กิโลเมตร เงินลงทุน 33,982 ล้านบาท รวมไปถึงโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 เส้นทางชุมพร-สุราษฎร์ธานี และสุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 491 กิโลเมตร เงินลงทุน 81,669 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวในพื้นที่อ่าวไทยด้านตะวันตก ส่วนทางอากาศจะเสนอแผนปรับปรุงท่าอากาศยานหัวหิน หรือสนามบินบ่อฝ้าย
รวมทั้งจะมีการนำร่างพ.ร.ก.บริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ... ที่ยังค้างอยู่มาพิจารณา โดยยืนยันว่าร่างพระราชกำหนดนี้ ไม่ได้ส่งเสริมให้แรงงานต่างด้าวมาแย่งงานคนไทย และไม่ได้เป็นการออกกฎหมายเพื่อเอื้อแรงงานต่างด้าว
ด้านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอโครงการบรรเทาอุทกภัยและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่เพชรบุรีตอนล่าง โดยทำคลองผันน้ำออกจากแม่น้ำเพชรบุรีก่อนเข้าตัวเมือง งบประมาณ 8,500 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 7 ปี รวมถึงการจัดทำระบบท่อส่งน้ำเพื่อสนับสนุนการผลิตน้ำประปา อ.ชะอำ - อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำดิบผลิตน้ำประปางบประมาณจำนวน 755 ล้านบาท
กกต.เผยยอดยื่นจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ถึงวันนี้ 55 พรรคแล้ว ยังไร้เงาธานี-ธนาธร
รายงานข่าวจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า บรรยากาศการจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่วันที่ 6 มีพรรคการเมืองยื่นคำขอเพิ่มอีก 5 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อคนไทย ผู้ยื่นคำขอ นายสุรพจน์ เพียรกรรพุม, พรรคภูมิพลังเกษตรกรไทย ผู้ยื่นคำขอ นายสมัคร พรมวาด, พรรคประชาธรรมไทย ผู้ยื่นคำขอ นายพิเชษฐ สถิรชวาล อดีต รมช.คมนาคม, พรรคมติประชา ผู้ยื่นคำขอ นายอนุชิต งามพัฒนพงศ์ชัย และ พรรคไทยสาธุชน ผู้ยื่นคำขอ นางสาวรัชฎาภรณ์ ธารธนศักดิ์ รวมแล้วล่าสุดมี 55 พรรคการเมือง
จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีชื่อของนายธานี เทือกสุบรรณ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ซึ่งเป็นอดีตแกนนำกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกลุ่มไทยซัมมิท ที่เคยประกาศว่าจะมีการจดทะเบยนตั้งพรรคการเมืองใหม่เข้ายื่นขอกับทาง กกต.
ประธาน กรธ.ห่วงบทเฉพาะกาลกม.ลูกเลือกตั้ง ส.ว.คลุมเครือ แนะสนช.ส่งศาลรธน.ตีความ ยันไม่กระทบโรดแมพ
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยว่า มีความเป็นห่วงบทเฉพาะกาลของร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา (ส.ว.) ที่คณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายปรับแก้เสร็จสิ้นแล้ว โดยยังคงแบ่งประเภทผู้สมัครออกเป็น 2 ประเภท คือแบบอิสระ และแบบมีองค์กรรับรอง โดยหวังว่า สนช. จะทำให้ประเด็นดังกล่าวเกิดความชัดเจน ด้วยการเข้าชื่อกัน เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ และไม่กังวลว่ากรณีดังกล่าวจะเป็นเหตุให้ สนช.ลงมติไม่เห็นชอบในการพิจารณาวันที่ 8 มี.ค.นี้ เพราะเป็นปัญหาเพียงประเด็นเดียว
พร้อมยืนยันว่า การส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ จะไม่มีผลกระทบต่อการเลื่อนการเลือกตั้ง ในเดือนก.พ.62 ที่นายกรัฐมนตรีประกาศไว้ เพราะมีการคำนวณเวลาเผื่อเอาไว้แล้ว
นายมีชัย ยังกล่าวถึงร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่กรรมาธิการร่วมฝ่ายปรับแก้เสร็จสิ้นว่า ยังประเด็นที่ยังกังวลเฉพาะการตัดสิทธิรับราชการทางการเมือง เพราะยังไม่ชัดเจนว่า การไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ถือเป็นสิทธิ หรือเสรีภาพ หากเป็นสิทธิก็สามารถจำกัดได้ แต่ถ้าเป็นเสรีภาพ ก็ไม่สามารถไปจำกัดได้
นายมีชัย กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มการเมืองต่างๆ เริ่มทยอยขอจดแจ้งจัดตั้งพรรคการเมืองว่า แสดงให้เห็นว่า กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่หลายฝ่ายอ้างว่ากีดกันพรรคเล็กพรรคน้อยนั้นไม่เป็นความจริง
ศาล รธน.มีมติเอกฉันท์ชี้ปมกำหนดคุณสมบัติ-ลักษณะต้องห้าม ป.ป.ช. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องกรณีที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่งความเห็นของสมาชิก สนช.จำนวน 32 คนที่ขอให้วินิจฉัยว่าร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ... มาตรา 185 มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ผลการลงมติปรากฎว่าศาลโดยมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่า ร่างพร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ... มาตรา 185 ในส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 11 (1) และ (18) มิให้นำมาใช้บังคับ ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
อนึ่ง สมาชิก สนช.จำนวน 32 คนที่ยื่นเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย จากที่เห็นว่า ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งผ่านการให้ความเห็นชอบของ สนช.มาตรา 185 บัญญัติว่า"ให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งดำรงอยู่ในวันก่อนวันที่ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 19 เว้นแต่กรณีตามมาตรา 19 (3) ในส่วนที่เกี่ยวกับการขาดคุณสมบัติตามมาตรา 9 และลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 11 (1) และ (18) มิให้นำมาใช้บังคับ" อาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
อินโฟเควสท์
นายกฯ ยันรัฐบาลไม่คิดคว่ำร่างกม.เพื่อยื้ออำนาจ วอนทุกฝ่ายสัญญาหากมีเลือกตั้งแล้วต้องไม่ขัดแย้งกัน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ถึงเส้นทางการเลือกตั้งของไทยในช่วงต่อจากนี้ไป โดยระบุว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกกฎหมายลูก 4 ฉบับ ที่จำเป็นต่อการเลือกตั้ง ได้แก่ 1.กฎหมายลูกว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง 2.กฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมือง 3.กฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ 4.กฎหมายลูกว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ซึ่งกฎหมายลูกใน 2 ฉบับท้ายกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อจะพิจารณาในทุกประเด็นที่ยังเห็นไม่ตรงกัน เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ส่วนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ภายหลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วในอีก 90 วัน หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา การเลือกตั้งก็อาจจะเกิดขึ้นในเดือนใดก็ได้ภายใน 150 วันหลังจากนั้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทุกฝ่าย ทั้งพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และ กกต. ในระหว่างนั้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะแจ้ง คสช.ให้เชิญ กกต., กรธ. รวมถึงทุกพรรคการเมืองมาพูดคุยหารือว่าการเลือกตั้งนั้นควรจะเกิดขึ้นเมื่อใด วัน เวลา ที่ทุกฝ่ายพร้อม ทุกฝ่ายเห็นพ้องกันแล้วก็ถือเป็น 'วาระสำคัญของชาติ' อาจจะต้องเป็นสัญญาร่วมกันว่า ทำอย่างไรเราจะเดินหน้าประเทศไปให้เป็นไปตาม Roadmap ของประเทศ ให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในอนาคต
"รัฐบาลและ คสช.ไม่เคยมีความคิด และไม่ไปก้าวล่วงอำนาจใดๆ ที่จะทำให้เกิดการคว่ำร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะรัฐบาลไม่อยากให้กำหนดเวลาคลาดเคลื่อนตามที่มีใครหลายคนพยายามบิดเบือนให้ข้อมูลผิดๆ ต่อสังคม เว้นอย่างเดียว คือการเกิดความวุ่นวายประชาชนขัดแย้ง ใช้กำลัง ใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง การหาเสียงมีปัญหา ประชาชนขัดแย้งกันอีก เกิดความไม่สงบเหมือนช่วงก่อนปี 57 อันนั้นก็เป็นอีกเรื่อง ทุกคนต้องช่วยกันอย่าให้เกิดขึ้น"นายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมขอให้ประชาชน นักการเมือง และทุกฝ่ายต้องช่วยกันรักษาบรรยากาศความมีเสถียรภาพของประเทศ ต้องไม่ขัดแย้ง ไม่แบ่งฝ่ายกันอีกต่อไป และต้องสัญญากันว่าหลังการเลือกตั้ง เราจะได้มีฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่จะต้องร่วมมือกัน ทำในสิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนทั้งประเทศต้องการ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนที่เป็นฐานเสียงของฝ่ายใดก็ตาม รวมทั้งร่วมกันหรือช่วยกันในการปฏิรูปประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติต่อไป
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเปรียบเทียบการเลือกตั้งว่าเหมือนกับการเลือก 'กล้วย' เพราะหากเป็นกล้วยที่เปลือกยังเขียวอยู่ก็ยังไม่สุก ไม่พร้อมจะรับประทาน คุณสมบัติก็ไม่ครบ แต่กล้วยเปลือกสีเหลือง คือสุกงอม กินได้ เหมาะสม หากเป็นกล้วยเปลือกดำแล้ว คือไม่ดี ไม่ควรเลือกกิน พร้อมย้ำว่าการเข้าคูหาเลือกตั้งต้องคำนึงถึงการเลือกนักการเมืองที่มีคุณภาพ ไม่มีประวัติเสื่อมเสียหรือทุจริตมาก่อน เลือกพรรคการเมืองที่น่าเชื่อถือ ดูจากนโยบาย จากการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง หรือถูกครอบงำ
"แก่นสารของเรื่องนี้คือ ทำอย่างไรให้คนไทยสามารถแยกแยะว่า ถ้ามีการเลือกตั้งแล้วควรเลือกใคร และเลือกจากอะไร ไม่ใช่ใช้ความรัก ความชอบ ความคุ้นเคย ใช้อารมณ์ แต่ไม่พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล เช่น ดูที่นโยบายพรรค ดูที่ประวัติการทำงานเหล่านี้...อยากให้พี่น้องประชาชน มีความรู้ หลักคิด มีหลักการเลือก ส.ส.ที่มีคุณภาพ หลีกเลี่ยงผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือพรรคที่มีนโยบายในลักษณะสัญญาว่าจะให้ เพื่อดึงดูดใจในสิ่งที่ผิดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นนโยบายที่มีผลต่อการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินที่สิ้นเปลืองมากเกินไป ขาดวินัยการเงินการคลัง หรือขัดแย้งพันธกรณีต่างประเทศ" นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกฯ ย้ำเดินหน้าจัดทำ กม.ลูกที่เหลืออีก 2 ฉบับ ยันไม่มีล้มเด็ดขาด
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับ
ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ว่า รัฐบาลได้ให้แนวทางไปแล้วว่าให้มีการแก้ไขตามที่คณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายพิจารณา โดยตนเองไม่ไปก้าวล่วง แต่ยืนยันว่าจะไม่มีการล้มกฎหมายลูกโดยเด็ดขาด เป็นเรื่องของการพิจารณาตกลงกันให้ได้ จึงขอให้คนที่เรียกร้องยุติเรื่องนี้ได้แล้ว เพราะหากไม่มีเหตุผลที่สมควรก็ล้มไม่ได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการลงพื้นที่จังหวัดนครปฐมในวันพรุ่งนี้ ( 21 ก.พ.) ว่า เป็นการเดินหน้า"โครงการไทยนิยมยั่งยืน" เพื่อเน้นเรื่องการสร้างการรับรู้และรับทราบปัญหาและความต้องการของประชาชนโดยตรง ในทุกตำบลทุกหมู่บ้าน และจะนำการดำเนินการที่รัฐบาลได้ทำมากว่า 3 ปีให้ประชาชนได้รับรู้ว่าได้ทำเรื่องใดไปบ้าง เพราะหากประชาชนไม่ได้รับรู้ ก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่เกิดการพัฒนาตัวเอง
และอีกเรื่องที่จะเน้นย้ำ คือเรื่องของความโปร่งใสที่ทุกคนต้องช่วยกันดู ทั้งเรื่องความโปร่งใสในการจัดทำงบประมาณ การทำเวทีประชาคม และต้องดูความต้องการของประชาชนว่าจะดูแลได้อย่างไร และอย่าให้การทุจริตเกิดขึ้น และหากพบการทุจริตในส่วนราชการก็จะต้องแจ้งให้ทราบและจะต้องมีการลงโทษ ยืนยันจะไม่ยอมให้ส่วนราชการเข้าไปมีผลประโยชน์เด็ดขาด
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ไทยนิยม คือ การทำความดีเพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาติของเราให้เกิดความยั่งยืนเกิดขึ้น โดยจะเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป โดยจะลงพื้นที่ดูการลดต้นทุนปลูกข้าว เกษตรอินทรีย์ ดูว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีรายได้ที่ดีขึ้น และขอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยจะมีหลายกลุ่มงานในการลงพื้นที่ และต้องดูว่า เมื่อทำการเกษตรแล้วไม่ดีขึ้น จะต้องมีการปรับรูปแบบการทำเกษตรใหม่ ว่าจะทำอย่างไรให้ยั่งยืน และมีการท่องเที่ยวเข้าไปเสริม ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลคิดไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่การตั้งวงเงินและมอบให้ประชาชน แบบนั้นทำไม่ได้
ทั้งนี้ อยากให้สังคมช่วยกันคิดต่อว่านโยบายการหาเสียงต่อไปนี้ จะหาเสียงด้วยเรื่องตัวเลข วงเงิน หรือโครงการราคาพืชผลทางการเกษตรมาหาเสียงนั้น มีความเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เพราะตามหลักข้อเท็จจริง จะใช้เงินของรัฐเข้าไปอุดหนุนราคาพืชผลการเกษตรนั้นไม่สามารถทำได้ ที่ผ่านมาเห็นแล้วว่าทำให้เกิดความเสียหายหลายประการและขออย่าให้กลับไปเป็นเช่นเดิม
"อาจจะมีหลายคนที่ออกไปเดินสายข้างล่าง ว่าจะทำให้ราคาข้าวขึ้นเท่าโน้นเท่านี้ ยางขึ้นเท่าโน้นเท่านี้ นี่ทำแทบตาย หัวจะผุแล้ว คิดทุกวัน แก้โน้นแก้นี่ ก็มีปัญหาหมดทุกวัน การที่เราจะไปกำหนดราคาเองทั้งหมด ต้องอย่าลืมว่า เรามีศักยภาพเพียงพอหรือไม่ที่จะกำหนดราคาต่างประเทศ เขาก็ดูกลับมาถึงความมั่นคงและศักยภาพของประเทศ ถ้าตราบใดที่ความขัดแย้งสูง ก็ไม่มีใครฟังมาก ก็กำหนดราคาสินค้าของเราไป เราต้องเข้มแข็งด้วยตัวของเราเอง ให้เห็นว่าเรามีเสถียรภาพ เราพูดคนถึงจะฟัง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
อินโฟเควสท์
รัฐบาลไม่ปิดกั้นการปรับปรุงแก้ไขยุทธศาสตร์ชาติ-แผนปฏิรูปประเทศ พร้อมประเมินผลทุก 5 ปีควบคู่แผนสภาพัฒน์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน"ว่า ในอนาคตการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทยจะมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ ประเด็นต่าง ๆ เป็นกรอบภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยช่วงนี้อยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมจากทุกภาคส่วน ก่อนที่คณะกรรมการที่รับผิดชอบจะนำข้อเสนอแนะต่าง ๆ มาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม แล้วเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบและมีผลบังคับใช้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ระหว่างการจัดทำยุทธศาสตร์ และแผนปฏิรูปก็ยังสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมที่อาจจะไม่เป็นไปตามการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นไปตามกลไกที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ คือการรับฟังความคิดเห็นของสาธารณะชน และการพิจารณาของรัฐสภาเป็นสำคัญ โดยจะต้องมีการประเมินผลทุก 5 ปี คู่ขนานกับการปรับปรุงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12–15 ด้วย
"ทุกปี คณะทำงานติดตามก็จะมีการติดตามประเมินผล แล้วก็ปรับเปลี่ยนจากสถานการณ์ภายใน และภายนอกประเทศ ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้เกิดการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่เหมาะสม" นายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมระบุว่า ปัจจุบันรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำลังขับเคลื่อนด้วยโครงการ "ไทยนิยมยั่งยืน" มีการจัดตั้งคณะทำงานบูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน แบ่งออกเป็นระดับรัฐบาล ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ออกเยี่ยมเยียนประชาชนเป็นรายครัวเรือนหรือรายบุคคล เพื่อจะร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาความเดือดร้อน ค้นหาความต้องการของประชาชน หมู่บ้าน ชุมชน เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถ การสร้างมูลค่า หรือการลงทุน เพื่อให้ประชาชนร่วมกันคิดจะทำประโยชน์อย่างไรในพื้นที่ ให้พื้นที่นั้นทุกคนมีรายได้ที่พอเพียง ส่วนเรื่องงบประมาณ จะมีทั้งจากบนลงไปล่าง แล้วก็จากล่างขึ้นมาบน ซึ่งการจัดทำงบประมาณจะต้องรับฟังความต้องการของประชาชนด้วย
"ในการทำกิจกรรมที่ไม่ตรงกับหลักการ ของโครงการไทยนิยมยั่งยืน ก็จะต้องเสนอโครงการขึ้นมาในกรอบการเสนอของงบประมาณประจำปี ให้กรรมการที่สูงกว่าขึ้นมาได้พิจารณานำเสนอการใช้ในงบปกติ หรืองบบูรณาการในการใช้จ่ายงบประมาณในปีต่อไปด้วย เหมือนกับไปทำ Big data ด้วย" นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้เพิ่มช่องทางสื่อสารโดยเปิด Website และ Facebook ชื่อ 'สายตรง ไทยนิยม' เพื่อรับคำร้องเรียน ร้องทุกข์ ข้อเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น และใช้ในการกระจายข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐ ข้อมูลสาธารณะประโยชน์ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเป็นสำคัญเสริมช่องทางเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งสายด่วน 1111 และ 1567 โทรฟรีทั่วไทย ตลอด 24 ชั่วโมง
นายกฯ ย้ำกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจนหลัง กม.ลูกแล้วเสร็จ ปัดตอบข้อเรียกร้องปรับประวิตรพ้น ครม.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีกระแสเรียกร้องให้ระบุวันเลือกตั้งที่ชัดเจน โดยยืนยันว่า ได้ระบุไปแล้วก่อนหน้านี้ถึงวันเลือกตั้งที่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งเมื่อมีกฎหมายลูกออกมาบังคับใช้แล้ว ก็จะมีการกำหนดวันเลือกตั้งตามมาและขณะนี้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่มาของ ส.ส.และ ส.ว.ก็ยังอยู่ในกระบวนการ พร้อมย้ำว่า เมื่อทุกฝ่ายมีความพร้อมก็ต้องมีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน
ส่วนการหารือกับนักการเมืองท้องถิ่นเมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการหารือทำความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกร่วมกัน เช่น พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เรื่องสิ่งแวดล้อม หรือระบบสาธารณสุข โดยไม่มีการพูดคุยถึงประเด็นการเมือง และยืนยันว่า เป็นการสมัครใจมาพูดคุยกันโดยรัฐบาลไม่ได้บังคับ เพราะส่วนตัวรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เนื่องจากความขัดแย้งต้องนำทุกคนมาพูดคุยกัน
แต่ยังมีบางคนบางฝ่ายไม่ยอมพูดคุย จึงอยากให้มองว่าใครที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ส่วนเรื่องที่บางฝ่ายต้องการให้ยกเลิกคดีความต่างๆ นั้น หากมองแค่นั้นการปรองดองคงเกิดขึ้นไม่ได้ และเรื่องคดีความเป็นเรื่องของกระบวนการตามกฎหมาย แต่บางฝ่ายกลับรับไม่ได้ ทั้งที่หลายอย่างที่ได้ประโยชน์ก็รับได้ แต่เมื่อไม่ได้รับประโยชน์ก็มาโทษกระบวนการยุติธรรม แบบนี้ถือว่าไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะให้ความชัดเจนถึงกระแสเรียกร้องให้ปรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมออกจากคณะรัฐมนตรี โดยระบุเพียงสั้นๆว่า ขณะนี้ พล.อ.ประวิตร ปฏิบัติราชการอยู่ต่างประเทศ
อินโฟเควสท์
นายกฯ อวยพรปีใหม่เปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาล คาดหวังการเมือง-เศรษฐกิจดีขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่อย่างเป็นทางการ จ.สุโขทัยว่า คาดหวังที่จะเห็นสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจดีขึ้นในปี 61 ด้วยการสร้างความมีเสถียรภาพของรัฐบาล สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
โดยด้านเศรษฐกิจจะเน้นการส่งเสริมการประกอบอาชีพภาคเกษตรมีความเข้มแข็ง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้ไขมาโดยตลอดทั้งเรื่องการแก้ปัญหาด้านการบิน ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO), การแก้ไขปัญหาประมง(IUU), ปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งหวังว่า หลังจากแก้ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้น
ด้านการเมืองนั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ยังคงเดินหน้าตามโรดแมพที่กำหนดไว้ แม้จะมีการผ่อนปรนงานธุรการของพรรคการเมืองได้ แต่ต้องให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งพรรคใหญ่และพรรคเล็ก และขอให้ลดแรงกดดันทางการเมืองลงบ้าง ซึ่งตัวเองยังจำเป็นต้องรักษาสถานการณ์ทางการเมืองให้เรียบร้อยต่อไป
พร้อมอวยพรปีใหม่ โดยขอให้คนไทยและประเทศไทยประสบความสำเร็จ โดยรัฐบาลจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชน เพื่อให้ปี 61 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาล ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกัน ลดความขัดแย้ง และสร้างความปรองดอง โดยไม่ต้องการบังคับใช้กฎหมายมากจนเกินไป และตั้งใจจะวางพื้นฐานด้านการปฏิรูป ทั้งระบบราชการ การปฎิรูปกฎหมาย วิธีการทำงาน และเพิ่มขีดความสามารถให้ส่วนราชการต่างๆ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ในปี 61 จะอารมณ์ดี พูดจาไพเราะตามที่ประชาชนต้องการ แม้จะมีความพยายามทำให้หงุดหงิดก็ตาม ก่อนจะยิ้มให้กับสื่อมวลชน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงมาตรการดูแลความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า จะมีการเพิ่มจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ในจุดเสี่ยง โดยเฉพาะเส้นทางรองให้มากขึ้น โดยได้หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อม ทั้งบุคลากร และอุปกรณ์ในการป้องกันเหตุ เพราะไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลจะเข้มงวดในการบังคับใช้กฎจราจรมากขึ้น แต่ยังคงอนุโลมการนั่งท้ายกระบะ แต่ต้องใช้ความระมัดระวัง โดยไม่ควรนั่งขอบกระบะ
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด