พรรคพลังประชารัฐ เลือกอุตตมนั่งหัวหน้าพรรค นำทัพสู้ศึกเลือกตั้งปี 62 ยืนยันช่วงนี้ยังไม่ลาออกจากตำแหน่งรมต.
การประชุมจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดตัวพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคอย่างเป็นทางการ โดยที่ประชุมพรรควันนี้ ได้คัดเลือกนายนายอุตตม สาวนายน เป็นหัวหน้าพรรค ,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค เพื่อนำทัพพรรคพลังประชารัฐ สู้ศึกเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่คาดว่าจะมีขึ้นในปี 62 พร้อมชูพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยให้มั่นคง
นายอุตตม สาวนายน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรมว.อุตสาหกรรม กล่าวเปิดใจว่า แม้ตนจะเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่ยืนยันว่าในช่วงนี้จะยังไม่ขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะสวมหมวกเพียงใบเดียวคือพลังประชารัฐ
"ประเด็นที่ท่านรออยู่ ผมถือโอกาสนี้เรียนเลยว่าให้สังคมมั่นใจได้ว่า ตัวผมจะอยู่ในตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีในรัฐบาล แต่รับรองได้ ให้ท่านมั่นใจได้ว่าจะไม่ใช้เวลาและทรัพยากรของรัฐมาใช้ประโยชน์ เอารัดเอาเปรียบคนอื่นอย่างแน่นอน ผมตระหนักดีว่าผมมีหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคม ต่อการปฏิบัติที่ได้รับมอบหมายมาในทุก ๆ เรื่อง เพราะฉะนั้นการวางตัว การปฏิบัติตัวของผมและเพื่อน ๆ ที่ร่วมอุดมการณ์ที่อยู่ในสถานภาพเดียวกันเป็นที่จับตามอง เป็นที่ติดตามของสังคมตลอดเวลา และเราพร้อมที่จะให้ตรวจสอบที่ให้ทำงาน เพราะเรายึดมั่นเราถือปฏิบัติในสิ่งที่เราถือว่าต้องทำให้ถูกต้อง ก็ขอเรียนท่านตรงนี้เลยเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พวกเรารับรองได้ว่าเราจะใส่หมวกใบเดียวคือหมวกของพลังประชารัฐ ท่านไม่ต้องห่วง ถึงเวลาไปแน่"นายอุตตม กล่าว
ทั้งนี้ การประชุมจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐในวันนี้ ได้มีบุคคลสำคัญในรัฐบาลหลายคนได้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคกันอย่างคึกคัก ซึ่งนอกหนือจากนายอุตตม ยังมีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ , นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวมถึงนายอิทธิพล คุณปลื้ม ผู้ช่วยรมว.การท่องเที่ยวและกีฬา
นอกจากนี้ ยังมีอดีตส.ส. กรุงเทพมหานคร ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) คือ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ , นายณัฐพล ทีปสุวรรณ และนายสกลธี ภัททิยกุล รวมถึงกลุ่มสามมิตร อย่างนายอนุชา นาคาศัย และนายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ เข้าประชุมร่วมกับสมาชิกพรรคที่มีกว่า 300 คน พร้อมกับมีผู้ร่วมสังเกตการณ์จำนวนมาก โดยสมาชิกพรรคลงมติรับรองหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค และลงมติรับรองข้อบังคับพรรค จัดทำนโยบายพรรคให้ครบถ้วน ก่อนที่จะส่งกลับไปให้นายทะเบียนพรรคการเมือง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เดินหน้าในการขอจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองที่สมบูรณ์ต่อไป
ที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบ ชื่อ"พรรคพลังประชารัฐ" ใช้ชื่อย่อว่า "พปชร." และโลโก้พรรคที่เป็นแถบสีแดง สีขาว และสีน้ำเงินครามของกรอบหกเหลี่ยม สื่อความหมายว่าเป็นการรวมพลังความสามัคคีของทุกคนในชาติ ให้เป็นหนึ่งเดียวปราศจากความขัดแย้งเป็นความร่วมมือร่วมใจของประชาชน ร่วมพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้ามั่นคงและยั่งยืน
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบให้นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เป็นว่าที่หัวหน้าพรรค ,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เป็นว่าที่เลขาธิการพรรค , นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนายณัฐพล ทีปสุวรรณ เป็นว่าที่รองหัวหน้าพรรค ,นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นว่าที่โฆษกพรรค , นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ เป็นว่าที่เหรัญญิกพรรค และนายวิเชียร ชวลิต เป็นว่าที่นายทะเบียนพรรค โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรค รวม 21 คน ซึ่งระหว่างการเปิดตัวหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ได้มีการมอบเสื้อแจ๊คเก็ตพรรค ให้ทุกคนสวมใส่ รวมไปถึงมีพิธีรับมอบธงและปักธงสัญลักษณ์พรรคพลังประชารัฐ ถือเป็นการแสดงเจตจำนงค์ในการร่วมทำงานเพื่อประเทศชาติ
นายอุตตม กล่าวว่า จะรีบนำมติพรรคทั้งหมดไปยื่นจดจัดตั้งพรรคกับกกต. เพื่อให้ได้รับการรับรองเป็นพรรคการเมือง และเดินหน้าดำเนินกิจกรรมของพรรคอย่างเต็มรูปแบบ โดยการตัดสินใจลงเล่นการเมืองครั้งนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งตั้งใจเข้ามาอาสาทำงานทางการเมืองอย่างเต็มตัว และจะทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคการเมืองถาวร ไม่ใช่พรรคการเมืองเฉพาะกิจ โดยเตรียมเปิดตัวสมาชิกพรรคคนอื่น ๆ ที่สนใจเข้ามาร่วมงานกับพรรค และขอเชิญชวนให้ทุกคนที่มีความรู้ ความสามารถ ซึ่งถือเป็นคนหน้าใหม่ทางการเมืองเข้ามาร่วมทำงานกับพรรคด้วย
พรรคพลังประชารัฐ เกิดจากอุดมการณ์ของประชาชนเพื่อให้ประเทศไทยก้าวพ้นปัญหาด้านการเมืองที่ขัดแย้ง ที่สร้างความเสียหายให้ประเทศทุกมิติ โดยพรรคจะมุ่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน รวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส รับใช้แผ่นดินเกิด และเชิญชวนทุกคนมาร่วมกันทำให้ประเทศหลุดพ้นจากความขัดแย้ง มุ่งหน้าให้ไทยสู่เวทีโลก และส่งต่ออนาคตให้กับลูกหลาน
ทั้งนี้ นายอุตตม ยังได้เปิดตัวสมาชิกพรรคพลังประชารัฐที่เป็นคนรุ่นใหม่ จำนวนประมาณ 60 คน ส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการ และ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ส่วนกรรมการบริหารพรรค อาทิ นายอิทธิพล คุณปลื้ม ผู้ช่วยรมว.ท่องเที่ยวและกีฬา นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง นายอนุชา นาคาศัย แกนนำกลุ่มสามมิตร นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล อดีตรมช.ศึกษาธิการ นายชวน ชูจันทร์ ผู้ก่อตั้งพรรค นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ และนายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ว่าที่เลขาธิการพรรค กล่าวว่า พรรคจะส่ง ส.ส. ครบ ทั้ง 350 เขต อย่างแน่นอน ส่วนการเสนอชื่อผู้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เบื้องต้นจะเสนอนายอุตตม สาวนายน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่จะเปลี่ยนเป็นพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับกรรมการบริหารพรรค และความชัดเจนของพลเอก ประยุทธ์ แต่ยืนยันว่าการเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นคนที่ประชาชนยอมรับด้วย
สำหรับอุดมการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ มีทั้งหมด 7 ข้อ ได้แก่ 1.ยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 2.พรรคเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชน บ่มเพาะพลเมืองที่ตื่นรู้ มุ่งเน้นการการพัฒนาประชาธิปไตยวิถีไทย 3.น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมกันเป็นกลุ่มอย่างมีพลัง สร้างความเข้มแข็งจากฐานรากอย่างยั่งยืน ชูประเทศไทยสู่ประชาคมโลกอย่างสมศักดิ์ศรี 4. ก้าวข้ามความขัดแย้ง ฟื้นความสมานฉันท์ 5.สร้างสังคมที่เป็นธรรม ยึดนิติรัฐ นิติธรรม 6. ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสที่เป็นของจริง ขจัดความยากจน สร้างความมั่นคงในสังคม และ 7.สร้างสังคมที่เกื้อกูล แบ่งปัน เติมเต็มศักยภาพและโอกาสของผู้คน เตรียมความพร้อมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21
อินโฟเควสท์
สนช.ย้ำกม.เลือกตั้งส.ส.มีผลบังคับใช้ 10 ธ.ค. 61 ชี้เลือกตั้งขยับได้ถึง 9 พ.ค.62
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านเครือข่ายสื่อมวลชนประจำภูมิภาครุ่นที่ 5 พร้อมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘บทบาทหน้าที่และอำนาจของสภานิติบัญญัติแห่งชาติกับการขับเคลื่อนโรดแมพการเลือกตั้ง’ว่า แม้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว แต่ในมาตรา 2 ของกฎหมายดังกล่าวได้เขียนให้ชะลอการบังคับใช้กฎหมายอีก 90 วัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำกระบวนการต่างๆ ให้แล้วเสร็จ โดยจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 10 ธ.ค.61 ซึ่งจะเริ่มนับ 1 ไปอีก 150 วันเพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ดังนั้นกรอบการเลือกตั้งสามารถขยับได้ แต่ไม่เกินวันที่ 9 พ.ค.62
สำหรับ การจัดสัมมนาในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ทำให้ได้แลกเปลี่ยนทัศนะความคิดเห็น ถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้ เพื่อเป็นพลังสำคัญในการสร้างประชาธิปไตยให้ยั่งยืน โดยรัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดภารกิจสำคัญของ สนช.ในการขับเคลื่อนภารกิจของประเทศชาติ คือ การจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญทั้ง 10 ฉบับ นอกจากนี้ ยังมีอีก 1 ภารกิจ คือ การส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ผ่านมา สนช.ได้เดินสายลงพื้นที่ พร้อมจัดอบรมผ่านหลักสูตรต่างๆ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในทิศทางที่ถูกต้อง
อินโฟเควสท์
นายกฯ ห่วงหลังปลดล็อคทางการเมือง อาจจะเกิดความวุ่นวาย พ้อเสียดายเวลาหากทุกอย่างล้มเหลว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังเป็นสักขีพยานการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์และผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย รวมถึงมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนให้แก่ประธานป่าชุมชน 5 จังหวัด ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุตรดิตถ์ และผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ มอบหนังสือคู่มือการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลให้ประชาชน 434 รายว่า ขอขอบคุณประชาชนที่มาให้การต้อนรับ รัฐบาลรับรู้ในความต้องการของประชาชนในทุกระดับ แม้รัฐบาลจะมีงบประมาณไม่มาก แต่จะพยายามสร้างความเติบโตไปพร้อมกัน และทุกฝ่ายต้องจับมือร่วมกันเดินไปข้างหน้า ซึ่งรัฐบาลได้ริเริ่มในหลายๆ อย่าง ซึ่งไม่เพียงแค่จังหวัดเลย และเพชรบูรณ์ ที่ลงพื้นที่เท่านั้น แต่ในจังหวัดอื่นๆ ก็ได้ส่งรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่รับฟังปัญหา และความต้องการของประชาชน เพื่อนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การพิจารณาดำเนินการตามความต้องการของประชาชนจะเป็นไปอย่างเท่าเทียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งแตกต่างกับรัฐบาลที่ผ่านๆ มา จึงต้องการปลดล็อคปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในการดำเนินนโยบาย และหลายโครงการเกิดจากการริเริ่มของรัฐบาล ทั้งโครงการด้านการคมนาคมขนส่ง และการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน
"รัฐบาลหน้าก็ต้องเป็นแบบนี้ ดูแลทั้งคะแนนเสียงส่วนใหญ่และคะแนนเสียงส่วนน้อย คนที่เลือกและไม่ได้เลือก ต้องไม่เกิดความขัดแย้ง ไม่ขัดแย้ง ทั้งเรื่องกฎหมาย รัฐธรรมนูญ เจ้าหน้าที่และประชาชน วันนี้หลายอย่างครอบงำมาโดยตลอด จึงต้องปลดล็อค อย่างแรกคือต้องปลดล็อคตัวเอง ปลดล็อคทางความคิด ความต้องการส่วนตัวไปเป็นความต้องการส่วนร่วมให้ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ทุกคนต้องเข้าใจในยุทธศาสตร์ชาติ แต่ไม่ได้มีเจตนาในการสืบทอดอำนาจ ตามกรอบเวลาของยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ถึง 20ปี และยอมรับว่า มีความเป็นห่วงหลังปลดล็อคทางการเมือง อาจจะเกิดความวุ่นวายพอสมควร ซึ่งส่วนตัวไม่อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาการเมือง
"เป็นห่วงว่าระยะต่อไป เมื่อมีการปลดล็อคไปแล้ว มันจะวุ่นวายพอสมควร ผมไม่อยากยุ่งการเมือง แต่การเมืองก็อย่ามายุ่งกับการทำงานของรัฐบาลเวลานี้ที่จะทำให้ประชาชน อย่าไปทำให้ทุกอย่างที่ผมพูดในวันนี้และทำวันนี้มันล้มเหลว ผมเสียดายเวลาของผม" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี ย้ำให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลเข้ามาบริหารประเทศ ไม่ว่าจะเลือกจากนโยบาย หรือตัวบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอชื่อ ขึ้นอยู่กับทุกคน โดยไม่ควรที่จะไม่ออกไปใช้สิทธิ์ด้วยเหตุผลว่าไม่ชอบตัวบุคคล เพราะจะอันตรายกว่า เนื่องจากอาจจะได้คนที่ไม่ชอบเข้ามาบริหารประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องลงทุนในเรื่องรถไฟความเร็วสูง และไม่ต้องการให้ใครมามีบทบาทในเส้นทางของไทย ซึ่งการลงทุนอาจราคาสูงและไม่ได้กำไรแต่จะได้กำไรในเรื่องของการให้บริการผู้โดยสาร และทำให้เกิดเมืองในตลอดเส้นทางที่รถไฟผ่าน
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผู้ที่ขยายความกรณีที่องค์การสหประชาชาติจัดลำดับให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่น่าละอายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน ว่า ผู้ที่ไปพูดให้ประเทศเกิดความเสียหายนั้นน่าละอาย เพราะรัฐบาลไม่เคยดำเนินการในลักษณะดังกล่าว
นายกฯ ยังไม่ประกาศจุดยืนทางการเมือง-ไม่ปรับคำสั่งคลายล็อคพรรคการเมือง ให้หาเสียงได้หลัง 16 ธ.ค.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงจุดยืนอนาคตทางการเมืองของตนเองว่า จะตัดสินใจเอง ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่ต้องพูดตอนนี้
"มาสนใจอะไรกับผม ที่ผมบอกว่าหลัง พ.ร.บ.ออกมา หลังจากนี้ถึงปีหน้าก็หลังหมด ผมจะพูดเมื่อไหร่ก็เรื่องของผม ผมตัดสินใจเอง เรื่องอะไรผมจะออกมาให้โดนด่าตั้งแต่วันนี้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ส่วนเรื่องการคลายล็อคให้ทำกิจกรรมการทางการเมืองนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.และการเลือกตั้ง ส.ส.ที่กำหนดให้บังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 16 ธันวาคมนี้ หลังจากนั้นก็จะปลดล็อคให้ดำเนินการหาเสียง แต่ในช่วงนี้ขอความร่วมมือทำบ้านเมืองให้สงบก่อน
สำหรับ ระยะเวลาในการหาเสียงนั้น ส่วนตัวมองว่ามีเวลาที่เพียงพอ ไม่เห็นจะยาก เพียงแค่พรรคการเมืองต้องมีเจตนาที่ต้องทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข ไม่ใช่เอาเวลาไปกล่าวโจมตีกัน ซึ่งหากทำเช่นนั้นบ้านเมืองจะไม่ได้ประโยชน์ เมื่อเห็นว่ามีเวลามีน้อยก็ควรเอาเวลาไปกำหนดนโยบายเพื่อให้สังคมยอมรับ ซึ่งเชื่อว่าสิ่งดีๆ มีอยู่แล้ว
"การคลายล็อคในครั้งนี้ถือว่าเพียงพอแล้ว ซึ่งใครที่มองว่าไม่พอเอาไว้เป็นรัฐบาล ค่อยไปกำหนดเวลาเอาเอง...ถ้าผมเป็นนักการเมือง ผมว่าที่ออกมาแล้ว ผมว่าผมทำได้ ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรเลย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ส่วนการนัดหารือกับนักการเมืองอีกครั้งนั้น ยังไม่ได้กำหนดวัน โดยนายรัฐมนตรี ระบุว่า ถึงเวลาแล้วจะพิจารณาเอง
อินโฟเควสท์
ม.44 ตั้งกกพ.ชุดใหม่ 7 คน 'เสมอใจ'นั่งเก้าอี้ประธาน กัลฟ์จ้างกฟผ.กุนซือไอพีพี
ประกาศ ม.44 แต่งตั้งคณะกรรมการ กกพ.ชุดใหม่ทั้งหมด 7 คน แทนคณะกรรมการชุดเดิมที่ยังไม่หมดวาระดำเนินงาน กำหนด "เสมอใจ ศุขสุเมฆ" อดีต ผอ.สนพ. เป็นประธานคนใหม่ "กัลฟ์" ทุ่มเงิน 400 ล้านบาทจ้าง กฟผ.ให้คำปรึกษาสร้างโรงไฟฟ้าไอพีพี
ไทยโพสต์ * ประกาศ ม.44 แต่งตั้งคณะกรรมการ กกพ. ชุดใหม่ทั้งหมด 7 คน แทนคณะกรรมการชุดเดิมที่ยังไม่หมดวาระดำเนินงาน กำหนด "เสมอใจ ศุขสุเมฆ" อดีต ผอ.สนพ. เป็นประธานคนใหม่ "กัลฟ์" ทุ่มเงิน 400 ล้านบาทจ้าง กฟผ.ให้คำปรึกษาสร้างโรงไฟฟ้าไอพีพี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ย.2561 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีคำสั่งสั่งตามมาตรา 44 เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ชุดใหม่ทั้งหมด 7 คน แทนคณะกรรมการชุดเดิมที่ยังไม่หมดวาระดำรงแหน่ง ประกอบด้วย 1.นายเสมอใจ ศุขสุ เมฆ เป็นประธานกรรมการ กกพ. เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก งานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และอดีตผู้อำนวยการสถาบันบริหาร กองทุนพลังงาน (องค์กรมหาชน) 2.นายสุธรรม อยู่ในธรรม เป็นกรรม การ กกพ. เคยดำรงตำแหน่งคณะกรรมการคณะกรรมการกิจการกระ จายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจ การโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
3.นายชาญวิทย์ อมตะมาทุชาติ เป็นกรรมการ กกพ. เคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 4.นายพีระพงศ์ อัจฉริยชีวิน เป็นกรรมการ กกพ. เคยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)
5.นายบัณฑูรย์ เศรษฐศิโรตม์ เป็นกรรมการ กกพ. เคยดำรงตำ แหน่งผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวด ล้อม คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (กพย.) 6.นายสหัส ประทักษ์นุกูล เป็นกรรมการ กกพ. เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และ 7.นางอรรชกา สีบุญเรือง เป็น กรรมการ เคยดำรงตำแหน่ง รมว. กระทรวงอุตสาหกรรมและ รมว.กระ ทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สำหรับคณะกรรมการชุดเดิม ประกอบด้วย 1.นายไกรสีห์ กรรณสูต กรรมการ ได้หมดวาระ ไปเพราะมีอายุครบ 70 ปี 2.นายพร เทพ ธัญญพงศ์ชัย ประธานกรรม การ 3.นางดวงมณี โกมารทัต กรรมการ 4.นางปัจฉิมา ธนสันติ กรรมการ 5.นายวัชระ คุณาวัฒนา วุฒิ กรรมการ 6.นางวิไลพร ลิ่วเกษมศานต์ กรรมการ และ 7.นาย วีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่ามีกลุ่มทุนพลังงานพยายามที่จะบีบให้คณะกรรมการชุดเดิมลาออกเนื่องจากไม่อนุมัติโครงการต่างๆ และการนำเข้าแอลเอ็นจี เนื่องจากคณะกรรมการเห็นรายละเอียดโครงการไม่มีความชัด เจน รัฐบาลถึงถูกกลุ่มนายทุนกดดันให้ปลดคณะกรรมการชุดเดิมลาออก แต่กรรมการชุดดังกล่าวไม่ลาออก
นางพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้กัลฟ์อยู่ระหว่างการเตรียมการก่อสร้างโครง การโรงไฟฟ้าอิสระ (ไอพีพี) บริษัทจึงเห็นถึงความจำเป็นในการให้ผู้มีประสบการณ์ด้านการก่อสร้างและพัฒนาโรงไฟฟ้าเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการโรงไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีความเชี่ยวชาญในด้านดังกล่าว กัลฟ์จึงได้มีการลงนามในสัญญางานบริการที่ปรึกษาวิศวกรรม ภาคสนาม มูลค่ารวม 400 ล้านบาท เพื่อให้ กฟผ.เข้ามาดูแลงานบริการที่ปรึกษาวิศวกรรมและก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า 2 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 5,000 เมกะวัตต์.
คสช.ใช้ม.44 แต่งตั้งกกพ.ชุดใหม่รวม 7 คน ดันเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นประธานกรรมการ
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา วันนี้ (14 ก.ย.) เผยแพร่ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2561 เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
โดยที่ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 95/2557 เรื่องการให้เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ลงวันที่ 17 ก.ค.57 บางคนได้พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ และบางคนได้ลาออกจากการดำรงตำแหน่ง ทำให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานที่เหลืออยู่ขาดผู้เชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์ในสาขาอันจะเป็นประโยชน์ต่อกิจการพลังงาน ทำให้ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ในรูปแบบคณะกรรมการที่ต้องการกรรมการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย เพื่อกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การที่พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 ได้บัญญัติให้มีการเปลี่ยยนแปลงกรรมการกำกับกิจการพลังงานบางส่วนได้ทุก 3 ปี ซึ่งสมควรให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขและระยะเวลาดังกล่าว แต่หากจะปฏิบัติตามโดยใช้วิธีสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งกรรมการกำกับกิจการพลังงานในขณะนี้ตามระยะเวลา หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการคัดเลือกกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่กฎหมายกำหนดจะต้องใช้ระยะเวลานาน อันจะส่งผลกระทบต่อการกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน ซึ่งมีเรื่องต้องได้รับการพิจารณาและกำกับดูแลโดยเร่งด่วน รวมทั้งเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานและป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
1. ให้กรรมการกำกับกิจการพลังงาน ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 95/2557 เรื่อง การให้เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน พ้นจากตำแหน่งและการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ลงวันที่ 17 ก.ค.57 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับพ้นจากตำแหน่ง
2. มิให้นำบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการสรรหาตามพ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 มาใช้บังคับการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานตามคำสั่งนี้
3. ให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ตามพ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 ประกอบด้วย
1. นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธานกรรมการ
2. นายสุธรรม อยู่ในธรรม กรรมการ
3. นายชาญวิทย์ อมตะมาทุชาติ กรรมการ
4. นายพีระพงษ์ อัจฉริยชีวิน กรรมการ
5. นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการ
6. นายสหัส ประทักษ์นุกูล กรรมการ
7. นางอรรชกา สีบุญเรือง กรรมการ
4. ให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นประธานกรรมการและกรรมการตามข้อ 3 เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย
5. ให้คณะกรรมการตามข้อ 3 ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับเป็นต้นไป โดยให้มีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี นับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงาน และเมื่อครบกำหนด 3 ปีให้กรรมการกำกับกิจการพลังงานออกจากตำแหน่งจำนวน 3 คน โดยวิธีจับสลาก และให้ถือว่าการออกจากตำแหน่งโดยการจับสลากเป็นการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงาน
6. เมื่อคณะกรรมการตามข้อ 3 พ้นจากตำแหน่งให้ดำเนินการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการกำกับกิจการพลังงานตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงานต่อไป
7. ในกรณีที่เห็นสมควรนายกรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้
8. คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ทั้งนี้ ประกาศ ณ วันที่ 14 ก.ย.61
อินโฟเควสท์
มท. เปิด 71 รายชื่อบิ๊กมหาดไทย เตรียมเข้าการรับคัดเลือกตำแหน่งผู้ว่าฯ 14 จังหวัด และ 10 ผู้ตรวจฯ แทนผู้เกษียณปีนี้
แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า นายสุรอรรถ ทองนิรมล ประธานคณะกรรมการคัดเลือกเพื่อเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย ลงนามในประกาศ 3 ฉบับ เพื่อดำเนินการคัดเลือกด้วยการประเมินบุคคล (สัมภาษณ์) ราชการพลเรือนสามัญ เพื่อดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด 14 อัตรา ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง 10 อัตรา และตำแหน่งรองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และรองอธิบดีกรมโยธาธการและผังเมือง อย่างละ 1 อัตรา แทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ ระหว่างวันที่ 16, 17 และ 18 ก.ย. โดยมีผู้เข้ารับคัดเลือก รวม 71 ราย
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการได้ออกประกาศคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการคัดเลือกเพื่อเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย สายงานบริหารงานปกครอง ในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ตรวจราชการ มาแล้วเมื่อปลายเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุด กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยรายงานผู้ที่สมัครเข้ารับการคัดเลือก ในตำแหน่งต่าง ๆ ดังนี้ 1. ผู้เข้ารับการคัดเลือก (เลื่อน) ขึ้นดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย สายงานบริหารงานปกครอง ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 36 ราย ประกอบด้วย 1.นายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 2.นายชัยชาญ สิทธิวิรัชธรรม รองอธิบดีกรมที่ดิน 3.นายชัยธวัช เนียมศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น 4.นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองอธิบดีกรมการปกครอง 5.นายทวีป บุตรโพธิ์ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน 6.นายนิพันธ์ บุญหลวง รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ 7.นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร รองอธิบดีกรมการปกครอง 8.นายปิยะ วงศ์ลือชา รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 9.ว่าที่ ร.ต.พิเชียน ลิมป์หวังอยู่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 10.นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี
11.นายราชิต สุดพุ่ม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา 12.นายสมชาย บำรุงทรัพย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี 13.นายสมหวัง พ่วงบางโพ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน 14.นายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก 15.นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา 16.นายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล 17.นายชยันต์ ศิริมาศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด 18.นายเชาวลิต แสงอุทัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี 19.นายโชคดี อมรวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ 20.นายณรงค์ รักร้อย รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี
21.นางณิทฐา แสวงทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร 22.นายทรงพล ใจกริ่ม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี 23.นายธีรวัฒน์ วุฒิคุณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ 24.นายนพดล ไพฑูรย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร 25.นายประสงค์ คงเคารพธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี 26.นายภิญโญ ประกอบผล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม 27.นายเมธี สุพรรณฝ่าย รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ 28.นายไมตรี ไตรติลานันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี 29.นายเรวัต ประสงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 30.นายลือขัย เจริญทรัพย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี
31.นายวรกิตติ ศรีทิพากร รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน 32.นายวรพันธุ สุวัณณุสส์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก 33.นายศักดิ์ชัย แตงฮ่อ รองอธิบดีกรมการปกครอง 34.นายศิริขัย ศรีเหนี่ยง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี 35.นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก และ 36.นายเอกรัฐ หลีเล็น รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส
2. ผู้เข้ารับการคัดเลือก (เลื่อน) ขึ้นดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย สายงานตรวจราชการกระทรวง จำนวน 27 ราย ประกอบด้วย 1.นายกมล เชียงวงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ 2.นางกานต์เปรมปรีด์ ชิตานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี 3.นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช 4.นายชลธี ยังตรง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี 5.นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ 6.นายรังสรรค์ ตันเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม 7.นายวีรัส ประเศรษโฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี 8.นายวุฒิชัย เสาวโกมุท รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา 9.นายสมบุรณ์ ศิริเวช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย 10.นายสำเริง ไชยเสน รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน
11.นายสิธิชัย จินดาหลวง รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี 12.นายโสภณ สุวรรณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย 13.นายอำพล อังคภากรณ์กุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี 14.นายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 15.นายชัยชาญ สิทธิวิรัชธรรม รองอธิบดีกรมที่ดิน 16.นายชัยธวัช เนียมศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น 17.นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองอธิบดีกรมการปกครอง 18.นายทวีป บุตรโพธิ์ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน 19.นายนิพันธ์ บุญหลวง รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ 20.นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร รองอธิบดีกรมการปกครอง
21.นายปิยะ วงศ์ลือชา รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 22.ว่าที่ ร.ต.พิเชียน ลิมป์หวังอยู่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 23.นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี 24.นายราชิต สุดพุ่ม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา 25.นายสมชาย บำรุงทรัพย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี 26.นายสมหวัง พ่วงบางโพ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และ 27.นายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก
3. ตำแหน่งรองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และตำแหน่งรองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง 8 ราย ประกอบด้วย 1.นายชัยพัฒน์ ไชยสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกรม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 2.นายทวี เสริมภักดีกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม 3.นาย เมธา รุ่งฤทัยวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 4.นายศิริพันธ์ ศรีกงพลี ท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น 5.นายสันติธร ยิ้มละมัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ 6.นายอภิสิทธิ์ วรรณตง ท้องถิ่นจังหวัดสมุทรปราการ 7.นายไตรรัตน์ พูลสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกรม กรมโยธาธิการและผังเมือง และ 8.นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนและพัฒนาตามผังเมือง กรมโยธาธิการและผังเมือง
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด